รสบัสจากโรงเรียนโอโตริที่จะไปหาอาจารย์ที่สวนสาธารณะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

แต่ในช่วง 10 โมงนั้น เป็นช่วงที่ไม่มีรถวิ่งอยู่เลย ผมจึงตัดสินใจวิ่งไปด้วยตัวเอง

“ฮู่ว ฮู่ว แฮ่ก แฮ่ก…!”

รับรู้ถึงกระแสของพลังเวทย์ได้เลย

ถ้ารวบรวมพลังเวทย์ไว้เฉพาะแค่ที่ส่วนขา ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ร่างกายส่วนบนก็จะไร้การป้องกัน ถ้าถูกโจมตีละก็ ยังไงก็ไม่รอดแน่นอน

จินตนาการถึงการทำให้บางและยืดมันออก

ผมถ่ายพลังเวทย์ขั้นต่ำลงไปที่ท่อนล่างของผม และเอาส่วนที่เหลือไว้ที่ท่อนบนของร่างกาย

จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ใส่พลังเวทย์เข้าไปในตาทั้งสองข้าง

ผมมองเห็นใบไม้ที่ทับซ้อนกันอยู่ และยังเห็นถึงรอยของใบไม้ได้ด้วย

“…อึก”

ผมเกิดอาการปวดหัวขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นผลจากการถ่ายพลังเวทย์ลงพร้อมกันหมดทีเดียวรึเปล่า ผมก็เลยมีอาการมึนหัว เหมือนกับตอนที่พลังเวทย์จะหมด

กะแล้วเชียว การถ่ายพลังเวทย์ทั้งหมดลงไปเลยนี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีซักเท่าไหร่เลย ต้องจำกัดปริมาณพลังเวทย์ที่จะถ่ายเทในคราวเดียวให้ดี ถ้าทำเกินขอบเขตไป ก็อาจเกิดปฏิกิริยาปฏิเสธขึ้นได้

เดิมทีแล้ว มันก็ไม่มีอะไรรับประกันได้หรอกว่าจะสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง 100%

ถ้างั้นแล้ว การจะต่อสู้ต้องเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ดีล่ะ?

สำหรับเรื่องนั้น มันก็ต้องมีการกำหนดค่าไว้ว่าเราอยากจะใช้พลังเวทย์ไปในทิศทางไหน และควรจะใช้กี่เปอร์เซ็นต์

แล้วผมก็ต้องหาเวลาเพื่อที่จะทำอย่างอื่นด้วยเช่น การทำสมาธิ รวมถึงการรับถึงรู้พลังเวทย์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายและล้นออกมาจากร่างกายได้ ความแม่นยำนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการตรวจจับและควบคุมพลังเวทย์ในระดับต่ำกว่าจุดทศนิยมเลยล่ะ

เหงื่อผมออกในระดับหนึ่ง

พอผมไปถึงที่สวนสาธารณะ จู่ ๆ อาจารย์ที่มาถึงก่อนเวลานัดกันก็หันหลังให้ผม

“ฮึ่ม!!”

“…เดี๋ยวสิ เป็นอะไรเนี่ย?”

อาจารย์ฮึ่มออกมาและหันไปอีกทาง

“ฮึ่ม!! ฮึ่มๆ!!”

ยัย 420 ปีนี่….น่ารำคาญแฮะ…

ในขณะที่ผมกำลังมองดูอยู่ อาจารย์ก็เอาแต่ฮึ่ม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา

“…ไม่เข้าใจเหรอคะ?”

อาจารย์กอดอกและทำแก้มป่อง

“กำลังโกรธอยู่ยังไงล่ะคะ!?”

“อ๊ะ ครับ เหรอครับ”

“ฟังเหตุผลสิคะ!! เหตุผลน่ะ!! ฟังเหตุผลด้วยสิคะ!!”

“แล้วทำไมถึงกำลังโกรธอยู่ล่ะครับ”

“ได้ยินมาว่าหมั้นไปแล้วสินะคะ”

ข้อมูลจากลาพิสรั่วไหลไปแล้วงั้นเรอะ

ผมยิ้มแห้งและพยักหน้าให้

“อื้ม หมั้นแล้วล่ะครับ เธอเป็นเมดที่ทำงานอยู่ที่บ้านพักตระกูลซันโจน่ะครับ ผมเป็นคนเข้าหาเธอก่อน แล้วเมื่อวานนี้เธอก็ยอมหมั้นด้วยแล้วล่ะครับ”

“ทั้งที่ฉันเป็นอาจารย์แท้ ๆ แต่ทำไมไม่เห็นจะเคยรู้เรื่องนี้เลยล่ะคะ!!”

