[ชื่อ: ฉัตร อิกษณา] [อายุ: 14] [เผ่าพันธุ์: คนธรรพ์]
[อาชีพ: พระเอก] [อาชีพรอง: อาชาแห่งอาณัติ ขั้น1]
[เอกลักษณ์: เจ้าชาย/ อาชาแห่งอาณัติ] [เลเวล: 9]
พละกำลัง: 21
สติปัญญา: 21
ความคล่องตัว: 21
ความสามารถ: 21
ความทนทาน: 21
ความแข็งแกร่ง: 21
พลังจิต: 21
พลังเวท: 21
สเน่ห์: 17
ค่าสถานะเพิ่มเติม: 14
“อืมมม”
อินกองพยักหน้าช้าๆ ขณะที่เขาตรวจดูหน้าต่างสถานะ มีสถานะหนึ่งอย่างที่เด่นขึ้นเพราะตัวเลขที่แตกต่างออกไป
‘สเน่ห์’
ในบทกวีแห่งผู้กล้า สเน่ห์ถูกจัดแบ่งแยกจากรูปร่างอย่างชัดเจน ในขณะที่รูปร่างคือลักษณะภายนอกที่ทำให้บางคนถูกจัดว่าหล่อ สวย สเน่ห์กลับเป็นสิ่งที่ใช้ดึงดูดผู้คน
มันใช้อธิบายความรู้สึกดีอย่างไม่มีเหตุผลเวลาอยู่กับคนบางคนได้ คนที่ดูดีแม้จะมีหน้าตาบ้านๆ จวบจนกุหลาบงามแฝงหนามคมอย่างนางร้ายในละคร
ในทางกลับกัน บางคนที่แม้จะดูดี แต่กลับไม่มีใครอยากเข้าใกล้
หน้าตาของฉัตรจัดว่าได้คะแนน 7/10 ซึ่งก็เรียกว่าหล่อเอาการอยู่ และในตอนนี้ ที่สเน่ห์ของเขามากกว่า นาย ก แล้ว ทำให้หน้าตาของเขาไม่ถือว่าเสียของ
แต่ที่อินกองสนใจจริงๆก็เพราะว่าสเน่ห์ของเขาน้อยกว่าค่าสถานะอื่น
‘ดูเหมือนสถานะที่ได้จากการเพิ่มเลเวลจะเปลี่ยนไปนะ’
ในตอนแรก เวลาที่เขาเพิ่มเลเวล ค่าสถานะทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นอย่างละ 2 หน่วย แต่ตอนนี้ สเน่ห์เพิ่มขึ้นเพียง 1 หน่วยเท่านั้น
‘สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก’
ตัวละครแต่ละตัวในบทกวีแห่งผู้กล้าล้วนมีลักษณะการเติบโตที่ต่างกันออกไป บางตัวละครการเติบโตในช่วงแรกจะไม่ค่อยดีนัก พอมีเลเวลที่สูงขึ้น ตัวละครนั้นจึงจะเริ่มแสดงให้เห็นถึงสถานะเด่นของตนเองขึ้นมา แต่ตัวละครหลักอย่างแซเฟียร์กับล็อคค์จะมีค่าสถานะเติบโตที่ดีตั้งแต่แรกจนจบ
เป็นกราฟแบบ linear กับ S curve ถ้าเทียบเป็น moba ก็คงจะแบบ semi-carry(linear)เก่งเสมอต้นเสมอปลาย hardcarry(reverse S)ฟาร์มของแล้วเทพท้ายเกม nuker(S)ยิงตูมตายช่วงแรก พอหลังๆทำอะไรไม่ค่อยได้ ละมั้ง(?) แซเฟียร์กับล็อคค์เป็น linear ส่วนฉัตรเป็น reverse S
แต่ยังไงถ้าไม่นับสเน่ห์ สถานะทั้งหมดของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอย่างละ 2 ต่อเลเวล แล้วไหนจะค่าสถานะเพิ่มเติมอีก โดยรวมก็ถือว่าฉัตรโตเร็วกว่าแซเฟียร์กับล็อคค์ละนะ
‘อย่างที่เดาได้จากอาชีพพระเอกเลย’
อินกองแสยะยิ้มหลังจากคิดอะไรหลายอย่าง
เขาไม่ได้ใช้แต้มทักษะจากการเพิ่มขึ้นเป็นเลเวลเก้า ทักษะของเขาจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
‘หึหึหึ นี่คือผลสัมฤทธิ์จากการลงแรงของเรา วะ ฮะ ฮะ ฮ่า’
