ตอนแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงแค่รูปภาพเช่นเดียวกับคารัค
แต่พอเขาลองคิดจะอ่านมันเหมือนอ่านตัวอักษร ก็พบว่าเขาสามารถอ่านมันได้
‘นี่มัน? เราเรียนภาษาเผ่าอื่นได้ง่ายขนาดนี้เลยหรอวะ?’
เพราะเป็นแค่ขั้น1 เขาก็เลยไม่สามารถเข้าใจภาษาที่ซับซ้อนได้ แต่แค่นี้ ก็สามารถนำมาทำประโยชน์ได้มากแล้ว
‘แบบนี้ เราก็หมดห่วงทุกปัญหาเกี่ยวกับภาษาได้เลยสินะ?’
เขาเรียนภาษาอะไรก็ได้ในการมองเพียงครั้งเดียว ต่อจากนี้ ไม่ว่าเขาจะไปไหน อะไรๆก็จะง่ายขึ้นมาก!
ขณะที่อินกองตะโกนดีใจอยู่ภายในหัว คารัค เคทลิน และเซร่า ต่างก็มองเขาอย่างงงๆ
คารัคทักขึ้นมาเป็นคนแรก
“เอ่อ องค์ชาย…แกอ่านไอนี่ออกจริงๆงั้นหรือ?”
ถึงจะบอกว่าอ่านไม่ออกก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อทุกคนเพึ่งจะได้ยินเขาอ่านมัน
แต่ก็ต้องขอบคุณคารัค ที่ดึงสติของเขากลับมา อินกองพยักหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ ก็แค่นิดหน่อยนะ”
“สุดยอด!”
เคทลินจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
และก็ไม่ใช่แค่เคทลินเท่านั้น
“พระปรีชาสามารถของใต้ฝ่าพระบาททรงกว้างไกลยิ่งนัก ข้าพระพุทธเจ้าได้เปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมาก”
เซร่าก็ทึ่งไปเหมือนกัน
‘มันหาคนที่อ่านอักขระของดวอฟออกยากขนาดนี้เลยหรือ?’
ถึงจะอพยพไป แต่พวกดวอฟก็ยังมีชีวิตอยู่ มันจึงไม่ถือว่าเป็นภาษาที่สาบสูญแต่อย่างใด
‘เราคงต้องบอกว่าเรียนเอาเองจากหนังสือละนะ’
ระหว่างที่อินกองคิดหาข้ออ้าง คารัคก็พูดขึ้นมาช่วยเขาไว้
“องค์ชาย แล้วไอ้นี่มันเขียนไว้ว่าอะไร?”
ต้องขอบคุณคารัค สายตาแปลกๆของเคทลินและเซร่าที่มองอินกอง กลับมาที่อักขระรูปภาพอีกครั้ง
“แปปนะ.”
เพราะเป็นเพียงขั้น1 ทำให้ระดับการเข้าใจของเขาไม่สูงมากนัก เขาต้องใช้เวลาพอสมควรในการปะติดปะต่อคำแต่ละคำให้เป็นประโยค
‘เหมือนจะเป็นคู่มืออธิบายวิธีการใช้?’
