ตอนที่ 13 รีเซ็ต

ทั้งกลุ่มแทบถูกหลินเยวียนกับเจิ้งจิงทำเอาตกใจไปตามๆ กัน

อย่างไรหลังจากที่บทสนทนาของหลินเยวียนกับเจิ้งจิงจบลง ในกลุ่มก็ล้วนเงียบสงัดไปถึงสองชั่วโมงเต็มๆ

ไม่ใช่แค่ในกลุ่ม

ต่อให้เป็นในแผนก ก็ยังมีคนลอบเหลือบมองหลินเยวียนเป็นครั้งคราวด้วยแววตาพิลึกชอบกล

เห็นได้ชัดว่ามีบางคนเป็นสมาชิกในกลุ่มใหญ่ของนักประพันธ์เพลงสตาร์ไลท์ ต่างก็เห็นข้อความที่หลินเยวียนเขียนในกลุ่ม

“นายล่วงเกินคนไปเยอะมากโดยไม่รู้ตัว”

อู๋หย่งเอ่ยเตือนสติหลินเยวียนด้วยความหวังดีอย่างอดไม่ได้

ถึงแม้ในความคิดของเขา วิธีการพูดของหลินเยวียนในกลุ่มออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายพิมพ์ข้อความอย่างขะมักเขม้น เขาไม่คิดว่าหลินเยวียนจะตั้งใจพูดเอาใจคนอื่นแต่อย่างใด

“ทำไมล่ะครับ”

หลินเยวียนไม่ค่อยเข้าใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อข้องใจของหลินเยวียน อู๋หย่งถึงกับไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงยิ้มขื่นพลางตอบว่า “หลายคนน่าจะไม่ชอบวิธีที่นายพูดกับพี่จิงล่ะมั้ง”

“เพราะอะไรครับ”

หลินเยวียนก็ยังไม่เข้าใจ

อู๋หย่งทำได้เพียงยักไหล่อย่างจนปัญญา “ฉันได้บอกได้แค่ว่าเป็นเพราะนายไม่ค่อยเหมือนคนอื่น”

“อ้อ”

ครั้งนี้หลินเยวียนไม่ได้ซักไซ้ ถึงแม้เขาจะยังคิดไม่ออกว่าทำไมการไม่เหมือนคนอื่นถึงไปล่วงเกินคนอื่นได้

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างน้อยพวกเราในแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ ทุกคนก็ยังเป็นมิตรกับนาย”

อู๋หย่งกลัวว่าหลินเยวียนจะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงเอ่ยปลอบ “อีกอย่างทุกคนก็ทำงานศิลปะกันทั้งนั้น ไม่ได้มีลับลมคมในอะไร ไม่มีใครแอบขัดแข้งขัดขาใครเพราะไม่ถูกใจหรอก นายก็พยายามเข้า อยู่แค่ปีสองยังเขียนเพลงอย่าง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ได้ เห็นชัดๆ ว่ามีศักยภาพสูงมาก! รอให้หลังจากนี้นายเขียนเพลงดีๆ ออกมาอีก ทุกคนก็จะเข้าใจนาย ในบลูสตาร์น่ะ ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็วัดกันที่ผลงานทั้งนั้น”

“ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของหลินเยวียนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อู๋หย่งจึงค่อยเบาใจลงได้บ้าง

กระนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบใจหลินเยวียนไป แต่ในใจของเขาก็กระจ่างดีว่าบทเพลงระดับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไม่ได้เขียนออกมาง่ายๆ

ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่เกิดแรงบันดาลใจแว้บขึ้นมา

ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาถึงเมื่อไรกว่าหลินเยวียนจะเขียนเพลงระดับนี้ออกมาได้อีกครั้ง

ถึงขั้นว่าชั่วชีวิตนี้หลินเยวียนอาจเขียนเพลงที่ดีกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ไม่ออกแล้วก็ได้ และเพลงนี้ก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกเพียงชิ้นเดียวของหลินเยวียน

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น แสดงว่าอันดับที่หนึ่งในชาร์ตดาวรุ่งก็เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตการเป็นนักประพันธ์เพลงของหลินเยวียนแล้ว

และในตอนนั้นเอง

จู่ๆ เหล่าโจวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก สีหน้าแลดูย่ำแย่ น้ำเสียงแฝงความเดือดดาล “พวกนายทุกคนวางมือจากงานเดี๋ยวนี้ เข้าห้องประชุมเร็ว เปิดประชุม!”

