ตอนที่ 13 ไฟไหม้

ตอนที่ 13 ไฟไหม้

“ปู่คะ?” สิงซูอวี่เห็นปู่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงเอ่ยเรียกอย่างงุนงง

สิงหงเหวินส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็กินซาลาเปา ไข่ และโจ๊กอย่างเงียบ ๆ จนหมดเกลี้ยง แล้วเช็ดปากพูดว่า

“มีองค์กรที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลังเถาหยาง ต้องไม่ใช่องค์กรเดียวแน่ ๆ”

ข้าวและสัตว์ปีกเป็นของหายาก รสชาติของอาหารเหล่านี้ก็เหมือนกับก่อนวันสิ้นโลก ทำให้เขานึกย้อนถึงอดีตชั่วขณะราวกับว่าวันสิ้นโลกไม่เคยเกิดขึ้น

สิงหงเหวินคิดว่ามีสถานที่พิเศษสำหรับการเพาะปลูกพืชผลและเลี้ยงสัตว์ปีก ซึ่งเป็นการจัดหาให้เถาหยางเป็นพิเศษ

และสิ่งที่ให้มานั้นดีกว่าที่ผลิตโดยตงหยางเอง

สิงซูอวี่พยักหน้า “แต่ว่าเจ้าของอสังหาฯ ดูเหมือนหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง เธอชื่อซูเถา หนูเฝ้าดูแทบจะตลอดเวลา เธอพยายามทำความสะอาดด้วยเอง และดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีพลัง พิเศษอะไร”

หลังจากพูดจบก็แสดงรูปที่ถ่ายในเครื่องมือสื่อสารให้ผู้เป็นปู่ดู

มีเครื่องจำหน่ายอาหารเช้า ห้องนั่งเล่น ทางเดิน การตกแต่งภายในห้อง ฯลฯ เธอถ่ายรูปรายละเอียดบางอย่าง เช่น พื้นสะอาด ผนังสีขาว เฟอร์นิเจอร์ใหม่เอี่ยม…

หากจะบอกว่าไม่มีองค์กรที่แข็งแกร่งดำเนินการผลิตอยู่เบื้องหลังคงไม่มีใครเชื่อ

สิงหงเหวินถอดแว่นอ่านหนังสือออก และบอกหลานสาวของเขาอย่างเคร่งขรึม

“เธอน่าจะเป็นแค่ตัวแทน ชูอวี่ หลานอย่าลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ หากหลานรู้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังรีบแจ้งปู่โดยเร็วที่สุด องค์กรที่ทรงพลังเช่นนี้เราควรพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อผูกมิตร”

“บางทีก่อนวิวัฒนาการซอมบี้ระลอกที่สองจะเกิดขึ้น ตงหยางอาจสร้างพันธมิตรที่ไว้ใจได้” สิงหงเหวินเห็นว่าความผันผวนของชีวิตค่อนข้างน่าเป็นห่วง

สิงซูอวี่จึงปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง

เป็นเวลาตีสามที่สิงซูอวี่กลับมาที่เถาหยาง เมื่อเธอเดินผ่านห้องหนึ่งเธอก็ได้กลิ่นไหม้เล็กน้อย

แต่เนื่องจากกลิ่นอ่อนเกินไปเธอจึงเข้าไปในห้องของตัวเองโดยไม่คิดมาก และหลังจากอาบน้ำอุ่นชำระล้างกายเธอก็เข้านอนทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น สิงซูอวี่หาวหวอดลุกขึ้นจากเตียงก่อนแปดโมงเช้า แม้ว่าจะยอมรับคำสั่งทหารจากปู่ของเธอแล้ว แต่เธอก็ยังต้องไปทำงาน เธอกำลังเดินไปที่ตู้จำหน่ายอาหารเช้าในห้องนั่งเล่นเพื่อซื้ออาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกไปก็พบกับเพื่อนบ้านหลายคนที่กำลังวิ่งกอดเสื้อผ้าไปทางประตูหลัง