อินกองอ่านทวนสามรอบ ก่อนจะชี้ไปยังแท่นเหล็กที่ตั้งบนพื้นข้างๆรูปภาพ
“รบกวนนูนะช่วยส่งพลังเวทเข้าแท่นนี่หน่อยสิครับ ผมควบคุมพลังเวทยังไม่ค่อยเก่ง”
อินกอง แกเอาพี่สาวสุดยอด! มาเป็นหนูทดลองได้ไงเนี่ย อุปกรณ์ไม่ได้ใช้ตั้งร้อยกว่าปีมันอาจจะระเบิดก็ได้นะเอ้อ ୧((Φ益Φ))୨
ความจริงก็คือเขาไม่รู้วิธีใช้เวทมนตร์เสียด้วยซ้ำ แต่เขาจะขอให้เธอใช้เวทมนตร์อัดเขาเพื่อเรียนรู้ในตอนนี้ก็ไม่ได้
“เข้าใจละ”
เคทลินทยอยปล่อยพลังเวทเข้าแท่นเหล็กทีละน้อย แสงสีฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมา แล้วรวมตัวกันเป็นภาพจำลอง3มิติ ตรงหน้าอินกอง
“นี่มัน เทือกเขาจิชก้า”
อย่างที่คารัคอุทาน ภาพจำลองตรงหน้าเป็นของแนวภูเขาที่มองจากมุมสูง อินกองอ่านอักขระที่แสดงชี้จุดต่างๆ ราวกับแผนที่3มิติ แล้วชี้ไปยังหนึ่งในนั้น
“ตรงนี้คือที่ที่เราอยู่ ส่วนนี่ก็คือประตูหมายเลขสาม”
แผนที่จำลองแสดงให้เห็นถึงประตูมิติอื่นๆ และหมายเลขสามก็อยู่ที่ภูเขาใกล้เคียง ใบหน้าของเซร่าแสดงความตื่นเต้นออกมา
“แสดงว่ามีถ้ำดวอฟอยู่ตรงนั้นด้วยสินะเพคะ?”
“เอ่อ ทำไมรึ?”
อินกองประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเซร่า คารัคที่เข้าใจความคิดของอินกองจึงพูดขึ้นมา
“องค์ชาย ข้างหน้าตรงนั้นคือฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด และภูเขาลูกนี้ก็อยู่ข้างหลังมันพอดี!”
อินกองเข้าใจในที่สุด เซร่าถามเขาอีกครั้ง
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าสิ่งนี้จะยังใช้การได้หรือไม่?”
“ก็น่าจะ?”
อินกองมองดูอักขระที่แสดงขึ้นมาในแผนที่3มิติ มันแสดงให้เขาเห็นว่าประตูมิติยังคงใช้งานได้ ไม่มีส่วนใดเสียหาย
ประตูมิติใช้พลังเวทเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงาน หากมีเพียงพอ เส้นทางสู่ฐานที่มั่นของเผ่าสายฟ้าชาดก็จะเปิดให้พวกเขาใช้การได้
“ใต้ฝ่าพระบาท…”
เซร่าหันไปหาเคทลิน แววตาและเสียงของเธอปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เคทลินจ้องเซร่าด้วยสีหน้าเข้มงวดก่อนจะส่ายหน้าเบาเบา เธอวางมือบนไหล่ของอินกองแล้วประกาศออกมา
“ฉัตร นี่เป็นความดีความชอบของเธอ และฉันไม่เคยมาที่นี่”
เซร่าถอนหายใจ แต่เคทลินไม่กลับไปมองนาง
อินกองพอจะเข้าใจความรู้สึกของเซร่า
ประตูมิตินี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก ความดีความชอบย่อมตกเป็นของผู้แรกที่ค้นพบมัน
แต่เคทลินเพึ่งจะประกาศว่าเธอไม่เคยมาที่นี้และรักษาสัญญาที่ให้ไว้
“นูนะ…”
“นี่เป็นผลงานของเธอ ถึงฉันจะไม่ได้มาด้วย จะช้าหรือเร็วเธอก็จะพบที่นี่ เธอยังเป็นผู้พบวิธีใช้งานมันด้วย ฉันไม่ใช่คนปลิ้นปล้อน และฉันทำตามคำพูดที่ให้ไว้เสมอ”
