ฤดูใบไม้ผลิ ปีสาธารณรัฐจีนที่ 23[1] ณ เมืองซูโจว
ยามเช้าของเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์งดงามสาดส่องปัดเป่าความอึมครึมครึ้มมัวหลังฝนตกปรอยๆ ในหลายวันนี้จนเลือนหายไปหมดสิ้น แสงแดดสาดแสงทาบทากิ่งก้านต้นไม้
เสียงนกร้องดัง จิ๊บ จิ๊บ กลิ่นบุปผาโชยอ่อนพลิ้วมาตามสายลม บริเวณโดยรอบเช้านี้มีผู้คนไปมาขวักไขว่เปิดตลาดค้าขาย ริมชานเมืองซูโจวมีเรือนสี่ประสาน[2] ทรงเอกลักษณ์โดดเด่นเลียนแบบเรือนเมืองหลวงในยุคสมัยก่อนตั้งอยู่หลังหนึ่ง บรรดาคนรับใช้เริ่มวุ่นวายกับงานทำความสะอาดปัดกวาดของตน กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวลออกมาจากในห้องครัว เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อมองเมืองซูโจวจากมุมสูงจะเห็นคฤหาสน์ตระกูลซูที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ตระกูลผ้าปักซูซิ่ว[3]’ ภายในคฤหาสน์มีเรือนเล็กแยกตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ทั่วอาณาบริเวณ มีเส้นทางเล็กๆ ปูลาดด้วยอิฐคดเคี้ยวเลี้ยวลดมุ่งไปยังศาลาริมทะเลสาบหลังงามหรูหรา สองข้างทางมีพุ่มไม้บุปผาผลิบานเขียวขจี ไม่อาจไม่กล่าวว่าเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลซูช่างเป็นผู้รู้จักเสพสุขอย่างมาก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอีกด้วย
“คุณหนูล่ะ” หลานชายคนโตตระกูลซูนามซูถิงอี้ไม่สนใจบรรดาคนรับใช้ที่พากันคำนับตลอดทาง รีบก้าวไปยังเรือนที่สร้างอย่างประณีตหลังเล็กหลังหนึ่ง เข้าไปในห้องปักผ้าที่มีแสงแดดยามเช้าทอประกายสาดส่องเข้ามา แล้วหันไปถามสาวใช้สองคนที่กำลังเก็บกวาดด้ายปักผ้า
สองสาวใช้ได้ยินก็สบตากันอย่างแปลกใจ สาวใช้ร่างสูงกว่าเล็กน้อยหลุบตาลงตอบทันทีว่า “เรียนคุณชายใหญ่ คุณหนูตื่นเช้ามาก็นำผ้าปักซูซิ่วผืนที่สองวันก่อนนำออกมาให้ชมไปยังเรือนนายท่านใหญ่แล้ว บอกว่าคุณชายเรียกนางไป กล่าวจบก็ก้มหน้าลงแอบลอบมองสีหน้าคุณชาย คิดว่าต้องมีคนอ้างชื่อคุณชายให้คุณหนูใหญ่ไปแน่นอน
ซูถิงอี้คิ้วกระตุก รีบหันหลังเดินไปยังเรือนพักของนายท่านใหญ่ที่อาวุโสที่สุดในตระกูลซูตอนนี้ทันที
ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูหน้าของเรือน ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจไม่ใกล้ไม่ไกลแว่วมาจากด้านใน ซูถิงอี้ขมวดคิ้วพลางยิ่งเร่งฝีเท้าก้าวเดินเข้าไป
“อาเฟิน เธอรีบไปเรียนนายท่านกับคุณชายใหญ่ พี่ไปเรียนคุณนาย”
“เจ้าค่ะ”
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งร้อน สาวใช้สีหน้าร้อนใจสองคนรีบวิ่งกันมาทางประตูใหญ่เรือนนายท่านใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น” ซูถิงอี้เรียกสาวใช้ที่รีบก้มหน้าก้มตาวิ่งโดยไม่ทันสังเกตเห็นคนที่มา
“อา! คุณชายใหญ่!” สองสาวราวกับคว้าหลักยึดได้ ดีใจจนแทบร้องไห้
“เกิดอะไรขึ้น เห็นคุณหนูใหญ่ไหม หรือว่านายท่านใหญ่…” ซูถิงอี้ไม่สนใจสองสาวใช้ที่ดึงแขนเสื้อเขาไว้อย่างเสียมารยาท รีบร้อนถามขึ้น
“คุณชายใหญ่ คือว่า…คือคุณหนูใหญ่…คุณหนูใหญ่…” หนึ่งในสาวใช้ตกใจนิ่งค้างไปก่อนแล้ว อีกคนตอบอย่างขาดๆ หายๆ ขึ้นมาสองสามคำ
ซูถิงอี้จับใจความได้สองสามคำแล้วก็ไม่ถามพวกนางต่อ ผลักพวกนางสองคนออกรีบวิ่งไปยังเรือนนายท่านใหญ่ น่าตายนัก! นึกโทษตนเองที่ไม่ทันรู้ตัวให้เร็วกว่านี้ หากว่า…หากว่าสุ่ยเลี่ยนเป็นอะไรไปเพราะเรื่องนี้ เขาจะไม่ปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไปแน่ จะไม่สนใจภรรยาน้อยที่คุณพ่อรักใคร่โปรดปรานอะไรอีกแล้ว
คิดไปพลางโกรธแค้นไปตลอดทาง มารู้สึกตัวอีกที เรือนพักนายท่านใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้ว ซูถิงอี้ผลักประตูใหญ่ ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปทันที ปากก็ร้องตะโกนดังอย่างร้อนใจว่า “สุ่ยเลี่ยน! สุ่ยเลี่ยน!”
