ตอนที่ 65 คุกเข่าขอขมาหมีสาวอันงดงามของโลลิ

[นิยายแปล(WN)] โลลิเฮดช็อต TS shitakara kakurete danjon ni mogutteta boku ga aidoru-tachi ni mi bare shite yūmei haishin-sha ni naru hanashi

ตอนที่ 65 คุกเข่าขอขมาอันงดงามของผม (คำนับสามนิ้ว)

“สงบลงแล้วรึยังครับ?”

“………………”

“รุรุซัง?”

“……เอ๊ะ? อะ อืม?”

ผมยอมมอบตัวให้กับรุรุซังมาสักพักแล้ว

อืม เป็นความรู้สึกของรุรุซังตามปกติเน๊ะ

ร่างกายที่รู้สึกนุ่มและยืดหยุ่น และไม่รู้สึกหนักบนหัวเล็ก ๆ ของผม ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกที่พอดีพอดี

และก็ กะแล้วรู้สึกโล่งใจด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคยเน๊

ถึงแม้จะผ่านมาได้ไม่นานนัก แต่กลิ่นของเด็กคนนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่สุด

“……รุรุซังไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

“อะ、จิโฮะจัง อืม ก็ไม่เป็นไรหรอก?”

เข้าใจแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ เด็กคนนี้จะตรวจไม่พบเน๊ะ

……ยังไงดีเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองจริง ๆ แล้วสิ

『ลิลี่ซังขอโทษด้วยนะครับ、ที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว』

『……ไม่หรอกค่ะ、ฉันไม่รังเกียจ……』

『?』

โดยพื้นฐานแล้วเด็กผู้คนนี้เหมือนกับสัตว์ที่จะอารมณ์เสียหากไม่ได้ดูแลตัวเอง

เช่นเดียวกับรุรุซัง และเอมิซังด้วย……เด็กพวกนั้น ผมไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเธอจะมีความสุขหากทิ้งพวกเธอไว้เพียงลำพัง ทุกอย่างดีหมดยกเว้นแต่องค์ประกอบการเป็นสาวน้อยของผม ส่วนคุชิมะซัง ผมไม่เข้าใจจริง ๆ เพราะเธอเอาแต่มองจากระยะไกลเหมือนตอนนี้ และจะไม่โกรธอะไรนอกจากเรื่องเหล้า

อาเร๊ะ?

หรือว่าบางที ผมอาจกำลังคิดว่าตัวเองเป็น「สิ่งที่เรียกว่าเด็กผู้หญิง」เมื่อไม่นานมานี้ เป็นเพราะว่าที่จริงแล้วมีรุรุซังเป็นตัวอย่างแค่หนึ่งเดียว?

แต่เกิดอะไรขึ้นกับลิลี่ซังกันล่ะ

ผมพยายามทพให้รุรุซังสงบลงโดยการยอมปล่อยให้เธอสัมผัสเส้นผม และกอดผมไว้ แต่ยังไงดี รู้สึกเหมือนว่าเด็กคนนี้เอาแต่ยิ้มตอนที่เห็นพวกผมทำแบบนั้น

ว่าไปแล้วตอนนี้เองก็ด้วย

เป็นรอยยิ้มที่ดีเลย

……สงสัยว่าจะมีน้องสาวล่ะมั้ง?

『ตอนนี้ร่างกายรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ……ผมแค่ถามเธอเกี่ยวกับสภาพร่างกายเน๊ะ、รุรุซัง」

(*『」ช่องแบบนี้พูดต่างชาติครึ่ง ญี่ปุ่นครึ่ง)

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมสามารถสลับภาษาได้หากตั้งสติ คิดว่าบางทีผมอาจจะทำได้เอง ในขณะที่เรากำลังพูดคุยกัน

ทำได้

ยังไงดีน่าทึ่งมาก

『ค่ะ、ตอนนี้สบายดีแล้วค่ะ……』

『แต่ว่าคุณยังดูมึนงงอยู่เลยนะครับ……อะ、ลิลี่ซังหมดสติไปหลายรอบก่อนหน้านี้ครับ เธอจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ คุชิมะซัง」

“เป็นลม……กรุณารอสักครู่นะคะ”

การเป็นลมค่อนข้างแย่เน๊ะ

ผมก็คิดเหมือนกัน

คุชิมะซังที่ได้ยินก็ทำท่าจะเรียกพยาบาลอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าผมจะพยายามช่วยเต็มที่แล้ว แต่ก็น่าเศร้าเมื่อเธอพูดว่า「กะแล้วที่จริงมาถึงขีดจำกัดแล้ว……」

“……ลิลี่จัง、ไม่สบายอย่างงั้นเหรอ?”

