อาชาแห่งอาณัติ
สตรีที่มีผมขาวบริสุทธิ์ ประดับไว้ซึ่งมงกุฏสีทอง
อินกองต้องการรู้เกี่ยวกับนาง และเหตุผลการปรากฏตัวของนาง
‘ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง’
คำที่เขาได้ยินนางกล่าวเหล่านี้ล้วนดูเกี่ยวเนื่องกับอาณัติทั้งสิ้น
แม้สาเหตุที่แท้จริงอาจจะมาจากพลังพระเอกก็เป็นได้ แต่เขาก็พุ่งเป้าไปทางอาณัติ
เจ้าชาย, อาชาแห่งอาณัติ
อาชีพและเอกลักษณ์ ที่ไม่มีในบทกวีแห่งผู้กล้า บางทีคริสต์กับเคทลินอาจจะพอรู้อะไรบ้างก็ได้?
ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบใช้ความคิด สักพักคริสต์ก็ส่ายหน้าตอบอินกองกลับมา
“ไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน เคท พอรู้อะไรไหม?”
เคทลินดูตั้งใจคิดมากกว่าคริสต์ แต่ก็ได้ผลลัพท์เดียวกัน เธอส่ายหน้าเบาเบา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นฉายาของใครสักคน? หรือว่าเธอจะหมายถึงทหารของเธอ?”
ทั้งคู่ไม่เคยได้ยินชื่ออาชาแห่งอาณัติ นี่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ชื่อที่แม้กระทั้งองค์ชายคริสต์ ผู้ชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับนักรบ ไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน
คริสต์ทุบมือเห็นด้วยกับเคทลิน
“ฉัตร หรือว่านายจะมีทหารที่ฉายาว่าอาชาแห่งอาณัติ? เป็นชื่อที่ฟังดูเกรงขามมาก เราก็อยากจะได้ทหารแบบนั้นมาไว้สักคนเหมือนกัน”
ตาเขาส่องประกายหลังจากคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า อาชาเป็นทหารของฉัตร อินกองได้แต่หัวเราะแหบแห้ง ก่อนจะยกมือปัดปฏิเสธ
“ไม่ใช่ครับ ผมแค่คุ้นเหมือนว่าได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนสักแห่ง ก็เลยลองถามดู”
พอมาคิดดูแล้ว เขาก็พบว่านี่เป็นการเดิมพันที่เสี่ยงมาก
อินกองยังไม่รู้อะไรแน่ชัดเกี่ยวกับอาชาแห่งอาณัติ ซึ่งมันอาจเป็นไปได้ว่า จะมีผู้อื่นที่เป็นอาชาแห่งอาณัติเหมือนกับเขา
แล้วถ้าเกิดอาชาแห่งอาณัติที่ว่า เป็นภัยร้ายแรงกับคริสต์และเคทลินขึ้นมาละ?
‘เคทลิน กับ คริสต์…’
จากการเล่นแซเฟียร์ทำให้เขารู้ว่าเคทลินก็เป็นตัวอันตราย เพียงเพราะเคทลินตรงหน้าเป็นมิตรกับเขา อินกองเลยลืมภาพของไลแคนโทรปที่ขย้ำเขาตายในเกมอยู่บ่อยครั้ง
‘เราไม่น่ารีบร้อนถามออกไปเลย’
แต่อย่างน้อย นี่ก็ทำให้อินกองรู้ว่า เขาต้องค้นข้อมูลเกี่ยวกับอาณัติด้วยตัวของเขาเอง เขาไม่ควรแม้กระทั้งให้คนอื่นรู้ว่าเขารู้จักชื่อนี้
‘ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็อันตรายเกินไป’
อินกองคุมสติของเขาเอาไว้แล้วกลับมาสนใจกับเรื่องตรงหน้า
‘ถ้าทั้งคริสต์กับเคทลินก็ยังไม่รู้จัก หรือว่าเราต้องเข้าไปค้นเอาในหอสมุดจริงๆ?’