เคทลินมาเพื่อปกป้องเขาอย่างแท้จริง นางไม่ได้พูดเพื่อพอเป็นพิธีแต่อย่างใด
อินกองพยักหน้ารับในที่สุด
“เข้าใจแล้วครับนูนะ ขอบคุณนะครับ”
เคทลินหัวเราะแล้วปิดใบหน้าด้วยชุดคลุมเหมือนเดิม แม้เซร่าจะมีสีหน้าผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่นางก็เคารพในสิ่งที่เจ้านายของนางตัดสินใจ
“ฉัตร พอเรายืนยันได้แล้วว่าประตูมิติยังใช้การได้ เรากลับไปหาคริสต์อบป้ากันก่อนเถอะ ดูเหมือนเราจะต้องใช้กำลังพลในการสำรวจถ้ำนี่มากกว่าที่คิด”
พวกเขาต้องกลับไปรายงานทัพหลักเกี่ยวกับการมีอยู่ของประตูมิตินี้ และด้วยการที่อินกองสร้างผลงานในภารกิจนี้ไว้มากแล้ว ต่อ
ให้ทหารของคริสต์และเคทลินจะถูกส่งให้มาคุ้มกันที่นี่ ก็ไม่มีผลกับตัวเขาแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยใส่พลังเวทเข้าไปตรงนี้ด้วยครับ”
อินกองชี้ไปยังคริสตัลตรงศูนย์กลางของวงเวท
เคทลินพยักหน้าแล้วเริ่มส่งผ่านพลังเวทเข้าผลึก
&
กว่าอินกองและเคทลินจะกลับถึงค่ายก็ดึกแล้ว แต่ทั้งคู่ก็เดินทางไปยังค่ายของคริสต์ต่อ
“อบป้าต้องตกใจแน่นอน”
คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวจากเคทลินทำให้คริสต์หันไปถามอินกอง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผมจะอธิบายครับ”
อินกองกระแอมเล็กน้อยก่อนจะกางแผนที่ที่เขาวาดขึ้นมา ถึงแม้จะลงรายละเอียดถึงแค่บริเวณห้องโถงที่เขาสู้กับแมงมุมศิลา แต่คริสต์ก็เห็นถึงความสำคัญของมันในทันที
“เราบุกเข้าตีไครัมจากด้านหลังได้”
ไครัมเป็นพี่ของไคชิน และเป็นแม่ทัพของเผ่าสายฟ้าชาดที่คริสต์กำลังเปิดศึกด้วย
คริสต์หันไปมองเคทลินอย่างประหลาดใจ แต่เคทลินกลับส่ายหน้า
“ยังมีอะไรอีกหรือ?”
“มีแน่นอน”
พูดเสร็จเคทลินก็เงียบอีกครั้ง พอคริสต์หันกลับมามองอินกอง เขาก็เริ่มอธิบายทุกอย่างให้คริสต์ฟัง
เรื่องเกี่ยวกับประตูมิติทำเขาประหลาดใจอย่างมาก
เขาสับสนเล็กน้อยตอนที่ได้ยินว่าอินกองอ่านอักขระดวอฟได้ และแน่นิ่งไปเลยหลังจากที่รู้ว่าประตูมิติสามารถทะลุไปโผล่ที่ด้านหลังฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด
“เอ่อ อบป้า?”
เคทลินถามอย่างไม่แน่ใจหลังจากที่เห็นท่าทางพี่ชายของเธอแปลกไป คริสต์จ้องเข้าไปในดวงตาของอินกอง
“แกเป็นใครกันแน่?”
“เอ๋?”
คราวนี้เป็นอินกองที่มีอาการตื่นตระหนก หรือว่าคริสต์จะรับรู้ได้ถึงเรื่องที่เขาไม่ใช่ฉัตร?
ในขณะที่อินกองกำลังเคร่งเครียดหาวิธีแก้สถานการณ์ ทันใดนั้นคริสต์ก็หัวเราะออกมาดังลั่น เขาโผเข้ามากอดอินกองเอาไว้
“นี่มันเยี่ยมสุดๆ! เยี่ยมยอดไปเลย!”