“ก็ผมไม่ได้บอกนี่ครับ(เหตุผลตรงๆ)”

อาจารย์ทำแก้มป่อง จากนั้นก็หยิบนินเ*นโดสวิตซ์ ออกมาจากกระเป๋า

“อุตส่าห์ซื้อสวิตซ์มาแล้วแท้ๆ!! ทั้งที่ซื้อมาเพื่อที่จะเอามาเล่น Super Sm*sh Bros กับลูกศิษย์ที่น่ารักแท้ๆ!! แต่กลับถูก NTR ไปซะได้!! ฉันโดน NTR ลูกศิษย์ไปซะแล้ว!!”

“จอยบังคับมันผิดรูปแล้วนะนั่น นี่ทำพังตั้งแต่เอาไปเล่นวันแรกเลยเหรอ? ปุ่มกดก็มีแต่รอบยุบหมด นี่ไม่ได้ควบคุมพลังตัวเองเลยรึไงครับเนี่ย?”

อาจารย์แกล้งทำน้ำตาไหล

“น่าสงสารจริง ๆ เมื่อวานนี้ลาพิสน่ะเอาแต่หดหู่ ไม่ทำอะไรเลยทั้งวันเลยนะคะ…ไม่คิดจะพูดอะไรกับเด็กคนนั้นหน่อยเหรอคะ?”

“ก็ไม่นี่ ลาพิสก็ไม่ได้มีความรู้สึกโรแมนติกให้กับผมซักหน่อยนี่นา? เรื่องนั้นผมมั่นใจอยู่นะ แล้วทำไมถึงหดหู่ขนาดนั้นกันล่ะ?”

“…หัวใจของเด็กผู้หญิงน่ะ มันซับซ้อนนะคะ”

ดูเหมือนสถาการณ์จะสงบลงแล้ว อาจารย์ก็เลยเก็บสวิตซ์ลงในกระเป๋า

“เอาเถอะ ฉันก็ไม่ได้คัดค้านการหมั้นหรอกนะคะ กลับกันแล้ว การที่ผู้ชายอย่างคุณมีคู่หมั้นน่ะ ถือเป็นเกราะป้องกันชั้นดีแล้วล่ะค่ะ ถือเป็นการช่วยในการคอยเช็คตระกูลซันโจไปในตัวด้วย “

“ไม่ล่ะ ผมไม่คิดจะประกาศเรื่องนี้ให้กับพวกตระกูลซันโจรู้หรอกนะ…เพราะถ้าพวกนั้นคิดจะลงมือกับสโนว์ขึ้นมาล่ะก็ คงไม่ดีแน่”

อาจารย์กอดอกและพยักหน้าแบบจริงจัง

“ถ้างั้น ฉันก็จะให้ฮิอิโระเป็นคนตัดสินใจเองก็แล้วกันนะคะ แต่ว่าฉันก็มีอยู่เรื่องนึงที่อยากจะขอให้คุณทำตามอยู่นะคะ”

“อะไร?”

“อาจารย์>>>>>>>>>>>>>>>>>>คู่หมั้น>>>คนอื่น ห้ามทำลายรูปแบบนี้เด็ดขาดเลยนะคะ”

“มาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าด้วยใบหน้าใสซื่อแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย ยัยนี่”

พอพูดไปแบบนั้น อาจารย์ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“ก็ฉันเป็นคนหาฮิอิโระเจอก่อนนี่คะ!! ไม่ว่าจะคิดยังไง อาจารย์ก็ควรจะอยู่มาเป็นอันดับแรกสุดสิคะ!! ถ้าฉันชวนฮิอิโระมาเล่น Super Sm*sh Bros ล่ะก็ ฮิอิโระก็ต้องทิ้งคู่หมั้นไว้แล้วมาหาฉันค่ะ!!”