สิงซูอวี่ตามไปอย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อไปถึงก็เห็นเครื่องซักผ้าฝาหน้าใหม่เอี่ยมหกเครื่องวางอย่างเป็นระเบียบบริเวณทางด้านซ้ายและขวาของประตูหลัง

เจ้าของอสังหาฯ ซูคนนี้ทำในสิ่งที่เธอพูดจริง ๆ ทั้งยังมีการจัดการอย่างรวดเร็ว

สิงซูอวี่คิดถึงเครื่องซักผ้าเครื่องเก่าในบ้านของเธอ ตัวเครื่องเป็นสีเหลืองและเสียงดังทุกครั้งที่ซักเสื้อผ้า

เธอเกลียดมันทุกครั้งแต่แม่ของเธอมักจะบอกว่านี่เป็นเครื่องซักผ้าที่เอามาจากบ้านคุณยาย เป็นเครื่องซักผ้ามีคุณภาพสูงเป็นพิเศษก่อนวันสิ้นโลก และยังคงใช้งานได้หลังจากใช้งานมา 30 ปี

เมื่อเทียบกับเครื่องซักผ้าใหม่และเสียงเงียบทั้งหกเครื่องในเถาหยาง อืม…เถาหยางก็ไม่เลวนะ

เธอยกเครื่องสื่อสารขึ้นเพื่อถ่ายรูปเครื่องซักผ้า และขณะที่เธอลดมือลงก็เห็นเจ้าของอสังหาฯ ยืนอยู่ข้าง ๆ

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ” สิงซูอวี่วางเครื่องสื่อสารด้วยความลำบากใจ “เครื่องซักผ้าสวยดีน่ะ ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้”

ซูเถาเอียงศีรษะ “สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายได้ตามสบายเลย”

สิงซูอวี่รู้สึกว่าตนเองทำตัวเหมือนโจรมากขึ้นทุกวัน หน้าของเธอแดงก่ำและพูดบางอย่างสองสามคำด้วยความลำบากใจ จากนั้นรีบบอกลาเนื่องจากต้องไปทำงาน

ซูเถามองตามแผ่นหลังของเธอไป ความรู้สึกสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ในเวลานี้แม่บ้านอัจฉริยะก็ส่งเสียงเตือนทันที

ซูเถามองหาอย่างเลิ่กลั่ก และแน่นอนว่าได้กลิ่นควันเหม็นแสบจมูกเล็ดลอดจากประตูบานหนึ่ง

เธอตาเหลือกตาพองและรีบกดกริ่งห้องคู่หมายเลข 005 ทั้งทุบทั้งตะโกน

“มีใครอยู่ไหม!”

จะปล่อยให้ไฟลุกไหม้ไม่ได้เด็ดขาด ห้องทั้งหมดเชื่อมต่อกัน และยากที่จะควบคุมเพลิง

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ ซูเถาก็รีบโทรหาผู้เช่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องพัก

ทุกคนตาลีตาเหลือกวิ่งออกมาพร้อมกับถังน้ำ แต่ทันใดประตูห้องหมายเลข 005 ก็ถูกเปิดออก

ควันโขมงพวยพุ่ง ทำให้ทุกคนต้องผงะถอยไปสองก้าว

มีชายสองคนอาศัยอยู่ในห้องคู่นี้ ประตูถูกเปิดโดยเด็กหนุ่มตัวเตี้ยชื่อเจียงเจ๋อ ผมของเขาไหม้เกรียม และใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบเขม่าควัน

ซูเถาปิดปากและจมูกแน่นแล้ววิ่งพรวดเข้าไปด้วยความเร็ว เตียงเดี่ยว 2 เตียงที่เพิ่งซื้อมาถูกเผาจนจำสภาพเดิมไม่ได้ ประตูตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ครึ่งหนึ่งถูกเผาจนไหม้เกรียม