มันยิ่งไปกว่าการพบสายแร่ทองคำ
เคทลินถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากเห็นคริสต์หัวเราะร่า อินกองก็เช่นกัน
“เอาละ ในเมื่อพวกดวอฟอุตส่าห์สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่งดงามทิ้งเอาไว้ให้แบบนี้ ก็ขอเอามาใช้อย่างไม่เกรงใจละนะ”
ไม่ใช่แค่เฉพาะในการรบครั้งนี้ ประโยชน์ของประตูมิติและเส้นทางในถ้ำ จะเพิ่มมูลค่าให้เทือกเขาจิชก้าอย่างแน่นอน
‘เขาดูต่างออกไปจากเคทลิน’
มันไม่ใช่แค่ว่าเขาแก่กว่านาง 2 ปี
คริสต์เป็นองค์ชายที่แท้จริง เขามีความทะเยอทะยานและคิดอะไรมากกว่าที่ผู้คนเห็น เขาได้เผชิญหน้ากับทั้งคู่ตอนที่เล่นเป็นแซเฟียร์และรู้ถึงความแตกต่าง ในขณะที่เคทลินเปรียบเสมือนนับรบเผ่าไลแคนโทรป คริสต์เป็นเสมือนผู้นำเผ่า
คริสต์ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์แบบเคทลิน เขามองไปที่คุณประโยชน์ในตัวของฉัตร
“ฉัตร นายอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ผมอยากได้อะไรเป็นพิเศษ?”
“ถูกต้อง แน่นอนว่าผลงานระดับนี้ทางวังหลวงต้องตบรางวัลให้อย่างงามแน่นอน แต่ในฐานะพี่ชายและผู้นำในภารกิจนี้ เราก็อยากจะตบรางวัลให้นายเหมือนกัน”
คริส เคทลิน และอินกองต่างก็เป็นบุตรธิดาของจอมมาร แต่คริสต์เป็นผู้คุมอำนาจการตัดสินใจของภารกิจในครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่
เขาอยากจะให้รางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงานเด่น
‘แต่ว่า…’
อินกองหายใจเข้าให้เต็มปอด เขาอาจจะคิดผิดแต่มันดูเหมือนว่าคริสต์พยายามจะซื้อตัวอินกองไว้ มันต่างไปจากตอนที่เขาบอกว่าจะสอนวิธีการควบคุมลมปราณ
‘เรายังอยากได้คริสต์มาเข้าร่วมอยู่นะ’
ขึ้นอยู่กับคำตอบของอินกอง ความสัมพันธ์ของเขากับคริสต์อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
“มันอาจจะฟังดูไร้มารยาทอยู่บ้าง จะเป็นอะไรไหมครับ?”
แม้คำพูดของอินกองฟังดูท้าทาย แต่คริสต์ก็ยิ้มรับ
“โฮ่? ไร้มารยาทเลยงั้นรึ? เอ็งอยากได้อะไรละ?”
เขาสามารถขอลูกน้องเก่งๆ หรือของวิเศษเพื่อไว้ใช้ในอนาคต
แต่ว่าเขากลับเลือกบางอย่างที่แหกโค้งออกไปเลย
“ผมต้องการเรียน เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ”
야수신컨을 แปลออกแค่ 야수 สัตว์ป่า กับ 신 เทพ ก็เลยลงเอยที่ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ
“ฉัตร?”
เคทลินถึงกับอ้าปากค้างไปเลย
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ เป็นกระบวนท่าลับที่สืบทอดต่อกัน ตามสายเลือดราชวงศ์ของเผ่าไลแคนโทรปเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าสายเลือดราชวงศ์ แต่อันที่จริงก็มีเพียงตระกูลหลักและผู้ใกล้ชิดไม่กี่ตน ทำให้มันเป็นสัญลักษณ์สูงสุดประจำตระกูล
ของแบบนี้จะเอามาสอนให้คนนอกอย่างอินกองได้อย่างไร?