หลังจากที่เขาจนปัญญา เขาจึงวกกลับมาคิดถึงหอสมุดอีกครั้ง มันน่าจะพอมีเอกสารเกี่ยวกับอาชาแห่งอาณัติเก็บไว้อยู่บ้าง
‘ไม่แน่บางที เราอาจจะแค่นึกคิดไปเอง’
หากแต่ มันเป็นแค่ความรู้สึกนึกคิดของเขาจริงหรือ?
ผู้หญิงชุดขาวใต้มงกุฏสีทอง ผู้หญิงผมบลอนด์รัศมีร้อนแรง ผู้ชายผอมโซในชุดดำ ผู้ชายสวมหมวกหัวกระโหลก
ภาพของทั้งสี่ในหัวของเขาเริ่มเลือนลางไม่เป็นรูปร่าง เขาเริ่มรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
“เฮ่ นี่เป็นอะไรหรือเปล่า? หรือว่าจะเป็นไข้?”
คริสต์ที่เดินนำหน้ามาตลอดหันมาเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเขา นัยน์ตาของอินกองมองข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายก่อนเขาจะสะดุดล้ม
“เฮ่?”
“อ่า ไม่มีอะไรครับ ผมแค่ง่วงนิดหน่อย”
อินกองขยี้ตาแล้วหาวเหมือนเขาง่วงนอน คริสต์ส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาแล้วหันกลับไป
“เด็กน้อยก็เป็นเอาซะแบบนี้ ไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ที่รู้กำหนดเวลา”
ถึงเขาจะพูดถากถางออกมา แต่แววตาของเขายังคงขี้เล่น อินกองคิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่เจอ แต่คริสต์ก็ดูเหมือนพี่ชายข้างบ้านที่พบเห็นได้ทั่วไปจริงๆ
“จะดื่มน้ำหน่อยไหม?”
เคทลินส่งกระติกน้ำมาให้ เธอแสดงสีหน้าแบบเดียวกับคริสต์ออกมา
“ขอบคุณครับ”
อินกองไม่ได้กระหายน้ำแต่เขาก็รับกระติกมาจิบเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมา เคทลินปฏิบัติกับเขาอย่างนูนะผู้แสนดี
ถึงอินกองจะพบกับทั้งคู่ไม่นาน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ อาจจะด้วยว่าทั้งคู่เป็นเผ่าไลแคนโทรป
‘ถ้าใครตายขึ้นมาละก็ เป็นฝันร้ายเลยทีเดียว’
ไม่ว่าใครจะตาย อีกคนที่เหลือก็จะบ้าคลั่งอาละวาดไปทั่วขึ้นมาทันที เพราะอย่างนี้ ทั้งคู่จึงได้ฉายาเป็นอสูรกายกระหายเลือด
อินกองส่งกระติกน้ำกลับให้เคทลินก่อนจะมองกลับไปด้านหน้า เขาเห็นคริสต์จ้องมาที่เขาพร้อมเล็กยิ้มเล็กน้อย ก่อนคริสต์จะหันหน้ากลับไป
อินกองเลยมีความคิดขึ้นมา
‘หรือว่าคริสต์จะรู้?’
เป็นไปได้แค่ไหนกันนะ ที่คริสต์จะรู้ว่าเคทลินไม่ใช่ธิดาจอมมาร? เขาจะรู้กระทั่งว่าพ่อที่แท้จริงของเคทลินคือกาลาฮัดเลยหรือเปล่า?