พูดจบ เหล่าโจวก็เดินนำเข้าไปยังห้องประชุมด้านข้าง เสียงปิดประตูดังปังตามให้หลัง

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“ใครไปทำให้หัวหน้าโมโห”

“คงไม่ใช่เพราะคำพูดของหลินเยวียนในกลุ่ม…”

“ไม่รูู้สิ แต่ยังไงน้อยครั้งมากที่ฉันเห็นหัวหน้าอารมณ์เสียขนาดนี้”

“ถึงข้อความของหลินเยวียนในกลุ่มจะไม่เหมาะสม แต่ก็คงไม่ถึงขั้นนี้ล่ะมั้ง? เขาเพิ่งจะเป็นนักศึกษาปีสอง ยังอ่อนต่อโลกไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“จะว่าไปก็จริง”

“เลิกคิดแล้วเข้าไปประชุมเถอะ”

เสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นดังขึ้น คนในแผนกประพันธ์เพลงต่างทยอยลุกขึ้น เดินตามเหล่าโจวเข้าห้องประชุมไป

หลินเยวียนก็ตามเข้าไปในห้องประชุมด้วย

อย่างไรก็ดี มีคนกังวลว่าความเดือดดาลของเหล่าโจวมีผลโดยตรงมาจากคำพูดของหลินเยวียนในกลุ่มใหญ่ ทุกคนจึงไม่อยากนั่งขนาบข้างหลินเยวียน เพื่อหลบเลี่ยงการติดร่างแหไปด้วย

อู๋หย่งลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะนั่งลงข้างซ้ายของหลินเยวียน

หลังจากนั้น ผู้ชายไว้ผมยาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามานั่งทางด้านขวาของหลินเยวียน แถมยังออกตัวยื่นมือมาหาหลินเยวียน “ฉันชื่อเจิ้งหาน บัณฑิตรุ่นที่ 20 สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว”

“รุ่นพี่สวัสดีครับ”

หลินเยวียนจับมือกับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ถึงเขาจะพูดน้อย แต่ก็พอจะรู้กาลเทศะอยู่บ้าง

“คนมากันครบแล้วใช่มั้ย”

เหล่าโจวเอ่ยเสียงทุ้ม “ที่เรียกพวกนายมาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งจะพูด เพลงประกอบ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ถูกตีกลับมา”

“อะไรนะ”

ทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ

ดูท่าแล้วความเดือดดาลของเหล่าโจว จะไม่เกี่ยวข้องกับหลินเยวียน

“บอกมาว่าควรทำยังไงดี”

สายตาคมกริบของเหล่าโจวกวาดไปทั้งห้องประชุม “นี่เป็นออเดอร์ของชั้นสิบ อย่าบังคับให้ฉันต้องส่งออเดอร์นี้ให้ชั้นอื่นเลย”

ไม่มีใครกล้าสบสายตาเหล่าโจวตรงๆ

แต่เหล่าโจวถามมา ทุกคนจะแกล้งตายก็ไม่ได้ แต่ละคนทำได้เพียงหลบหลีกสายตาของเหล่าโจว ต่างคนต่างพูดความเห็นของตนออกมา

“หัวหน้า ข้อเรียกร้องของทาง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ มากเกินไปหรือเปล่า พวกเขาเองก็ไม่ได้ลงทุนมากมายอะไร เป็นแค่ภาพยนตร์อนิเมชันลงทุนระดับกลาง”

“นี่เป็นครั้งที่สิบสี่แล้วที่พวกเขาตีกลับผลงานของพวกเราล่ะมั้ง”

“ยากขนาดนี้ หรือว่าอยากให้พ่อเพลงของชั้นสิบออกโรงด้วยตัวเอง”

“ปัญหาก็คือ พ่อเพลงของชั้นสิบเราไม่สนใจออเดอร์นี้อยู่แล้วละ”

“ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้คนจากชั้นอื่นเข้าร่วม หรือไม่ก็ให้ที่อื่นไปทำก็แล้วกัน ทั้งซาไห่ ทั้งเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง คนเก่งๆ ของวงการเพลงในฉินโจวมีตั้งเยอะแยะ”

“บริษัทจะไปยอมได้ยังไง ถ้าซาไห่หรือเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงทำออกมาได้ นั่นจะไม่ได้หมายความว่าสตาร์ไลท์ของพวกเราไร้ความสามารถหรอกเหรอ งั้นไม่สู้ให้คนจากชั้นอื่นมาเข้าร่วมไม่ดีกว่าเหรอ”

“…”

หลินเยวียนแววตาสับสน

เขาไม่รู้ว่าทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร

อู๋หย่งเป็นคนที่เหล่าโจวส่งมาดูหลินเยวียน จึงเอ่ยปากอธิบายว่า “คืออย่างงี้ หนังอนิเมชันฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘มังกร

มัจฉาเริงระบำ’ งานโพสต์โปรดักชันใกล้จะเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังขาดซาวด์แทร็กหลัก พวกเขาเลยไหว้วานให้สตาร์ไลท์ทำซาวด์แทร็กนี้ แล้วงานนี้ก็เลยมาตกอยู่ที่ชั้นสิบของพวกเรา พวกเราก็ทำให้พวกเขาไปแล้วสิบสี่เพลง แต่ถูกตีกลับมาหมดเลย!”

“ประเด็นอยู่ที่…”

เจิ้งหานซึ่งอยู่ด้านขวาพูดต่อ “สิบสี่เพลงนี้ที่ถูกตีกลับมาล้วนมาจากนักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบ ถึงแม้ศักยภาพของคนเหล่านี้จะแตะไม่ถึงระดับพ่อเพลง แต่คุณภาพก็ไม่ได้แย่เลย ปกติแล้วนักร้องเบอร์ใหญ่จะเรียกนักแต่งเพลงมือทองเหล่านี้ไปร่วมงานด้วยซ้ำ”

หลินเยวียนเข้าใจแล้ว

แต่หลินเยวียนเลือกที่จะเงียบไว้ก่อน คนชั้นสิบตั้งมากมายยังรับมือกับลูกค้าไม่ไหว เขาก็ไม่คิดว่าตนออกหน้าไปแล้วจะรับมือไหวเหมือนกัน

เขามีเพลงอยู่ในมือ

ทว่าโปรเจกต์ซาวด์แทร็กซึ่งจำเพาะเจาะจงประเภทนี้ จำเป็นต้องให้ความหมายของเพลงและบรรยากาศของภาพยนตร์เข้ากันด้วย ถ้าหากคนเขาทำภาพยนตร์รักหวานซึ้งเป็นอ้อยเชื่อม แต่คุณกลับทำเพลงแร็ปหรือเพลงร็อกให้เขาไป เพลงของคุณก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี

“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”

เหล่าโจวกดขมับด้วยความปวดหัว “ม้าตายแล้วยังต้องมาพยายามรักษาเหมือนม้าเป็นอีก เพลงซาวด์แทร็กของ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ พวกนายก็ลองดูแล้วกัน ให้เวลาหนึ่งเดือน ฉันจะส่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้พวกนายก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีแรงบันดาลใจขึ้นมาก็ได้ หรือว่าถ้าไม่ได้ ก็ทำตามกฎของบริษัท ออเดอร์นี้ก็ทำได้แค่ส่งให้ชั้นอื่น”

แรงบันดาลใจเป็นสิ่งพิศวง

ไม่ใช่ว่าเพลงที่พ่อเพลงทำออกมาจำเป็นจะต้องดีที่สุด

บางครั้งภารกิจที่พ่อเพลงทำไม่ได้ แต่นักแต่งเพลงบางคนที่ผลงานไม่โดดเด่นเท่าพ่อเพลงก็อาจนึกครึ้มมีแรงบันดาลใจขึ้นมา จนทำเพลงที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้

เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในวงการประพันธ์เพลง

ก็เหมือนกับหลินเยวียนซึ่งปีนี้เพิ่งจะอยู่ปีสองก็เขียนเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาได้

