“ฉันรู้จักกับเพื่อนของนายนั่น” เซี่ยเจิงหยิบมือถือออกมา กดไปที่กล่องข้อความ หลังจากนั้นก็ยื่นให้ชวีเสี่ยวปอดู เนื้อหาในการพูดคุยมีแค่ไม่กี่ประโยค ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะไม่ได้รู้รายละเอียดขนาดนั้น จึงบอกเพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ

 

        “แล้วต้วนเหล่ย…” ชวีเสี่ยวปอตกใจกลัวขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าไม่กี่ปีมานี้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับโรงเรียนอื่นมาก่อน แต่ความรู้สึกที่ได้ยินมากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วนับประสาอะไรกับ “การโดนแทง” คำนี้ มันช่างยากที่จะทำให้เขาปรับความรู้สึกได้เสียจริง

 

        “ก็ต้องอยู่โรงพยาบาลน่ะสิ” เซี่ยเจิงพูด สายตาก็มองลึกลงไปเรื่อยๆ เขาจับทุกลักษณะสีหน้าท่าทางของชวีเสี่ยวปออย่างละเอียด สุดท้ายก็ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่เป็นตัวเองขึ้นมา

 

        “นายมองฉันทำไมเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกวุ่นวายใจจนเลือกใช้คำพูดไม่ถูก “ฉันไม่ได้เป็นคนแทงสักหน่อย…” ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่านายคิดว่าฉันเป็นคนทำ? ”

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไร

 

        “ไม่ใช่ฉันเว้ย !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกหงุดหงิดสุดขีด “เมื่อวานฉันกับบ้านพร้อมซือจวิ้นแล้ว ! ฉันประสาทหรือไง? ไม่มีอะไรทำเลยว่างไปดักรอต้วนเหล่ยเหรอ? ”

 

        “แต่เมื่อวานนายมีเรื่องกับต้วนเหล่ยนี่” เซี่ยเจิงมองไปที่มุมปากของชวีเสี่ยวปอ “หลังจากนั้นตอนกลางคืนเขาก็โดนแทง ถ้านายเป็นต้วนเหล่ย นายจะสงสัยใครเป็นคนแรก? ”

 

        “……” ฟังคำวิเคราะห์ของเซี่ยเจิงจบ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเย็นวาบเข้าที่หลัง จริงๆ ด้วย นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว จากมุมมองของคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เขาคือคนที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ชวีเสี่ยวปอหมดคำจะพูด เหลือไว้เพียงคำแก้ต่างที่พูดออกไปอย่างหมดแรงประโยคหนึ่งว่า : “ไม่ใช่ฉัน”

 

        “รู้แล้ว” เซี่ยเจิงเปิดหนังสือราวกับไม่ได้สนใจว่าชวีเสี่ยวปอพูดอะไรออกมา

 

        “แล้วเมื่อกี้นายถามคำถามพวกนั้นกับฉันทำไม !” ชวีเสี่ยวปอพบว่าที่จริงแล้วตัวเขาไม่สามารถที่จะมองคนอย่างเซี่ยเจิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อครู่คนที่สงสัยในตัวเขานั้นก็คือเซี่ยเจิง ตอนนี้ก็ทำเหมือนกับว่ารู้เรื่องราวทั้งหมดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แสร้งทำเป็นไม่รู้เก่งเสียจริง !

 

        “แค่อยากเตือนนายเอาไว้ก่อน”

 

        ที่เซี่ยเจิงพูดมามันก็ถูก

 

        ตอนสายเข้าเรียนได้ไม่นาน ชวีเสี่ยวปอก็ถูกโหยวเจียที่หน้าเคร่งขรึมนั้นเรียกตัวไปที่ห้องพักครู แต่เมื่อเดินเข้าประตูไปก็เห็นว่ามีตำรวจสองนายกำลังรอตนเองอยู่

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาชั่วขณะ แต่ไม่ใช่เพราะกลัว ถึงยังไงซะเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่น่าละอายใจ แต่อาจเป็นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับตำรวจ จึงรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ถึงขนาดที่ว่าเขานึกไปถึงช่วงเวลาในตอนเด็กที่เขาไม่เชื่อฟัง แล้วเวินลี่ก็ขู่เขาว่า “ถ้ายังดื้ออีกเดี๋ยวจะให้คุณลุงตำรวจมาจับตัวไปเลยนะ”

 

        “ไม่ต้องกลัวนะ” คุณตำรวจที่รูปร่างใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างใจดี “ต้วนเหล่ย เธอรู้จักใช่ไหม? พวกลุงแค่อยากถามเกี่ยวกับเรื่องของเขาที่เธอมีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