ห้องโถงกลางไม่มี เรือนข้างไม่มี เรือนซ้ายก็ไม่มี ซูถิงอี้ค้นหาไปทั่วทุกห้อง จนมาถึงเรือนขวาที่มีม่านประตูทิ้งตัวลงมาครึ่งหนึ่ง เขาได้กลิ่นคาวลอยมากระทบจมูก จึงรีบสาวเท้าก้าวเข้าไป ม่านประตูกระเพื่อมไหวอยู่เบื้องหลังเขา เบื้องหน้าเป็นภาพที่ทำให้เขาตกใจจนแทบจะเข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้น
“สุ่ยเลี่ยน…สุ่ยเลี่ยน…” สองมือซูถิงอี้สั่นเทาก้าวเท้าเข้าไปก่อนจะล้มลงคุกเข่าลงกับพื้น ค่อยๆ ประคองร่างที่ขดตัวอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างเบามือ ศีรษะเหมือนโขกกับมุมโต๊ะจนเลือดที่กำลังไหลรินออกมาย้อมเสื้อผ้าสีเขียวน้ำทะเลของนาง ใบหน้าเรียวรูปไข่น่ารักของนางซีดขาว
“สุ่ยเลี่ยน น้องต้องไม่เป็นอะไร พี่จะพาน้องไปโรงหมอ น้องต้องไม่เป็นอะไร” สีหน้าซูถิงอี้ซีดเผือด อุ้มสุ่ยเลี่ยนขึ้นมาพึมพำกับตนเองไม่หยุด ก่อนจะรีบก้าวออกจากประตูไป
เขาตะโกนเรียกคนรอบๆ มาตลอดทาง “ใครก็ได้มานี่หน่อย รีบเตรียมรถ” ขณะที่ตะโกนก็ยังวิ่งไม่หยุด บางครั้งก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียดก้มหน้าลงมองใบหน้าน้องสาวที่ไร้สีเลือด
“คุณแม่ คุณแม่ว่านางจะ…” ซูถิงอี้วิ่งไปตลอดทาง กลับมาดูทางหลังภูเขาจำลองที่สร้างอย่างงดงามประณีต มีเสียงแม่ลูกคู่หนึ่งคุยกันดังแว่วออกมา
“หากเป็นจริงๆ ก็ดีสิ ดูซิว่าวันหน้าจะมีใครมาข่มลูกได้อีก” สตรีวัยกลางคนในชุดหรูหรางดงามนางหนึ่งเผยใบหน้าที่แสดงความเกลียดชังออกมา
“แต่ว่าเรื่องนี้นายท่านใหญ่คงต้องลงมาจัดการ อย่างไรก็เกิดเรื่องที่เรือนนายท่านใหญ่” สตรีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดนางหนึ่งยู่ปากกล่าวด้วยท่าทางวุ่นวายใจ
“ลูกจะไปกลัวอะไร จะสืบสาวอย่างไรก็เป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่มีพยานหลักฐาน หรือว่ายังจะเอาเรื่องอุบัติเหตุมาลงหัวพวกเราให้ได้ จะว่าไปซูสุ่ยเลี่ยนตายไป ความสามารถของลูกถึงจะเป็นที่ยอมรับและชื่นชมของนายท่านใหญ่กับคุณพ่อ ไม่มีซูสุ่ยเลี่ยน ลูกก็จะได้เป็นช่างปักผ้ามือหนึ่งอย่างเปิดเผยเป็นที่ยอมรับของตระกูลผ้าปักซูซิ่วแล้ว พวกเขาจะกล้ามาลงโทษลูกได้อย่างไร” คุณนายรองสะบัดผ้าเช็ดหน้าใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากลูกสาวที่เริ่มลนลาน กำชับอย่างไม่พอใจนักว่า “ถึงตอนนั้นหากนายท่านใหญ่กับคุณพ่อลูกถามถึง ลูกก็อย่าหลุดพูดออกไปเชียว จำให้ดีนะ ส่วนเรื่องผ้า ‘ภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิง’ ก็รีบส่งออกไปฝังกลบซะ”