ตัวเขามีพรสวรรค์ในการประพันธ์เพลงนั้นเป็นด้านหนึ่ง ยังมีอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้มากว่าหลินเยวียนเกิดแรงบันดาลใจดีๆ ขึ้นมา และใช้แรงบันดาลใจนี้ได้อย่างเหมาะสม จึงเขียนเพลงนี้ออกมาได้

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมอู๋หย่งถึงคิดว่าหลังจากนี้หลินเยวียนอาจเขียนเพลงระดับเดียวกับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ออกมาไม่ได้อีกแล้ว

เป็นเพราะของอย่างแรงบันดาลใจนี่นะ เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ล้วนๆ!

ในตอนนี้เหล่าโจวใช้กลวิธีหว่านแหแจกภารกิจ และอันที่จริงก็ไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้ว นักแต่งเพลงมือทองของชั้นสิบก็ออกโรงกันไปหมดแล้ว จะให้ไปหาพ่อเพลงมาแสดงฝีมือก็คงไม่ดีล่ะมั้ง

ไม่ใช่ว่าไม่ได้

แต่ก็ต้องเพิ่มเงิน!

หลักๆ ก็เป็นเพราะงบประมาณของภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นั้นมีจำกัด อย่างไรราคาที่ทางฉีโจวเสนอมาก็ไม่คุ้มที่จะให้พ่อเพลงออกโรงเอง

ไม่นาน

ทุกคนก็ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่ง บนกระดาษพิมพ์สิ่งที่เพลงซาวด์แทร็กเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ต้องการ

หลินเยวียนก็ได้รับเช่นกัน

เป็นเพราะเนื้อเรื่องนั้นเป็นความลับ ฉะนั้น ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ จึงมีเพียงเค้าโครงของเรื่องราวคร่าวๆ

นี่เป็นเรื่องราวซึ่งเปี่ยมไปด้วยความแฟนตาซี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งช่วยชีวิตปลาตัวหนึ่งไว้เมื่อหลายปีก่อน ผ่านไปหลายปี วันหนึ่งเด็กหญิงและครอบครัวก็พลาดพลั้งตกอยู่ในอันตราย และปลาตัวนั้นก็ข้ามประตูมังกรมา กลายเป็นมังกรเผือกซึ่งมีพลังแข็งแกร่ง และได้พบกับเด็กหญิงอีกครั้ง…

สิ่งที่ซาวด์แทร็กต้องการมีสามข้อ

ต้องมีความเหนือจริง มีความหมายสร้างสรรค์ และมีสุนทรีย์

เพียงแต่เมื่อได้รับข้อเรียกร้องของเพลง ทั้งห้องประชุมก็พลันโอดครวญขึ้นมา

“สิ่งที่ลูกค้าอยากได้จำเป็นต้องกำกวมขนาดนี้มั้ย ความเหนือจริง มีความหมายสร้างสรรค์ มีสุนทรีย์ กว้างเกิน

ไปมั้ง”

“ฉันจับประเด็นอะไรไม่ได้เลย”

“อีกอย่างเวลาก็น้อยเกินไป แค่เดือนเดียว เดือนเดียวนี่ ถ้าคิดตามความเร็วที่ฉันแต่งเพลง ต้องไม่ทันแน่”

“เนื้อเรื่องแนวแฟนตาซี สไตล์ดนตรีก็ต้องโลดโผนนิดนึง?”

“แถมเป็นปลา แล้วก็เป็นมังกรอีก ต้องให้ความรู้สึกเหมือนทะยานขึ้นฟ้า ปรับใช้เสียงเครื่องเป่าลมไม้ลิ้นคู่จะ

เหมาะมาก”

“ฉันคิดว่าต้องเศร้าสักหน่อย เจ็บปวดนิดหนึ่ง? ใส่เสียงขลุ่ยลงไปด้วย?”