นึกภาพหัวเราะสามจังหวะแบบจอมมาร/ตัวร้ายในการ์ตูน หึหึหึ ฮะฮะฮะ วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
หลังจากที่สร้างพันธมิตรกับคริสต์และเคทลิน เขาก็กลับมาที่กระโจม แต่แทนที่จะหลับ เขากลับใช้เวลาสามชั่วโมงรวดในการฝึกฝนสิ่งต่างๆ
มือหนึ่งเขียนอักขระดวอฟลงในกระดาษ มืออีกข้างใช้เทเลคิเนซิสเคลื่อนสิ่งของชิ้นเล็กๆ
นอกจากนี้เขาก็จดจำคำศัพท์ต่างๆไปด้วย เขาเปลี่ยนเนื้อเพลงโปรดของเขาเป็นคำต่างๆในภาษาดวอฟ
ไสว่าสิบ่ leave me ไสว่าสิ love me forever~ เออ ก็ดูเข้าท่าแฮะ
ถึงค่าประสบการณ์ทักษะของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูจากวี่แววแล้ว กว่าจะเพิ่มเป็นขั้นสองก็คงใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
เนื่องจากทักษะของเขายังเป็นเพียงขั้นแรก การฝึกเทเลคิเนซิสของเขาเป็นเพียงการใช้มันสัมผัสวัตถุต่างๆในกระโจม เขายังใช้มันได้ไม่คล่องพอที่จะหยิบจับ ยกสิ่งของเหล่านี้
‘เราควรฝึกเทเลคิเนซิสให้ขึ้นเป็นขั้นสองเอง ได้ถือเป็นการทำความคุ้นเคยกับมันไปด้วย การจะเก่งมันทุกด้าน ก็ต้องฝึกมันอย่างหนักทุกด้านละนะ’
นอกเหนือจากนี้ อินกองยังคงต้องการที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ โดยเฉพาะเวทรักษา จะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเอาตัวรอด ก็ว่าได้
‘ถึงจะเรียนรู้ได้แค่ขั้นเดียว ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย’
หลังจากคิดไปสักพัก เขาก็วกมาที่ทักษะที่ไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
อาณัติ ใต้ร่มเงากษัตริย์ พลังพระเอก
วิชาประหลาดพวกนี้ยังคงอยู่ที่ขั้น1 ถึงแม้ความสามารถของมันจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อินกองก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ความจริงก็คือเขาแทบจะไม่ได้ทดลองอะไรกับพวกมันเลยเสียด้วยซ้ำ
แกสอบตกการเป็นเกมเมอร์นะเนี่ย ไม่อัพสกิวประจำตัวให้เทพได้ไง ถ้าเกมวางแผนก็เหมือนญี่ปุ่นไม่อัพซามูไร มองโกลไม่อัพม้าธนู กรีกไม่อัพสปาตาร์…
‘เราน่าจะใกล้เลเวล 10 ละนะ’
นอกเหนือจากสองวิธีทั่วไปที่ใช้ในการเพิ่มขั้นทักษะแล้ว ยังคงมีวิธีที่ยุ่งยากในการเพื่อขั้นวิชาอยู่
เมื่อเลเวลของตัวละครเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง จะมีบางทักษะที่เพิ่มขั้นขึ้นเอง
เลเวล 10 เป็นหนึ่งในเงื่อนไขยุ่งยากนั้น
ในบทกวีแห่งผู้กล้าก็เหมือนกัน เมื่อแซเฟียร์และล็อคค์เพิ่มเลเวลจนถึง 10 ทักษะเฉพาะของทั้งคู่ ‘รัชทายาททมิฬ’ กับ ‘ผู้ถูกเลือก’ ก็จะเพิ่มขึ้น1ขั้น
สวัสดี ล็อคค์ สกายวอล์คเกอร์ อ่าว ลุค หรอ โทษๆ
“พนันได้เลยว่าอาณัติไม่ก็พลังพระเอกต้องเพิ่มขั้นแน่นอน!”