‘ในเมื่อเราเลือกที่จะลงเรือลำเดียวกับสองพี่น้องนี่แล้ว’
ในวังจอมมารแบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ๆ
ฝ่ายขององค์ชายลำดับหนึ่ง ไบคาล แร็กนารอส ฝ่ายขององค์ชายลำดับสอง แซเฟียร์ แร็กนารอส และฝ่ายขององค์หญิงลำดับสี่ อนาสทาเชีย เนคริออน
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเข้าร่วมฝ่ายของแซเฟียร์ได้ ฝ่ายของไบคาลก็ถูกตัดทิ้งเพราะแม่ของทั้งสองเป็นศัตรูกัน ทางเลือกเดียวก็คือฝ่ายของอนาสทาเชีย แต่นางก็เรียกได้ว่าไม่ต่างจากแซเฟียร์สักเท่าไร
‘เราคงต้องยอมสร้างฝ่ายของตัวเองขึ้นมา’
ซึ่งในกรณีนี้ ทั้งคริสต์และเคทลินถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม
แม้ชาติกำเนิดเคทลินถือเป็นความลับและจุดอ่อนอันใหญ่หลวง แต่ถ้าเขาทำอะไรกับมันได้สักอย่าง ปัญหาก็จะไม่เกิด
ยิ่งไปกว่านั้น บุคลิกของเคทลินที่เขาเห็นในถ้ำดวอฟวันนี้ ก็ครองหัวใจเขาเป็นที่เรียบร้อย นางเป็นที่พึ่งพาได้
เขาไม่ได้เลือกเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเพียงเพราะมันเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
‘เราหาลูกน้องเพิ่มที่หลังได้ อาวุธทั้งหลายก็ยังดีเกินไปสำหรับตัวเราในตอนนี้’
แต่ไม่ใช่กับเทคนิค ยิ่งเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพถือเป็นกระบวนท่าต่อสู้ขั้น S ยิ่งแล้วใหญ่
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า เคล็ดวิชาขั้น SS เป็นที่ยอมรับกันอย่างมากในไกด์ออนไลน์ แม้แต่ขั้น S ก็ถือว่าเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงแล้ว โดยเพลงดาบจอมราชันของแซเฟียร์ก็ถือว่าอยู่ในขั้นนี้
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้มันมีค่ามาก
คริสต์หรี่ตามองอินกองอย่างจริงจัง ก่อนที่จะยักไหล่แล้วหัวเราะออกมา
“เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพงั้นรึ? ไม่เลว ไม่เลว ถ้าไม่ได้ฝึกจนถึงขั้นสูง มันก็แทบไม่ต่างจาก เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร ละนะ”
เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร เป็นกระบวนท่าที่จะสอนให้แก่ไลแคนโทรปที่เกณฑ์ทหารทุกตน
อินกองรู้เหนือสิ่งอื่นใด ว่าการสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพบ่งบอกถึงอะไร มองจากภายนอกแล้ว มันเป็นอะไรที่เขาไม่มีทางจะได้เรียนรู้
“ถ้าแค่ตอนนี้… ก็คงสอนได้ถึงแค่วิชาเนตร ยังจะอยากเรียนอยู่ไหม?”
“แน่นอนครับ”
เขาสามารถหาวิธีเพิ่มขั้นได้ในภายหลัง หรือถ้าไม่มีหนทางเขาก็สามารถใช้แต้มทักษะเพิ่มขั้นได้ มันสำคัญที่เขาต้องได้เรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเสียก่อน
“ไอ้หนูนี่มันน่าสนใจจริงๆ น่าสนใจมากๆด้วย ถ้าอย่างนั้น ก็เอาเหมือนลมปราณละกัน เรากับเคทจะผลัดกันสอนนาย”
คริสต์หันไปมองเคทลินขณะพูด นางได้แต่พยักหน้าอย่างตามไม่ทันในสิ่งที่เขาคิด ดูเหมือนมันจะทำให้นางสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย
“ฉัตร”
คริสต์ยื่นมือออกมาเหมือนเขาต้องการจะจับมือกับอินกอง รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนในหน้า แต่แววตาของเขาไม่ได้เล่นด้วย
“นอกเหนือจากเคทแล้ว เราจะเรียกนายเป็นน้องรักได้ไหม?”
เป็นคำที่มีความหมายแฝงมากมาย
อินกองหายใจลึกๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปจับมือกับคริสต์
“แน่นอนครับ”
แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวของอินกอง
[ก่อตั้งพันธมิตรกับ คริสต์ มูนไลท์/เคทลิน มูนไลท์ เสร็จสิ้น]
[สถานะพันธมิตร: พันธมิตรธรรมดา]
อินกองยิ้มพร้อมเขย่ามือเล็กน้อยพอเป็นพิธี
จบบทที่ 2 – พันธมิตร เริ่มบทที่ 3 – ช่วยชีวิต