“ทราบแล้วค่ะคุณแม่ แต่ลูกกลัวว่าคุณแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่…” พอนึกถึงพี่ชายคนโตร่วมบิดาต่างมารดาที่ชอบวางท่าทางเข้มงวดผู้นั้น ยังมีแม่ใหญ่หรือนายหญิงแห่งตระกูลซูในตอนนี้ที่พอกวาดตามองมาก็ราวกับมองทะลุใจตนเอง ซูสุ่ยเยี่ยนก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ได้เรื่อง!” คุณนายรองเติ้งอวิ๋นเสียของนายท่านตระกูลซูจ้องมองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยำจนเป็นก้อน “กลับไปได้แล้ว สองวันนี้ที่นี่คงไม่สงบสุข ลูกก็ฝึกปักผ้าอยู่แต่ในห้องดีๆ อย่าได้ออกมา อีกสองวันก็จะเป็นวันแข่งขันใหญ่แล้ว นายท่านใหญ่ย่อมให้ลูกไปเข้าร่วมแข่ง ลูกอย่าทำให้แม่ขายหน้าล่ะ” เติ้งอวิ๋นเสียกวาดตามองลูกสาวตน หากวันหน้าจะหาตระกูลให้นางออกเรือนก็จะไม่ให้ลูกสาวนางต้องมาเป็นน้อยเหมือนตนเองที่ไม่อาจโงหัวขึ้นมองผู้ใดอย่างสง่าผ่าเผยไปตลอดชีวิตเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นตนเองจะถึงกับยอมลงทุนวางแผนต่างๆ ปูทางให้ลูกสาวตนเช่นนี้หรือ
ซูสุ่ยเยี่ยนก้มหน้ารับคำเบาๆ ในใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้ว่าพี่สาวต่างมารดาตนเองที่สถานะสูงส่งกว่าตนเองผู้นั้นโชคดีไม่ตาย แต่ก็เกรงว่าคงไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ในอีกสองวันได้แล้ว อืม คุณแม่ พูดถูก ตนเองต้องเตรียมตัวให้ดีๆ หากสร้างชื่อเสียงจากการแข่งขันครั้งนี้ได้ ตำแหน่งช่างปักผ้ามือหนึ่งแห่ง ‘ตระกูลผ้าปักซูซิ่ว’ คงตกถึงมือตนแน่นอน ส่วนคุณชายใหญ่ตระกูลหวังนั้นก็ย่อมต้องเลือกนาง ไม่ใช่ซูสุ่ยเลี่ยนแล้วกระมัง เพราะที่ตระกูลหวังถูกตาต้องใจซูสุ่ยเลี่ยนก็ไม่ใช่เพราะว่าฝีมือปักโดดเด่นหรืออย่างไร! ซูสุ่ยเยี่ยนมั่นใจเต็มที่ เริ่มมีกำลังใจขึ้นมา ตามมารดาตนเองเดินกลับไปเรือนพักตน
…
ณ ห้องหนังสือในเรือนหลักตระกูลซู
“เพล้ง!” เสียงเครื่องลายครามบนโต๊ะตกแตกกระจายเป็นเสี่ยง ผู้ที่นั่งเป็นประธานหลักในห้องหน้าตาโมโหสุดขีดก็คือนายท่านใหญ่แห่งตระกูลซู
“ใครให้ไปตามนะ? ให้สุ่ยเลี่ยนไปที่เรือนฉัน? แม้ตระกูลให้ถิงอี้ดูแล แต่ฉันยังไม่ตายนะ!” นายท่านใหญ่จะอายุแปดสิบแล้ว แต่เสียงโมโหด่าก็ยังเต็มไปด้วยกำลังวังชา