ชักโครกและอ่างล้างจานถูกไฟไหม้จนกลายเป็นสีดำสนิท ท่อโลหะผสมถูกเผาจนขึ้นสีแดงฉาน

ซูเถาโกรธแทบควันออกหู หญิงสาวระงับโทสะและถามอย่างใจเย็น

“นายทำอะไรในนั้น ก่อนให้คีย์การ์ดฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังความปลอดภัยและอย่าเอาวัตถุไวไฟเข้ามา ผู้เช่าที่นี่เยอะมาก ห้องของทุกคนก็ยังติดกัน ถ้าควบคุมไฟไม่ได้ทุกคนจะถูกเผาไปพร้อมกับนาย”

เมื่อเธอนึกถึงความร้ายแรงของเรื่อง ซูเถาก็รู้สึกหวาดกลัวและยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น

ผู้เช่าไม่กี่คนที่เหลือก็อกสั่นขวัญแขวน ทั้งยังตำหนิเมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของเจียงเจ๋อ

เจียงเจ๋อเช็ดหน้าเช็ดตา และดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดของซูเถา

“ไม่เป็นไร ฉันควบคุมไฟได้”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็แสดงความสามารถในการดับไฟให้ทุกคนเห็น เปลวไฟเล็ก ๆ สองดวงปรากฏอยู่บนปลายนิ้วของเขาแล้วดับลงอย่างรวดเร็ว

ซูเถายิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นไปอีก “ได้อ่านข้อตกลงก่อนลงนามหรือเปล่าว่าที่เถาหยางไม่อนุญาตให้ใช้พลังวิเศษ”

เจียงเจ๋อพยักหน้า “ฉันรู้ แต่ฉันไม่ได้ใช้มันเพื่อทำร้ายผู้คนหรือต่อสู้หรืออะไรเลย ก็แค่ฝึกฝนในห้องของตัวเอง ไม่ต้องตกใจไป ฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้”

ทัศนคตินี้ทำให้ซูเถาอยากที่จะไล่เข้าออกไปทันที

“เรื่องชดใช้ค่าเสียหายมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมนายไม่ฝึกข้างนอกล่ะ ฐานตงหยางก็มีสนามฝึกฟรี”

หลูเทาที่มาช่วยดับเปลวไฟก็อารมณ์เสียมากเช่นกัน

“ดูนายเป็นแบบนี้แล้ว คงเพิ่งได้พลังมาไม่นานสินะ ในช่วงเวลานี้ความสามารถเป็นสิ่งที่ควบคุมยากที่สุด เถ้าแก่ซู ผมแนะนำให้ไล่ชายคนนี้ออกไป ทัศนคติของเขาไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา”

ขงอวี้อิงภรรยาของหลูเทายังคงมีสีหน้าซีดเซียว มองไปที่เจียงเจ๋อเหมือนสัตว์ร้าย

ผู้เช่ารายใหม่หลายรายเห็นพ้องต้องกันว่าต้องการให้เจียงเจ๋อย้ายออก

เจียงเจ๋อรู้สึกไม่เต็มใจ เขาได้พบที่อยู่อาศัยที่ดีเช่นนี้ เขาไม่มีวันย้ายออกแน่นอน

“ฉันจ่ายเงินไปแล้วจะย้ายออกทำไม ฉันจะชดใช้ของที่เสียหายให้ตามราคา ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ย้าย”

ขณะที่เขาพูด เขาก็ปิดประตูกระแทกเสียงดังโครมคราม

“คนอะไรทำผิดแล้วยังไม่สำนึกอีก”

“การอยู่กับคนแบบนี้มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่รู้ไปโกรธใครมา”

“เถ้าแก่ซู คนแบบนี้มีครั้งแรกต้องมีครั้งที่สองตามมา ใครจะไปรู้ว่า วันหนึ่งเขาอาจจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วสร้างทะเลเพลิงขึ้นมาพวกเราจะทำยังไง?”

….

ซูเถาไม่คาดคิดว่าผู้เช่ารายใหม่จะก่อเรื่องวุ่นวายให้เธอในวันที่สองหลังจากย้ายเข้ามา

เธอเคาะประตูกดดันอีกฝ่าย “ฉันให้เวลานายสิบนาที ถ้านายไม่ออกมา ฉันจะไล่นายออกจากเถาหยาง”