“ต้องใช้ความรู้สึกที่เว่อร์มาก ยากเกินไป ฉันทำไม่ได้”

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ! จุดสำคัญคือเพลงก่อนๆ ที่โดนตีกลับมา พวกเราก็ฟังกันหมดแล้ว! เพลงพวกนั้นมีความรู้สึกมากแล้ว! แต่ทางฉีโจวก็ยังตีกลับมา นั่นหมายความว่าพวกเรายังทำได้ไม่ถึงอารมณ์ที่พวกเขาต้องการ”

“…”

สำหรับนักประพันธ์เพลงแล้ว ความเหนือจริงนั้นง่าย ความหมายสร้างสรรค์นั้นง่าย และสุนทรีย์ก็ง่าย

การจับจุดเด่นทั้งสามนี้ไม่ได้ยาก

แต่จะให้ทำนองเพลงดีได้ถึงขั้นจับใจคนกลับไม่ง่าย

ก็เหมือนกับอีกฝ่ายต้องการเพลงที่ทั้งร้อนแรงและฮึกเหิมในเพลงเดียวกัน

ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้สามารถเขียนเพลงที่ร้อนแรงและฮึกเหิมได้ แต่นั่นเป็นเพียงแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน ในบรรดาเพลงที่ร้อนแรงและฮึกเหิมหนึ่งพันเพลง อาจมีเพียงหนึ่งถึงสองเพลงที่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

หลินเยวียนกลับใจกระตุกวาบ

นอกจากเพลงเปียโนแล้ว ตอนนี้เขายังมีเพลงอยู่ในมืออีกสองเพลง

เพลงหนึ่งชื่อ ‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ เพลงนี้ไม่ได้แน่นอน ความหมายไม่เข้ากัน

แต่ ‘ปลายักษ์’ อีกเพลงหนึ่งของตนเป็นยังไงนะ

สไตล์เพลงนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีความหมายนี้สินะ

หรือว่าระบบคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว?

ระหว่างที่ใคร่ครวญอยู่นั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็ได้ยินอู๋หย่งกำลังบ่น “ลูกค้าทางฉีโจวเอาใจยากจริงเชียว! ออเดอร์แค่ห้าล้าน จะให้พ่อเพลงของชั้นสิบเราลงมือเองเลยหรือไง สู้ราคาพ่อเพลงไม่ไหวก็ไม่ต้องเรียกร้องเยอะขนาดนั้น”

หลินเยวียนรีบถามว่า “เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะครับ”

อู๋หย่งชะงักไป “สู้ราคาพ่อเพลงไม่ไหวก็ไม่ต้องเรียกร้องเยอะขนาดนั้น”

“ประโยคก่อนหน้า!”

“จะให้พ่อเพลงของชั้นสิบเราลงมือเองเลยหรือไง”

“ประโยคก่อนหน้าอีกครับ!”

“ออเดอร์แค่ห้าล้าน…”

ประโยคนี้แหละ เมื่อยืนยันข้อมูลที่ตนต้องการแล้ว หลินเยวียนก็พยักหน้ารัว ก่อนจะรีบหยิบเครื่องคิดเลขด้านข้างมากด

“รีเซ็ต!”

ลำโพงของเครื่องคิดเลขเสียงดังมาก ไม่ทันไรก็ไปขัดจังหวะเสียงโอดครวญของผู้คนในห้องประชุม ทุกคนพร้อมใจกันหันไปทางหลินเยวียน รวมไปถึงหัวหน้าเหล่าโจว

หลินเยวียนกลับไม่ได้ใส่ใจสายตาโดยรอบ

นิ้วมือของเขาขยับอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับเสียงของเครื่องคิดเลขดังปกคลุมไปทั่ว

‘5,000,000 คูณด้วย 0.2 คูณด้วย 2 หารด้วย 3 เท่ากับ 666666.666666667’

ทั้งห้องประชุมไร้สุ้มเสียง

มีเพียงเสียงตัวเลขจากเครื่องคิดเลข

ทุกคนย่อมรู้ดีว่าหลินเยวียนกำลังคำนวณอะไร

เป็นเพราะว่ารู้ จึงได้เงียบกริบกันถ้วนหน้า สายตาของทุกคนล้วนแปลกประหลาด

แบ่งเป็นหกแสนหกหมื่นกว่า?

ยามที่การคำนวณสิ้นสุดสง หลินเยวียนก็ปิดเครื่องคิดเลขอย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้นมามองหัวหน้าเหล่าโจว พูดทีละคำว่า

“ผมรับออเดอร์นี้เองครับ”

……………………………………………………..