พอซูสุ่ยเลี่ยนฟื้นขึ้นมาหลังจากสลบไป บรรยากาศรอบกายไม่ใช่โรงหมอตะวันตกของเมืองซูโจวในฤดูใบไม้ผลิ ปีสาธารณรัฐจีนที่ 23
ป่า? ซูสุ่ยเลี่ยนกะพริบตา ยันกายที่อ่อนกำลังอย่างที่สุดของตนขึ้นมองไปรอบๆ อย่างสับสน ก่อนจะก้มลงมองตนเองอย่างงุนงง “อ๋า?” ร่างนี้เหมือนไม่ได้สวมชุดที่ตนเองเคยสวม หรือว่าพอตนสลบไป สาวใช้ก็เปลี่ยนให้ แต่ก็ไม่ควรจะเป็นเนื้อผ้าที่ดูหรูหรางดงามเช่นนี้ ตนเองไม่เคยสนใจความหรูหราของเครื่องแต่งกาย แต่ไรมาขอให้สวมใส่สบายก็พอ สาวใช้สองคนที่รับใช้นางมาแต่เล็กล้วนรู้เรื่องนี้ดี ตั้งแต่ชุดตัวในถึงชุดตัวนอก ส่วนใหญ่ก็เป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดและผ้าไหม ชุดที่ดูแล้วหรูหราราคาแพง ดูแล้วลมไม่ถ่ายเทและไม่สบายตัวเช่นนี้ไม่ใช่ของนางแน่นอน
ไม่ทันตั้งสติได้ก็กวาดตาลงมองสองมือ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง สองมือเรียวงามเช่นกัน แต่ทว่าเรียวเล็กว่าตนเองรอบวงหนึ่ง หลังมือยังมีรอยแผลไม่น้อย น่าจะถูกกิ่งหนามบาดเอา เพียงแต่เห็นชัดว่าไม่ใช่มือที่เรียวยาวขาวผ่องน่าทะนุถนอมไว้ปักผ้าคู่นั้นของตนเอง
ตนเองคือซูสุ่ยเลี่ยน หลานสาวคนโตสายภรรยาเอกของตระกูลซูผู้ครองตำแหน่งช่างปักผ้ามือหนึ่งของ ‘ตระกูลผ้าปักซูซิ่ว’ มาถึงห้าปีกว่า หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนนี้เป็นภาพมายาของตนเอง สิบเก้าปีเต็มๆ ที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝันที่กระจ่างชัด ฝังลึก เสมือนจริงอย่างนั้นหรือ แต่ความจริงตนเองเป็นหญิงสาวที่ร่างกายอ่อนแอไร้กำลังไม่อาจทนรับอะไรได้อย่างที่สุดเช่นนี้หรือ ไม่นะ น่าจะเรียกว่าเด็กสาวดีกว่าไหม ดูจากกระดูกแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าสุ่ยเยี่ยนอีกนะ
พอคิดถึงซูสุ่ยเยี่ยนน้องสาวตนเองที่ถือกำเนิดจากคุณนายรอง ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดทอดถอนใจไม่ได้ คิดไม่ถึง…คิดไม่ถึงจริงๆ แต่ไรมาแม่รองที่ต่อหน้าผู้คนก็ดูเป็นคนมีมารยาทงดงามและมีความเคารพลำดับสถานะ กับน้องสาวหน้าตางดงามกิริยาร่าเริง ถึงกับอิจฉาฝีมือปักผ้าของตนจนต้องลงมือทำร้ายตนเช่นนี้ อ้างชื่อพี่ใหญ่หลอกตนไปยังเรือนนายท่านใหญ่ แย่งเอาผ้าปัก ‘ภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิง’ ผืนใหญ่ที่ตนใช้เวลาปักนานถึงสี่เดือนกว่าจะเสร็จไป ยังผลักตนล้มลงอีก
ลองสะบัดหน้าไปมาเบาๆ รู้สึกหนักๆ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดอะไร หรือตอนที่ถูกสุ่ยเยี่ยนผลักกระแทกมุมโต๊ะในห้องนายท่านใหญ่ก็ไม่มีความรู้สึกแล้ว เรื่องนี้ตนเองก็คิดไปเองอีกงั้นหรือ
ซูสุ่ยเลี่ยนพยายามฝืนยันกายที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา นึกมั่นใจอีกครั้งว่าร่างกายอ่อนแอบอบบางนี้ไม่ใช่ของตนเองแน่แล้ว
ความสงสัยบนใบหน้าไม่ทันจางหายไป ก็คว้าเอากิ่งไม้ใหญ่ข้างกายมายันรับร่างของตนเองเอาไว้ ก่อนจะเดินโงนเงินไปได้สองสามก้าว รอจนอาการมึนศีรษะบรรเทาลงเล็กน้อยก็เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ
พุ่มไม้ด้านนอกไกลออกไปไม่กี่ก้าวมีห่อผ้าเล็กๆ แขวนอยู่ ซูสุ่ยเลี่ยนก้าวเข้าไปมองอย่างละเอียด ในใจก็เดาว่าน่าจะเป็นของของเจ้าของร่างเดิมนี้ ลงมือสะบัดห่อผ้าออกมาดูว่าจะมีอะไรบอกสถานะแน่ชัดตนเองตอนนี้ได้บ้างไหม