“ไม่ล่ะ ผมเจอกับสโนว์ก่อนอาจารย์อีกนะ”

“…(สิ้นหวัง)”

ผมพึมพำระหว่างที่กำลังยืดเส้นยืดสาย

“หยุดการล้อเล่นกันไว้แค่นี้ แล้วรีบมาเริ่มกันเลยดีกว่า ผมน่ะมีคนที่อยากจะก้าวข้ามไปให้ได้อยู่ แล้วผมก็มีสิ่งที่อยากปกป้องด้วย”

“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ…แต่เอาเถอะ ช่างมันก็แล้วกันค่ะ”

อาจารย์ส่งอุปกรณ์เวทย์ที่เป็นรูปแท่งให้ผม พอผมรับมันไว้ แขนผมก็ถึงกับทรุดลงทันที

มันหนักกว่าคุกิ มาซามุเนะที่ผมใช้หลายเท่าตัวเลย…แถมทริกเกอร์มันก็ยังแข็งมากอย่างกับมันถูกหลอมละลายเข้าไปแล้วเลย

จะว่าไปแล้ว ยังกับว่ามันไม่ได้ถูกสร้างมาไว้ให้กดเลยด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่มีทริกเกอร์ ผมคงไม่คิดหรอกว่านี่คืออุปกรณ์เวทย์น่ะ

เจ้าสิ่งนี้ อย่างกับก้อนเหล็กดำ ๆ เลย

“นี่มันอะไรเนี่ย”

“แคนน่อน”

อาจารย์พูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“มันคืออุปกรณ์เวทย์ที่ไม่มีสล็อตน่ะค่ะ เป็นโบราณวัตถุที่เอลฟ์สมัยก่อนในอัลฟ์ไฮม์ใช้กันน่ะค่ะ”

“เดี๋ยวสิ ถ้าไม่ใช่สล็อคให้ใส่อะไร…แล้วมันจะใช้เวทย์ได้ยังไงล่ะ?”

“มันก็มีเวทย์อยู่แบบหนึ่งที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องใส่อะไรในสล็อตอยู่ไม่ใช่รึไงคะ?”

ผมค่อย ๆ เบิกตาขึ้นอย่างช้า ๆ

“เวทย์ไร้ธาตุ…”

อาจารย์พยักหน้าให้

“ไม่สิ แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้นี่ ถ้าไม่มีระบบสรรค์สร้างคอนโซล มันก็จะไม่สามารถคงรูปไว้ได้ แล้วเวทย์ก็จะหายไปนี่นา”

“นั่นสินะคะ แต่มันก็มีอยู่วิธีหนึ่งที่จะทำให้ใช้ได้อยู่ค่ะ”

พอผมลองมองไปที่แคนนอน ผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจนได้

หรือว่านี่คือ [นานาชิ] งั้นเหรอ?

(ผู้แปล : แปลแบบตรง ๆ ตัว ก็ไร้นาม ประมาณนั้นครับ)

มันคือสิ่งที่ดรอปจากบอสใน [ดันเจี้ยนต้นไม้โลก] โดยมีคำอธิบายเขียนไว้ว่ามันเป็น [อุปกรณณ์เวทย์ที่ใช้การไม่ได้ เป็นวัตถุโบราณที่จะหามูลค่าได้อย่างเดียวคือการเอาไปขายเท่านั้น]

ในโลกเอสโก้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า [นานาชิ]

แต่ถ้าผมจำไม่ผิด เหมือนมันจะมีเงื่อนไขที่มันจะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้อยู่…และผมก็ได้รู้ตัวแล้ว

“ดวงตาเวทย์เหรอ”

อาจารย์ยิ้มกว้าง

“เฉียบแหลมมาก ฮิอิโระ ฉันที่ประเมินค่าคุณไว้สูงน่ะ ไม่ได้เป็นเพราะค่าความสามารถหรือความพยายามหรอกนะคะ แต่เป็นความเฉียบแหลมและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ต่างหากค่ะ”

“ไม่ล่ะ ที่ชมนั่นก็ดีใจอยู่หรอกนะ…แต่ดวงตาเวทย์เนี่ย…ผมจะปลุกมันขึ้นมาได้งั้นเหรอ…?”

“ก็ถือว่ามีคุณสมบัติอยู่นะคะ คุณน่ะเป็นทายาทเพียงคนเดียวจากตระกูลหลักของตระกูลซันโจนี่คะ?”