อายุของคริสต์และเคทลินห่างกันเพียงแค่ 2 ปี คริสต์ยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้นในตอนที่เคทลินเกิดมา
แต่คริสต์ก็เป็นถึงรัชทายาทสืบทอดราชวงศ์ของเผ่าไลแคนโทรป
พอจะคิดว่าคริสต์ไม่รู้ถึงจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเผ่าตนแล้ว มันก็ดูเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
‘แล้วก็…’
อินกองชำเลืองมองเคทลิน เธอหันมาถามเขาอย่างใกล้ชิดหลังจากที่รู้สึกว่าเขาจ้องมอง
“มีอะไรรึเปล่า? หรือว่าเธอยังอยากได้น้ำเพิ่ม?”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
อินกองมองกลับไปข้างหน้าอีกครั้ง
หนึ่งปีก่อนเหตุการณ์วันล้างบาง การตายของเคทลิน มูนไลท์ ถือว่าเป็นการจุดชนวนของสงครามระหว่างลูกๆจอมมารเลยก็ว่าได้
แต่เธอจะรู้หรือเปล่านะ? ความจริงที่ว่าเธอไม่ใช่บุตรีของจอมมาร
‘เราต้องสืบไปอย่างช้าๆ’
อินกองเดินหน้าต่อ ถ้ำดวอฟอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
&
พวกเขาเคยเดินผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง การเดินผ่านอีกรอบจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงห้องโถงที่แมงมุมศิลาปรากฏตัว เซร่าก็แบ่งเหล่าไลแคนโทรปออกเป็นสามกลุ่ม แล้วแยกย้ายเก็บกวาดเส้นทางทั้งสามเส้น อินกองกับคารัคเดินเข้าทางเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ โดยมีคริสต์กับเคทลิน พร้อมทหารระดับสูงจำนวนหนึ่งเดินตามเข้ามา
หลังจากที่เดินมาถึงบริเวณประตูมิติ จอมเวทไลแคนโทรปที่ตามมาด้วย ก็เริ่มทำหน้าที่ตรวจสอบอักขระต่างๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะเข้าใจภาษาดวอฟ
“ไม่ได้สงสัยในตัวเอ็งหรอกนะ แต่ก็แค่กันไว้ดีกว่าแก้”
คริสต์หัวเราะระหว่างที่พูดกับอินกอง ถึงเขาจะเชื่อมั่นในตัวอินกองแค่ไหน แต่การตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยก็เป็นสิ่งจำเป็น อินกองอาจจะจดจำอักขระผิดพลาดได้
“ไม่เป็นไรครับ นี่ก็เพื่อความสบายใจของทุกคน”
อินกองตอบพลางสังเกตการทำงานของจอมเวทแต่ละตน ด้วยความที่เป็นเผ่าไลแคนโทรป ทุกตนจึงมีร่างกายที่บึกบึนมาก
หลังจากตรวจสอบเสร็จ นักเวทตนหนึ่งก็พูดรายงานคริสต์
“องค์ชายคริสต์พระพุทธเจ้าข้า เป็นอย่างที่องค์ชายฉัตรได้ตรัสไว้ ประตูมิตินี้เชื่อมต่อไปยังบริเวณภูเขาเอสก้า พระพุทธเจ้าข้า”
“ประตูมิติมีปัญหาอะไรไหม?”
จอมเวทตนนั้นชื้ไปยังวงเวทรอบๆก่อนที่จะตอบคริสต์
“ไม่พบปัญหาใดใด สมกับเป็นสิ่งประดิษฐ์ของดวอฟ พระพุทธเจ้าข้า”
ไม่ว่าจะที่ไหน สิ่งประดิษฐ์ของดวอฟก็ถือเป็นที่สุดของที่สุด คริสต์พยักหน้ารับแล้วหันมาทางอินกองกับเคทลิน
“ป่ะ ถึงเวลาลุยกันต่อ”
การเดินทางผ่านประตูมิตินั้นง่ายมาก หลังจากวงเวทได้รับพลังเวทเข้าไปถึงระดับหนึ่ง ประตูมิติทรงกลมสีฟ้าก็จะถูกสร้างขึ้นมา พอเดินเข้าไปภายใน ก็จะไปโผล่ในอีกสถานที่หนึ่งในทันที
warping in gateway 33% อ่าว อันนั้น starcraft หรอ โทดๆ แต่มันไม่มีอะไรจะเห็นภาพได้เท่านี้อีกละ
“เป็นยังไงบ้าง? ไม่รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม?”