อินกองบ่นออกมาก่อนจะปิดหน้าต่างสถานะ เขาอยากจะฝึกต่อให้ถึงเลเวล10ไวๆ แต่เขามีงานสำคัญต้องทำในวันนี้ และพรุ่งนี้
“องค์ชาย ข้าเข้าไปละนะ”
เขาได้ยินเสียงคารัคที่ยืนรออยู่ข้างนอกกระโจม
“เข้ามาได้”
แม้จะยังเช้าอยู่ แต่คารัคก็ใส่ชุดเกราะมาอย่างพร้อมรบ มันถือโล่ที่เขาไม่เคยเห็นมาด้วย
“แกทำอะไรอยู่หรือเปล่า?”
“ก็แค่ฝึกอะไรนิดหน่อยนะ นี่พวกเราจะเดินทางกันเลยตอนนี้?”
“องค์ชายเข้าใจถูกต้องแล้ว ในครั้งนี้ องค์ชายคริสต์จะมากับพวกเราด้วย
ภารกิจในครั้งนี้คือการรวบรวมข้อมุลเกี่ยวกับประตูมิติ และยึดอาณาเขตด้านหลังฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาดให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ถ้างานทั้งหมดเสร็จได้ในวันนี้ พวกเขาก็จะพร้อมบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้หรือในวันถัดไป
“งั้นก็เดินทางกันเถอะ”
ถึงแม้ว่าจะเพึ่งฝึกอย่างต่อเนื่องมาถึง 3 ชั่วโมง อินกองก็ตอบไปอย่างกระปรี้กระเปร่า
&
ค่ายของเคทลินค่อนข้างวุ่นวายเสียทีเดียว คริสต์และเคทลินก้าวออกมาตอนรับอินกองที่ด้านหน้า พร้อมเหล่าทหารไลแคนโทรปที่ตามเป็นองครักษ์อยู่ด้านหลัง
“ฉัตร”
เคทลินกล่าวต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม ทั้งคู่ดูเป็นกันเองมากขึ้น เป็นผลมาจากพันธมิตรที่สร้างขึ้นเมื่อคืนวาน
‘ยิ่งดูชื่นชอบเราเท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเราละนะ’
โชคไม่ดีที่ในบทกวีแห่งผู้กล้าไม่มีวิธีดูข้อมูลนี้ได้โดยตรง จะทำได้ก็เพียงผ่านเวทมนตร์เฉพาะ หรือร้านค้าบางร้านเท่านั้น
ทำให้มีบางกรณีที่ขุนพลที่ดู ‘ภักดี’ ก่อกบฏขึ้นมากระทันหัน
คริสต์เดินเข้ามาโอบไหล่อินกอง ก่อนจะพูดอย่างสนิทสนม
“มื้อเที่ยงก็เตรียมเรียบร้อย ไว้ค่อยไปกินเอาในถ้ำละกัน รีบเดินทางกันเถอะ”
ท่าทางของเขาเหมือนกับเด็กที่กำลังจะเดินทางปิกนิกเป็นครั้งแรก เคทลินถอนหายใจก่อนจะอธิบาย
“ระหว่างที่พวกเราตรวจสอบประตูมิติ เซร่าจะนำทหารกวาดล้างพวกสัตว์อสูรที่เหลือ”
อินกองได้แต่นิ่งเงียบระหว่างที่เคทลินชี้ไปทางเซร่า
‘จะขอไปร่วมกำจัดพวกสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มเลเวล มันก็คงฟังดูแปลกๆ’
เขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ การเก็บกวาดเส้นทางในถ้ำ กับการตรวจสอบประตูมิติต้องรีบทำในเวลาพร้อมกัน
คริสต์บีบแขนของอินกอง
“การค้นพบประตูมิติเป็นความดีความชอบของเอ็งคนเดียวเลยนะ กลับวังเมื่อไร ชีวิตเอ็งสบายขึ้นแน่นอน สายตาจ้องมองจากพี่น้องคนอื่นก็คงจะเปลี่ยนไปด้วย”
แววตาของ ‘ฮยอง’ ดูจะแฝงรังสีอำมหิตเล็กน้อยในตอนที่พูดถึง ‘พี่น้องคนอื่น’
‘รางวัลก็ฟังดูไม่เลวนะ แต่ถ้าต้องเด่นขึ้นมาตอนนี้นี่ ไม่อยากได้เลยยย’
มันเหมือนเป็นการบอกให้แซเฟียร์มาเพ่งเล็งเขา แต่จะให้ฉัตรดูอ่อนแอแบบนี้ต่อไปก็คงไม่เข้าท่า เขาต้องเสี่ยงลงทุน ถึงจะได้ผลตอบแทนกลับมาบ้าง
‘เดิมทีฉัตรมันก็ถือว่ากระจอกสุดๆเลยนะ บางทีแบบนี้อาจจะดีก็ได้?’