「ก็เหมือนจะแย่เหมือนกันครับ……อะ、ลิลี่ซัง、เด็กที่ชื่อว่ารุรุซังก็เป็นห่วงลิลี่ซังเหมือนกันครับ』

『อย่างงั้นเหรอคะ……ฉันขอโทษสำหรับความกังวลของคุณ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ』

「ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ、รุรุซัง。 ……แล้วคุณหมอว่ายังไงเหรอครับ?』

『บอกมาว่าฉันไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดค่ะ』

『การตรวจอย่างละเอียด……มุ、นั่นค่อนข้างลำบากเลยล่ะครับ ถึงผมไม่แปลแล้วก็ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ」

“ถ้าฮารุจังไม่แปลให้ ฉันก็ไม่เข้าใจเรื่องที่คุยกันนะสิ ดังนั้นพยายามเข้า!”

“เอ๋ー”

นี่มันน่ารำคาญมากเลย……ทำไมผมถึงต้องมาคอยตั้งสติเปลี่ยนภาษาทุกครั้งที่พูดด้วยล่ะ?

ก็ยังดีกว่าที่ต้องพูดเรื่องเดียวกันสองครั้งล่ะมั้ง

ผมหมายถึงมันอาจจะง่ายกว่าแบบนั้นเฉย ๆ เน๊ะ

『……ร่างกายของฉัน、ดูเหมือนว่าฉันจะทำการตรวจเล็กน้อยเพื่อความแน่ใจค่ะ ……หลังจากนี้、นอกจากนี้ก็มีการประชุมที่ฉันจะต้องเข้าร่วมถ้าร่างกายไม่มีปัญหา……』

『เป็นอย่างงั้นเหรอครับ การประชุมเป็นเรื่องยุ่งยากเน๊ะ」

บทสนทนาที่ต้องถ่ายทอดไปมาระหว่างกันโดยมีผมเป็นตัวกลางดำเนินไปเป็นเวลา 10 นาที

เหนื่อย

โม๊ว ไม่เอาแล้ว

ในที่สุด ก็มีพยาบาลซังเข้ามา และเมื่อเธอพยายามถามลิลี่ซัง……ยังไงก็ตาม เธอคนนั้นไม่ได้รับผิดชอบงานด้านภาษาต่างประเทศ ดังนั้นผมจึงเข้าไปแทรกแซงและอธิบายเพิ่มเติม

ยังไงดี ผมไม่เข้าใจ หรือคิดศัพท์ทางการแพทย์บางคำออกมาได้ ดังนั้นบางทีฟังก์ชันการแปลลึกลับนี้อาจไม่ได้ใช้งานได้หลากหลายขนาดนั้น

ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ามันทำได้ประมาณนั้นจริง ผมคงรู้สึกไม่ปลอดภัยมากกว่า

“ลิลี่จัง!”

『ค่ะ、ไว้มาคุยเรื่องฮารุซามะกันอีกครั้งนะคะ、รุรุซามะ!』

หลังจากนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเธอก็เอาแต่พูดถึงเรื่องของผมเท่านั้น……ย้า、เนื่องจากผมต้องเป็นคนแปลจึงจำบทสนทนาทั้งหมดได้จากต้องพูดถึงสองครั้ง……ทั้ง 2 คนดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี

รุรุซังคิดว่าผมจะถูกพาตัวไป、ส่วนลิลี่ซังที่ดูกังวลในตอนแรก เพราะเธอคุยกันไม่รู้เรื่องก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ผมเป็นเพียงคนแปล、คุชิมะซังก็แค่ใช้สมาร์ทโฟนของตัวเอง ยกเว้นเมื่อมีบทสนทนาจากรุรุซังเป็นครั้งคราว