เคทลินหัวเราะพลางตบไหล่เขา อินกองพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ครับ ไม่รู้สึกอะไรเลย”
เขากังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเข้าประตูมิติ แต่เขาก็ไปโผล่อีกด้านโดยที่ไม่ทันรู้สึกอะไรเลย
‘นี่คือ ที่เรียกว่ากระโดดข้ามห้วงอวกาศสินะ?’
มันเป็นการเดินผ่านมิติ ไม่ใช่ข้ามห้วงอวกาศ ถ้าดูผิวเผินมันอาจจะเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว มันมีหลายสิ่งที่ต่างออกไป
แน่นอนว่าอินกองไม่รู้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เขาไม่เคยสนใจในเรื่องพวกนี้
“ตื่นตัวเข้าไว้ เส้นทางแถวนี้ยังไม่ได้ถูกเก็บกวาด พวกเราไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรได้บ้าง”
คริสต์นำทหารไลแคนโทรปออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ ไม่มีวี่แววของอาการขี้เล่นที่ผ่านมา ราวกับเป็นคนละคน
‘ใช่แล้ว บุคลิกคริสต์ก็ประมาณนี้ละนะ’
สิ้นเสียงคริสต์เคทลินก็มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน อินกองมองไปข้างหลัง ก็เห็นคารัคถือขวานในสภาพเตรียมพร้อม กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ
โชคดีที่เส้นทางของประตูหมายเลขสามสั้นกว่าประตูหมายเลขสอง
อินกองมองผ่านแผนที่ย่อแล้วนำทางคารัคไปยังทางออก ค้อนของมันได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง
“ฟุ่ว ค่อยรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย”
สายลมพัดเข้ามาผ่านซากประตูตรงหน้าคารัค ดูแล้วบริเวณนี้จะมีลมแรง
“ที่ราบหุบเขางั้นหรือ? ออกสำรวจกันต่อได้”
คริสต์พึมพำเบาๆก่อนจะสั่งทหารของเขา เหล่าไลแคนโทรปเคลื่อนขบวนผ่านซากประตูอย่างเป็นระเบียบ
“ทุกคนระวังตัวกันให้ดีด้วย”
ในรอบนี้ คริสต์เป็นฝ่ายนำขบวน ตามด้วยอินกอง เคทลิน และคารัค
คริสต์อำพรางทางออกด้วยก้อนหิน เศษหญ้า และซากต้นไม้จากบริเวณใกล้เคียง หากไม่ทันสังเกต ก็จะมองข้ามผ่านได้โดยง่าย
“ใช้ได้เลย แบบนี้มันเยี่ยมมาก”
คริสต์พูดพลางมองลงไปที่หุบเขาด้านล่าง อินกองมองตามแล้วก็หลุดอุทานออกมา
“ว้าว!”
เผ่าสายฟ้าชาดกระจายตัวกันทั่วหุบเขา ถ้านับพวกที่ไม่ใช่นับรบด้วยแล้ว น่าจะราว 5,000 ได้ ซึ่งนั่นไม่สามารถเอาไปเทียบกับฐานของคารัคได้เลย
“โกดังเสบียงเป็นเป้าหมายหลังในการลอบจู่โจมครั้งนี้ พอแม่ทัพแวนเดลบุกเข้าโจมตี เราจะกระจายกันเผาเสบียงทั้งหมดของมันให้วอดวาย”
คริสต์ชี้นิ้วไปยังโกงดังขนาดใหญ่ในทิศต่างๆด้วยเสียงที่ชั่วร้าย
แต่แล้ว เคทลินที่กวาดสายตาไปทั่วก็พูดขัดขึ้นมา
“มันดูแปลกเกินไปนะ ทหารของพวกมันหายไปไหนหมด”
“จะว่าไปแล้ว”
มันยังไม่ถึงค่ำ แต่ความเคลื่อนไหวของเหล่าออร์คในฐาน แลดูน้อยจนผิดสังเกต
คริสต์ เคทลิน และอินกองมองสำรวจไกลออกไป แล้วทั้งหมดก็ประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น
ณ ที่ราบบริเวณด้านหน้าฐานทัพ…
กำลังมีการปะทะระหว่างกองกำลังสองฝ่ายเกิดขึ้น