        บทสนทนาหลังจากนั้นแน่นอนว่าเมื่อคุณตำรวจถามอะไรไป ชวีเสี่ยวปอก็ตอบออกมาเช่นนั้นอย่างซื่อสัตย์ พอทราบสถานการณ์โดยละเอียดแล้ว และคร่าวๆ ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าชวีเสี่ยวปอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้ แต่สุดท้ายคุณตำรวจก็ตำหนิเขาไปด้วยที่เขาไปมีเรื่องชกต่อยกัน หลังจากนั้นจึงเก็บของและเดินออกไป

 

        “คือว่า” ชวีเสี่ยวปอรีบพูดออกไปว่า “ผมขอถามได้ไหมครับว่าต้วนเหล่ยเป็นยังไงบ้าง? ”

 

        “เขายังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวัน” คุณตำรวจที่รูปร่างใหญ่ตอบกลับมา “แต่ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอะไร”

 

        “อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ ดีแล้ว” ชวีเสี่ยวปอโล่งอก

 

        “เจ้าเด็กนี่” คุณตำรวจที่รูปร่างใหญ่คนนั้นยกเอกสารมาตีเข้าที่ด้านหลังของเขา “ไปเถอะ กลับไปเรียนเถอะ”

 

        เมื่อกลับมาถึงห้องเรียน ทั้งห้องก็กำลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์กันอยู่ ชวีเสี่ยวปอตะโกนออกไปว่ารายงานตัวครับแล้วจึงเดินเข้าห้องเรียนไป พอเขานั่งลงยังที่นั่งของตัวเองแล้ว คุณครูคณิตศาสตร์ที่กำลังอธิบายโจทย์อย่างกระตือรือร้นก็เหลือบมองมาทางเขาหลายครั้ง แต่แล้วชวีเสี่ยวปอจึงทำเป็นมองไม่เห็นไป

 

        “เป็นยังไงบ้าง” แม้ว่าสายตาของเซี่ยเจิงจะยังมองที่กระดานอยู่ แต่คำพูดเมื่อครู่นี้กลับคุยอยู่กับชวีเสี่ยวปอ

 

        “แป๊บนึง ให้ฉันได้พักหายใจก่อน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมายาวๆ ทำให้ตัวเองกลับไปอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายเช่นเดิม “ต้วนเหล่ยไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ยังต้องนอนโรงพยาบาลอยู่”

 

        “อืม” เซี่ยเจิงกวาดสายตามองเขาเพียงชั่วครู่ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

        ชวีเสี่ยวปอเองก็เงียบไปสักพัก แต่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่จึงพูดออกไปว่า : “นายจะไม่ถามถึงฉันหน่อยเหรอ? นายไม่อยากรู้เหรอว่าตำรวจถามอะไรฉันบ้าง? ”

 

        “ไม่อยาก” เซี่ยเจิงส่ายหน้า

 

        “ ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่คิดเลยว่าเซี่ยเจิงจะเย็นชาขนาดนี้ แล้วจึงพูดต่อไปเองว่า : “พวกเขาถามฉันว่า…”

 

        “ก็นายไม่ได้เป็นคนทำนี่” เซี่ยเจิงพูดขัดขึ้นมาก และพูดเน้นออกไปอีกครั้งว่า : “ฉันรู้แล้ว”

 

        “ทำไมนายเป็นคนแบบนี้เนี่ย” เสียงของชวีเสี่ยวปอเบาลงไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชวีเสี่ยวปอคิดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าในขณะที่เซี่ยเจิงพูดคำว่า “ฉันรู้แล้ว” สามคำนี้มาตลอดนั้น มันยิ่งเหมือนกับว่าเซี่ยเจิงกำลังส่งผ่านความเชื่อใจมายังเขา ซึ่งเป็นความเชื่อใจโดยที่ชวีเสี่ยวปอไม่ต้องอธิบายอะไรออกไปเลย

 

        สิ่งนี้ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างประหลาด ถึงแม้จะเพียงนิดเดียวก็ตาม

 

        ไม่ทันได้รอให้เซี่ยงเจิงตอบกลับมา หัวชอล์กอันหนึ่งของคุณครูคณิตศาสตร์ก็ถูกตั้งใจโยนมาที่เขาทั้งสอง แต่ถึงอย่างนั้นก็โยนได้ไม่แม่นสักเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ได้โดนเป้าหมายในร่างกายของเขาทั้งคู่ หลังจากนั้นคุณครูคณิตศาสตร์ก็ยกไม้โปรแทรกเตอร์สามเหลี่ยมขึ้นมา “พวกเธอสองคน! จะพอได้หรือยัง! กระซิบกระซาบกันไม่จบสักทีนะ! ”

 