『ฮารุซามะก็ด้วยค่ะ』

『ครับ ……จะว่าไปแล้วทำไมถึงเป็นซามะกันล่ะครับ?』

『ไม่ดี……งั้นเหรอคะ?』

『ไม่ครับ、ไม่ได้รังเกียจอะไร』

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับรุรุซังด้วย ดังนั้นบางทีอาจเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กคนนี้ก็ได้

สงสัยว่าเธออาจมาจากโรงเรียนสตรีโอเน่ซามะหรืออะไรสักอย่างน๊า

โกกิเก็นโยสินะ

ไม่ใช่สินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น แต่เป็นสินค้าของแท้ที่มีมานานหลายร้อยปีล่ะ

『――ขอพระเจ้าอวยพรคุณ』

『อะ、ครับ、ขอบคุณมากครับ』

“ว๊าวぁ、สวยจัง……”

“โค้งคำนับ(ถอนสายบัว)อย่างเป็นธรรมชาติー……เป็นมารยาทของชนชั้นสูงเน๊ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นคนย่อเข่า และสยายกระโปรงแบบนั้น……”

ลิลี่ซังทำสิ่งที่ตัวละครโอโจซามะทำในมังงะได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย

ผมรู้สึกเหมือนเราอยู่กันคนล่ะโลก

แบบนั้นดีจังเน๊ะ

จากนั้นห้องก็เงียบลง

ผมค่อย ๆ หลุดออกจากอ้อมแขนของรุรุซังแล้วหันกลับไป

แล้วนั่งคุกเข่า ยืดหลังตรง

“เอ๊ะโตะ……ฮารุจัง?”

“อะไรเหรอครับ”

“ทำไมไม่ขึ้นไปบนเตียงล่ะ……?”

“ความยุติธรรมในแบบของผมเองครับ”

“ไม่สิ、แต่ขาจะไม่ชาเอาเหรอ?”

“ผมไม่เคยเป็นเลยตั้งแต่ที่มาอยู่ในร่างนี้ครับ”

เด็กคนนี้กับผม เราผูกพันกันด้วยลมหายใจต่อลมหายใจ

อย่างน้อยก็ตอนที่โกรธ

“ไม่สิ、คราวนี้มาเพื่อช่วยคนใช่ไหมล่ะ? ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวอะไร”

“ไม่โกรธเหรอครับ?”

“แต่ฮารุซัง、ฉันหวังว่าคุณจะปรึกษาพวกเราในเรื่องแบบนี้สักคำหนึ่งก็ยังดีค่ะ”

“ขอโทษครับ”

ผมก้มหัวลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิมเมจของการคำนับสามนิ้วของลิลี่ซังก่อนหน้านี้

นั่นเป็นสามนิ้วที่สวยงามจริง ๆ

“มะ、ไม่เป็นอะไรไงล๊า!?”

“แต่”

“ก็เป็นเรื่องหนักใจจริง ๆ ที่คุณไปโดยไม่ขออนุญาตจากพวกเราก่อน แต่ก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะคะ ใช่แล้ว、หลังจากที่พวกเรารู้ว่าฮารุซังหายตัวไป พวกเราก็พยายามติดต่อคุณกันอย่างเต็มที่ แต่ก็รู้ตัวทันทีว่าคงเป็นเพราะคุณอยู่ในโหมดเงียบเหมือนวันก่อน”

“ขอโทษด้วยครับ”

อะ、นี่、ทำให้คุชิมะซังค่อนข้างโกรธจริง ๆ

มันน่ากลัวที่เมื่อเธอพูดสิ่งที่เป็นเรื่องจริงโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง

รุรุซัง และแม่ของผมเป็นคนประเภทแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา ผมเลยคุ้นเคยกับคนประเภทนี้ ดังนั้นเธอที่เป็นแบบนี้จึงน่ากลัวจริง ๆ

“……ฮารุจัง、อย่างน้อยก็อย่าให้สมาร์ทโฟนของคุณอยู่ในโหมดเงียบเน๊ะ……?”