“คุณพ่ออย่าโมโห!” ผู้ดูแลจัดการทุกอย่างในตระกูลซูตอนนี้ก็คือซูฟั่งหวาลูกชายคนโตของนายท่านใหญ่ เขารีบลุกขึ้นยืนก้าวออกมาจากทางด้านซ้ายของนายท่านใหญ่ ก้มลงขอให้นายท่านใหญ่ระงับความโกรธ “สองวันนี้ผมกำลังยุ่งกับการจัดงานแข่งขันใหญ่ ไม่รู้จริงๆ ว่าสุ่ยเลี่ยนเกิดเรื่อง ตามที่ไล่เรียงสืบความมาได้ วันนั้นสาวใช้ของถิงอี้ไปเรือนพักสุ่ยเลี่ยน บอกว่าถิงอี้อยู่กับคุณพ่อที่นี่ ให้สุ่ยเลี่ยนมาเรือนคุณพ่อ แต่ไม่พบถิงอี้กับคุณพ่อ ก็ไม่รู้ว่าทำไม่จึงชนมุมโต๊ะจนเลือดไหลไม่หยุดเช่นนั้นได้…เรื่องนี้ผมยังไม่ได้สืบความกระจ่าง”
ซูฟั่งหวารายงานถึงสิ่งที่ตนเองสืบสวนมาต่อนายท่านใหญ่ ในใจเขาเองก็มีความสงสัย ตามปกติสุ่ยเลี่ยนมีนิสัยรอบคอบ ทำไมรีบร้อนออกไปโดยไม่พาสาวใช้ไปด้วย และตามคำบอกเล่าของสาวใช้ประจำตัว ตอนสุ่ยเลี่ยนออกไปยังนำเอาผ้าปักผืนใหญ่ที่เตรียมนำออกแสดงผืนนั้นไปด้วย แต่พอเกิดเรื่อง ตามคำบอกเล่าของสาวใช้สองคนที่รับใช้ในเรือนนายท่านใหญ่กับซูถิงอี้ลูกชายคนโตของเขา ไม่พบผ้าปักซูซิ่วผืนใหญ่นั่น เรื่องนี้เกรงว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีคนลงมือก่อเรื่อง เพียงแต่ตอนนี้…
“แล้วสาวใช้ถิงอี้นั่นล่ะ” นายท่านใหญ่เองก็คิดเรื่องราววกวนเหล่านี้ได้ จึงถามขึ้น
“ตอนผมส่งคนไปหาตัวสาวใช้เจอ ก็…ก็ตกลงไปในทะเลสาบสิ้นลมหายใจไปแล้ว”
“บัดซบ!” นายท่านใหญ่ตบโต๊ะอย่างโมโหจัด “นั่นมันอุบัติที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเจตนาฆ่า! สุ่ยเลี่ยน…เฮ้อ…แกเร่งจัดการหน่อย ส่งคนไปเพิ่ม ไม่ว่าต้องทุ่มเทเงินทองเท่าไรก็ต้องหาสาเหตุที่เกิดขึ้นให้ได้” นายท่านใหญ่คิ้วขมวดขึ้งพลางสั่งการลูกชายคนโต ก่อนจะสำทับอีกประโยค “การแข่งขันอีกสองวันข้างหน้า…ให้สุ่ยเยี่ยนเตรียมตัวให้ดีๆ ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลซูต้องมีผู้เข้าแข่งขัน”
“ครับ ผมจะรีบไปกำชับ” ซูฟั่งหวาก้มหน้าตอบ
……
ณ ห้องพักผ่อนนอกห้องผ่าตัดในโรงหมอ “หมอว่าอย่างไร” นายผู้หญิงท่าทางมาจากตระกูลผู้ดีร่ำรวยอายุราวสี่สิบคว้ามือซูถิงอี้ไว้พลางถามอย่างร้อนใจ ผู้นี้ก็คือนายหญิงหลี่หรูซี ภรรยาเอกของซูฟั่งหวาผู้ดูแลจัดการตระกูลซูในตอนนี้ ยามนี้นางไหนเลยจะยังวางท่าทางสงบนิ่งเก็บงำท่าทีเหมือนปกติไว้ได้อีก สีหน้ามีแต่ความกังวลกับลูกสาวที่ไม่รู้จะเป็นหรือตาย
“คุณแม่” ซูถิงอี้กุมมือเย็นเยียบของหลี่หรูซีไว้แน่น พลางเรียกเบาๆ แต่กลับไม่พูดต่อ เอาแต่ส่ายหน้า
“ถิงอี้ หมายความว่าอย่างไร” หลี่หรูซีน้ำตาร่วงเผาะอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป พอสาวใช้ข้างกายเห็นคุณชายใหญ่ตนเช่นนี้ก็หวังแค่ว่าสิ่งที่จะตอบออกมาคงไม่ทำให้นายหญิงสิ้นหวัง