        แล้วเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยจนกระทั่งเลิกเรียน

 

        และแน่นอนว่าเซี่ยเจิงไม่ได้บอกกับชวีเสี่ยวปอ ที่จริงแล้วเขาก็มีข้อสงสัยขึ้นมาชั่วครู่อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อชวีเสี่ยวปอปฏิเสธออกมา ข้อสงสัยเหล่านั้นก็สลายหายไปในทันที เซี่ยเจิงกลับไม่ได้คิดว่าความเชื่อใจนี้เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะชวีเสี่ยวปอดูโกหกคนไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

        คาบหลังจากตอนสายก็คือวิชาพลศึกษา โชคดีที่คุณครูพละป่วยอย่างกะทันหัน หลังจากที่ให้พวกเขาวิ่งแปดร้อยเมตรแล้วคุณครูก็ปล่อยให้ทำกิจกรรมตามอิสระ โดยปกติแล้วพวกผู้ชายก็จะไปเล่นบาสเกตบอลกัน แต่ชวีเสี่ยวปอที่เพิ่งจะคุยเรื่องต้วนเหล่ยกับซือจวิ้นไป ทั้งสองคนเลยรู้สึกหนักใจจนไม่มีกะจิตกะใจที่จะเล่นบาสเกตบอลสักเท่าไหร่

 

        “ปอเอ๋อร์ นายคิดว่าใครเป็นคนทำ?” ซือจวิ้นใช้เท้าบดหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งไปมา สร้างรอยขีดข่วนบนพื้นปูนไว้อย่างยุ่งเหยิง

 

        “ไม่รู้สิ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า “ถึงขนาดกับใช้ของมีคม ช่างโหดร้ายจริงๆ ”

 

        “ปอเอ๋อร์” จู่ๆ ซือจวิ้นก็เป็นกังวลขึ้นมา “นายว่าถ้าหากสุดท้ายแล้วตำรวจสืบหาไม่เจอว่าเป็นฝีมือใคร ต้วนเหล่ยเขาจะโยนความผิดมาให้นายไหม? ”

 

        “ต้วนเหล่ยจะประสาทเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้คิดถึงจุดนี้ ถึงแม้ว่าซือจวิ้นจะเพียงแค่กังวลแต่มันก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ออกแรงชนไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายไปหนึ่งที “เชื่อความสามารถระดับมืออาชีพของพวกเขาเถอะน่ะ !”

 

        สนามบาสเกตบอลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจู่ๆ ก็มีเสียงร้องเชียร์ดังออกมา ซึ่งเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงที่กำลังดูบอลอยู่ข้างสนาม

 

        “ใครอ่ะ”

 

        แต่ถึงอย่างนั้นตอนที่ชวีเสี่ยวปอเล่นบาสเกตบอลเองก็พอจะมีเสียงของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งยืนตะโกนเชียร์อยู่ข้างสนามเช่นกัน เขาจึงรู้ทันทีว่าในสนามเกิดอะไรขึ้น

 

        ดังนั้นในตอนที่เขาอยากจะเห็นอีกฝ่ายชัดๆ นั้นเอง อีกฝ่ายก็ไว้หน้าเขามาก ชู้ตลงได้คะแนนสามแต้มหนึ่งลูกและแล้วก็มีเสียงร้องเชียร์ขึ้นมาอีกครั้ง

 

        แผ่นหลังของเซี่ยเจิงที่สูงกว่าคนอื่นนั้นดูออกได้ง่ายมาก ชวีเสี่ยวปอชะเง้อคอ สายตาก็มองไปตามการเคลื่อนไหวของเขา มองอยู่นานจึงรู้สึกว่าเขาเล่นได้ไม่แย่เท่าไหร่ แต่ขณะนั้นเขาก็แทบจะไม่ได้สนใจซือจวิ้นที่อยู่ข้างๆ ที่กำลังมองมาที่ตัวเขามานานแล้วเช่นกัน

 

        “ปอเอ๋อร์” ซือจวิ้นเรียกเขา พยายามดึงความสนใจของชวีเสี่ยวปอให้กลับมา

 

        “อืม” ชวีเสี่ยวปอก็ตอบรับไป แต่สายตาของเขาก็ยังคงอยู่ในสนามบาสเกตบอลตลอด

 

        “ปอเอ๋อร์ นายไปสนิทกับเซี่ยเจิงตั้งแต่เมื่อไหร่? ”

 

        “ก็เมื่อกี้ไง…” ชวีเสี่ยวปอตอบออกไปตามจิตใต้สำนึก แต่หลังจากเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จึงเกือบจะกัดลิ้นตัวเองทิ้งซะ : “ใครสนิทกับเขากัน !”