“……………………………………”

“ฮารุซัง、ถ้าคุณมีอะไรจะพูด ฉันจะไม่โกรธ”

อะ、นี่มัน、ถ้าไม่พูดอะไรจะถูกโกรธ

“ที่ผมอยู่ในโหมดเงียบ”

“ค่ะ”

“เพราะว่ามันน่ารำคาญเวลาที่รุรุซังหรือเอมิซังแชทหากัน、แล้วพวกปิโกะปิโกะ(แจ้งเตือน)บินขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าครับ……”

“เอ๊ะ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมมักจะตั้งค่าให้เป็นโหมดเงียบ เพราะมันน่ารำคาญมาก และจะยังคงเป็นแบบนั้น”

“อะ、เอ๊ะโตะ”

“……แน่นอนฉันจะตรงไปตรงมาเลยนะคะ……รุรุซัง、โปรดอย่าทำเช่นนั้นอีกในอนาคต”

โอ้

ดูจากทิศทางของเสียงของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะมุ่งความสนใจไปที่รุรุซังแทน

หรือก็คือคุชิมะซังเองก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเน๊……ก็หวังว่าจะพูดแบบนั้นได้

ครั้งนี้ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่พูดอะไรเลย

“นั่นก็เกิดขึ้นในขณะที่ฉันอยู่ที่ทำงานเหมือนกัน……เพราะบางครั้งฮารุซังก็ติดต่อกับฉันเกี่ยวกับความต้องการบางอย่าง ดังนั้นฉันก็เลยปิดมันไม่ได้……”

“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยค๊าー!!”

รู้สึกเหมือนพื้นที่ข้าง ๆ จมลงไป

ลองมองงอย่างรวดเร็ว

รุรุซังเองก็ทำคุกเข่าอย่างสวยงสมเช่นกัน

อ้า

พวกเราคล้ายกันจริง ๆ

“……ฮารุซัง”

“ครับ、จากนี้ไป ผมจะบอกสักคำสองคำก่อนที่จะหนีไปครับ”

“ไม่ค่ะ、ต้องไม่ใช่อย่างงั้นสิคะ……”

“?”

แปลว่าถ้าผมอยากหนีก็หนีไปได้เลยใช่ไหม?

ผมสัญญาว่าจะติดต่อ แม้ว่าจะเป็นรายงานหลังจากทำไปแล้วก็ตาม

“ฮารุจัง……”

“……ฮารุซัง、สายรัดข้อมือที่แขนทั้งสองข้าง……”

“อืม、แบบนั่นน่าจะดีกว่า……”

“เอาอันที่มีGPSในตัว……”

“ก็ยังดีกว่า、โดนเชือกมัดอยู่กับใครสักคนด้วยกันล๊า……”

คราวนี้มีผลสะท้อนกลับนิดหน่อย

ผมรีบร้อนนิดหน่อย เพราะมีเรื่องของรุรุซัง

ไม่เป็นไร ครั้งหน้าผมจะระวังให้มากขึ้น

ทุกคนล้วนเคยผิดพลาดได้ แค่ไม่ทำเป็นครั้งที่ 2……อะ นี่เป็นครั้งที่ 2 ของผมแล้วนิหน่า

……ไม่เป็นไรตราบใดที่ไม่ทำครั้งที่ 3เน๊ะ……?

เน๊ะ?

แต่ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป

คืออะไรกันน่ะ

……อะ、เฮ็นไตซังไม่อยู่

เอมิซังจะอยู่ด้วยเสมอ น่าสงสัยจังว่าเธอหายไปไหนกัน

ーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーー

ขอบคุณมากสำหรับการอ่านตอนที่ 65

งานนี้เดิมตั้งใจโพสต์หลายเรื่องพร้อมกัน จากนี้ไปจะโพสต์ประมาณ 3,000 ตัวอักษรวันละครั้ง

ฉันเริ่มเขียนเรื่องนี้เพราะต้องการอ่านเรื่องเด็ก TSไลฟ์สดในดันเจี้ยน(อิทธิพล)

“การไลฟ์สดในดันเจี้ยนควรจะได้รับความนิยมมากกว่านี้”

“อะไรก็ได้ อยากเห็นโลลิ TS”