“หมอบอกว่า…” ซูถิงอี้คิดเรียบเรียงคำพูดให้เรียบร้อยก่อนจะพูดออกมา เลือกคำพูดที่พูดแล้วจะไม่ทำให้คนฟังเป็นลมหมดสติ “หมอบอกว่า น้อง น้อง น้องได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หากเลือดคั่งและยังไม่กระจายออก อาจทำให้สลบไปอีกหลายวัน” นี่ก็คือความเป็นไปได้หนึ่ง และอาจจะเป็นความเป็นไปได้ที่น้อยมาก ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือ…จากนี้ไปก็จะกลายเป็นคนเป็นที่ราวกับคนตาย หากว่าอีกครึ่งปีไม่ดีขึ้น เกรงว่า…ซูถิงอี้คิดถึงความเป็นไปได้นี้ ก็อดกำหมัดแน่นหันหน้าเข้าหากำแพงไม่ได้
“คุณชายใหญ่!” สาวใช้คนสนิทหลี่หรูซีเห็นเช่นนี้ก็อุทานอย่างตกใจ
หลี่หรูซีมองไปทางลูกชาย ได้ยินวาจาเช่นนี้ ในใจก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เห็นลูกชายโกรธแค้นคนที่ทำร้ายสุ่ยเลี่ยนก็ปลอบใจลูกชายว่า “ในเมื่อไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้วก็ดี เรื่องอื่นๆ แม่ว่าพวกเราไม่อาจนั่งรอหายนะเช่นนี้ สาวใช้ที่มาตามคนนั้นตายอย่างมีเงื่อนงำ ผู้บงการเบื้องหลังไม่ต้องเดาเลย ต้องเป็นนังชั้นต่ำนั่น พรุ่งนี้แม่จะกลับไปบ้านท่านตาลูกสักครั้ง ได้ยินว่าเจ้าลูกชายไม่ได้เรื่องสองคนตระกูลเติ้งนั่นเข้าร่วมองค์กรอะไรสักอย่าง ก่อนหน้านี้กำลังรวบรวมเงินทุน…เชอะ แม่ไม่เชื่อว่าจะหาจุดอ่อนของนังชั้นต่ำนั่นไม่เจอ ให้พวกมันร้อนใจกันบ้าง” หลี่หรูซีแค่นเสียงเย็นเยียบ สองตาราวกับเต็มไปด้วยคมมีดเย็นเยียบ กล้าทำร้ายลูกสาวนาง เบื่อชีวิตแล้วละสินะ!
[1] สาธารณรัฐจีนอยู่ในช่วงปีค.ศ.1912-1949 ก่อนประเทศจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปีสาธารณรัฐจีนที่ 23 ก็คือปี ค.ศ. 1934
[2] เรือนสี่ประสานหรือซื่อเหอย่วนของจีนเป็นเรือนพักอาศัยที่สร้างอยู่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า รอบๆ บริเวณพื้นที่จะเป็นที่ตั้งเรือนพักอาศัย ล้อมรอบทิศทั้งสี่ของพื้นที่เอาไว้ เว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นที่โล่ง เหมือนกรอบสี่เหลี่ยม โดยถือเอาที่โล่งว่างกลางบ้านเป็นศูนย์กลาง มีทั้งแบบกรอบหนึ่งชั้น กรอบสองชั้น เป็นต้น
[3] สำนักปักผ้าโบราณชื่อเสียงโด่งดังของจีนมีสี่ตระกูลหลัก ได้แก่ ตระกูลผ้าปักซูซิ่วแห่งเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ตระกูลผ้าปักเซียงซิ่วแห่งมณฑลหูหนาน ตระกูลผ้าปักสู่ซิ่วแห่งเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน และตระกูลผ้าปักเย่ว์ซิ่วแห่งมณฑลกวางตุ้ง
← ตอนก่อน