เป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกนำไปซุบซิบนินทา
แต่ที่สำคัญก็คือ เขาไม่จำเป็นจะต้องกลัวโดนเพ่งเล็งแต่แรก เขาไม่ได้สร้างพันธมิตรขึ้นมาเพื่ออยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
ระหว่างที่อินกองกำลังคิดแต่เรื่องแง่ร้าย คริสต์ที่เข้าใจผิดจากสีหน้าอินกอง ก็ตบไหล่เขาเบาๆ
“คิดมากน่า เดี๋ยวเอ็งก็ได้เรียนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพแล้ว ลมปราณเอ็งดูยังไม่แก่กล้านัก เพราะงั้นก็เลยอาจจะต้องใช้ยาช่วยนิดหน่อย แต่วัตถุดิบมันค่อนข้างจะหายากก็เลยต้องใช้เวลา”
“จบงานครั้งนี้แล้วน่าจะพอมีเวลาอยู่ ฉันจะตั้งใจสอนเธอเอง”
เคทลินก็เข้ามาร่วมพูดด้วย
ดูเหมือนจะมีเวลาไม่เพียงพอให้เขาเรียนทุกอย่างที่อยากเรียน
อินกองมองเคทลินแล้วหัวเราะในใจ
‘เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพกับลมปราณก็ยอดนะ แต่เราก็ยังอยากเรียนเวทมนตร์…ไม่สิ’
มีความคิดแวบเข้ามาในหัวของอินกอง
‘นี่เราจำเป็นต้องโดนอัดด้วยเวทมนตร์จริงหรือ?’
จนถึงตอนนี้ เขาเรียนรู้ทักษะต่างๆได้ 2 วิธี
วิธีแรกคือทำการกระทำที่ต้องใช้ทักษะนั้นๆ
วิชาดาบพื้นฐาน การอ่านแผนที่ อักขระดวอฟ นี่คือทักษะที่เขาเรียนรู้ผ่านวิธีนี้
อีกวิธีก็คือถูกโจมตีจากทักษะนั้นโดยตรง
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะเรียนลมปราณกับเทเลคิเนซิสด้วยวิธีแรก มิหนำซ้ำทั้งสองอย่างนี้ ต้องได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นมาก่อนด้วย
แต่ไม่ใช่กับเวทมนตร์
จริงอยู่ที่ต้องปลุกให้พลังเวทในตัวให้ตื่นขึ้นมาก่อน แต่ตัวเวทมนตร์เองสามารถที่จะเรียนรู้ได้จากการท่องคัมภีร์คาถาต่างๆ
เหมือนเรียนสกิวมาได้ก่อน ถึงแม้จะไม่มีมานาพอใช้งานจริง
‘เราขอยืมคัมภีร์อะไรก็ได้มาลองดีไหม?’
คริสต์และเคทลินต่างก็เป็นนักรบที่ใช้เวทมนตร์ได้ ถึงทั้งคู่จะมู่งไปทางด้านกระบวนท่าต่างๆเสียมากกว่า แต่ก็น่าจะพอมีตำราเวทอยู่บ้าง
ในทันใดนั้นเอง อินกองก็นึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้
จอมเวท องค์ชาย องค์หญิง ด้วยยศแล้ว บอกได้ว่าพวกนี้ต้องรู้อะไรหลายอย่าง
“คริสต์ฮยองครับ ผมมีคำถาม”
“ฮ่ะ? ว่ามาสิ?”
คริสต์ที่เดินอยู่ข้างๆหันมามองอินกองอย่างเป็นกันเอง มีสายตาที่แฝงความสงสัยของเคทลินโผล่มาให้เห็นเล็กน้อย
อินกองถามทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ฮยองพอจะเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับ อาชาแห่งอาณัติ ไหมครับ?”