สืบค้นมาแล้วสินะ…ในเอกสารประกอบฉากก็มีบอกไว้ว่ฮิอิโระนั้นเป็นทายาทของตระกูลหลักซันโจ หรือก็คือ ซันโจฮิอิโระก็มีเงื่อนไขที่จะสามารถเปิดใช้งานดวงตาเวทย์ได้

ในต้นกำเนิดของคนคนหนึ่งนั้น จะมีคนที่สามารถควบคุมเวทย์พิเศษให้มารวมตัวกันที่ดวงตาได้ ซึ่งดวงตานั้นก็จะกลายเป็นอุปกรณ์เวย์เทียมได้ ซึ่งดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปนั้น–จะเรียกว่าดวงตาเวทย์นั่นเอง

การกดทริกเกอร์จะทำให้เกิดการถ่ายพลังเวทย์เข้าไปในดวงตา

ดวงตาเวทย์นั้นจะเป็นทั้งอุปกรณ์เวทย์และคอนโซล มันจึงใช้งานเวทย์พิเศษได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น…พลังของมันถือว่ามหาศาลเลยทีเดียว แถมมันยังมีผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกด้วย (ซึ่งดูเหมือนว่าอาจารย์จะพยายามให้ผมใช้แคนน่อนนี่เพื่อผลข้างเคียงนั่นด้วย)

โอกาสที่จะเปิดใช้ดวงตาเวทย์ได้สำเร็จจะยิ่งสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับเชื้อสายต้นกำเนิด หรือก็คือ ยิ่งมีชาติตระกูลดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสปลุกดวงตานั้นขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น

ในโลกเอสโก้ ตระกูลดยุกจะมีโอกาสอยู่ 3% ที่จะสามารถปลุกดวงตาเวทย์ขึ้นมาได้ และสำหรับดวงตาเวทย์ของตระกูลซันโจนั่นก็คือ–[อรุณอันยิ่งใหญ่]

ในรูทของซันโจ เรย์เอง หลังจากต่อสู้และทำอีเวนต์จนครบตามเงื่อนไขก็ยังมีโอกาสน้อยที่เรย์จะได้รับดวงตาเวทย์ ซึ่งถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าจริง ๆ แล้ว โอกาสจะน้อยกว่า 3% ด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเป็นคนจากตระกูลดยุก แต่สายเลือดของเรย์ก็ไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น ดังนั้นโอกาสจึงน้อยลงไปอีก

“เดี๋ยวสิ นี่มันไม่ข้ามขั้นเยอะไปหน่อยเหรอ? ผมอยากได้เวทย์น้ำก่อนนะ แล้วก็อยากจะเรียนพื้นฐานการใช้ดาบแล้วก็ธนูด้วยนะครับ”

“แน่นอนว่าการปลุกดวงตาเวทย์นั่น ยังไม่ใช่เป้าหมายในตอนนี้หรอกนะคะ จะปลุกได้เมื่อไหร่ มันก็เป็นเรื่องของโชคและเวลาด้วยแหละนะคะ”

อาจารย์ลูบคางด้วยปลายนิ้วและยิ้มออกมา

“แต่ถึงอย่างงั้น การปลุกดวงตาเวทย์ การปลุกได้ตั้งแต่แรก ๆ กับการมาปลุกได้ทีหลังน่ะ มันแตกต่างกันมากนะคะ…เพราะงั้นจากนี้ไปก็พกแคนน่อนไว้ แล้วพยายามฝึกฝนโดยมีตาเวทย์เป็นเป้าหมายจากนี้ไปจะดีกว่านะคะ”

โดยส่วนตัวแล้วผมยังคิดว่านี่มันเร็วเกินไป

แต่คำพูดของอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด ผมจึงตัดสินใจแนบแคนน่อนที่ทั้งหนักและน่ารำคาญนั่นไว้ที่เอวของผม

“แล้วทีนี้ อาจารย์จะเริ่มสอนอะไรก่อนล่ะ?”

“พื้นฐานของวิชาดาบคือการฝึกแกว่งดาบ ถึงจะบอกไปแล้วก็เถอะ แต่หลังจากที่เพิ่งวิ่งเสร็จ ลองฝึกอะไรง่าย ๆ กันก่อนก็น่าจะดีนะคะ”

อาจารย์ยิ้มออกมา

“มาเรียนการยิงธนูกันดีมั้ยคะ แต่ว่าที่ฉันจะสอนน่ะ มันเป็นอะไรที่มันยิ่งกว่าแค่ธนูอีกนะคะ”

อาจารย์กดทริกเกอร์ต่อหน้าต่อตาผม–

“สำหรับคุณแล้ว แบบนี้น่ะคงจะดีกว่าธนูทั่วไปแน่ค่ะ”

พอผมได้เห็นสิ่งที่บอกว่ายิ่งกว่า [ธนู] ก็ทำเอาผมหัวเราะออกมาเลยทีเดียว