น่าเสียดาย ในห่อผ้ามีชุดตัวนอก ตัวกลาง และตัวในตัดจากผ้าแพรต่วนสีเหลืองไข่เป็ดสามชุด มีน้ำเต้าที่ว่างเปล่า เดาว่าไว้ใส่น้ำ ยังมีมีดสั้นเล็กงดงามประณีตเล่มหนึ่ง หวีไม้จันทน์หอมอีกหนึ่ง กระจกทองแดงขนาดราวฝ่ามืออีกหนึ่ง เครื่องประดับหลายชิ้นห่อด้วยผ้าแพรต่วน มีทั้งปิ่นหยก ปิ่นบุปผาระย้าทำจากทองคำ กำไลหยกขาวแกะสลักมังกรหงส์คู่หนึ่ง และยังมีถุงผ้าเล็กๆ มีน้ำหนักถุงหนึ่ง ในนั้นมีเงินอยู่ห้าเหรียญเงิน [1] และเศษเงินอีกเล็กน้อย
ซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มงุนงงอีกครั้ง ดูเครื่องประดับพวกนี้แล้วยังไม่อาจบอกอะไรได้ แต่เหรียญเงินกับเศษเงินตอนนี้ไม่อนุญาตให้ใช้นานแล้วไม่ใช่หรือ ก่อนปีที่แล้วยังมีใช้เหรียญเงินที่ทำจากเงินอยู่ แต่ตั้งแต่ปีก่อนมาก็อนุญาตให้ใช้แค่เงินที่ทางการกำหนดใช้แล้วนี่นา ทำไมในห่อผ้านี้ยังมีเหรียญเงินค่าราวสิบตำลึงเช่นนี้กับเศษก้อนเงินพวกนี้อยู่ ดูเสื้อผ้าแล้วก็ไม่เหมือนว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในภูเขามานานไม่ได้ออกไปไหน มองดูกระจกทองแดงอีกที ส่องตั้งนานก็ไม่เห็นอะไรชัดนัก มีแต่พอดูออกว่าเป็นโครงหน้าเท่านั้นว่าไม่ใช่ซูสุ่ยเลี่ยนแน่นอน กอปรกับมวยผมบนศีรษะ ผมสลวยประบ่า หน้าผากกลมเกลี้ยง ทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนยิ่งเชื่อว่าคนผู้นี้ไม่ใช่นาง และก็ไม่ใช่ซูสุ่ยเลี่ยนคนเดิมในวัยเยาว์ที่ไว้ผมหน้าม้าแสกมุมอย่างเด็ดขาด
ซูสุ่ยเลี่ยนนึกเศร้าใจวางห่อผ้าลงอย่างกลัดกลุ้ม นั่งอยู่บนท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งทิ้งสองขาที่อ่อนแรงลง คิดอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นนานก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ท้องกลับส่งเสียงดังจ๊อกๆ เตือนนางว่าร่างกายนี้อ่อนกำลังเช่นนี้ก็คงเพราะหิว
นางคิดอย่างรวดเร็วทันที คงไม่ใช่ว่าร่างนี้หิวตาย จากนั้นวิญญาณตนเองเลยเข้ามาครองร่างต่อกระมัง สวรรค์! นี่มันเรียกว่าสิงร่างหรือ ที่กล่าวกันทั่วไปในเรื่องเล่าว่า ‘อาศัยร่างคืนชีพ?’ ซูสุ่ยเลี่ยนนิ่งอึ้ง เช่นนั้นซูสุ่ยเลี่ยนตัวจริงล่ะ ตายแล้วหรือ
ไม่มีเวลาให้ซูสุ่ยเลี่ยนคิดมากต่อ มีเสียงคำรามร้องดังของสัตว์ป่าดังมาจากที่ไม่ไกลนัก ตามมาด้วยเสียงต่อสู้สังหารดุเดือด นางตื่นตระหนกตกใจขึ้นทันที เริ่มจำได้ว่าตอนนี้อยู่ในป่า ไม่แน่ว่าอาจถูกสัตว์ป่าจับกินได้ อย่างไรก็รีบหาที่หลบซ่อนตัวก่อนดีกว่า
นางคว้าห่อผ้าขึ้นมาได้ก็ยันกายเดินไปคนละทางกับเสียงสัตว์ป่าคำราม พอเสียงคำรามต่อสู้ดุเดือดจบลง ป่าไม่ไกลนักก็กลับคืนสู่ความสงบดังเดิมอีกครั้ง
ซูสุ่ยเลี่ยนยืนนิ่งอยู่กับที่ตั้งใจฟังครู่หนึ่ง มั่นใจว่าเสียงคำรามดุเดือดเงียบลงแล้วจริงๆ คิดไปคิดมาก็กำท่อนไม้แน่นก่อนจะค่อยๆ ขยับไปทางเสียงคำรามเมื่อครู่ หวังว่าเป็นดังที่ตนเองคิดไว้ ซูสุ่ยเลี่ยนกำท่อนไม้และห่อผ้าไว้แน่น ใจเต้นแรงโครมคราม หากเดาผิด ชีวิตนี้ของตนเองคงได้จบสิ้นแน่
มองเห็นสภาพเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเละเทะตรงหน้า ซูสุ่ยเลี่ยนสะกดกลั้นความอยากอาเจียน ฝืนอาการใกล้เป็นลมเอาไว้ สีหน้าซีดเผือดแย้มยกมุมปากเผยความยินดีในใจตนออกมา ใช่แล้ว ตนเองมีอาหารให้อิ่มท้อง มีชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว
แม้ดูแล้วจัดการไม่ง่ายสักเท่าไรก็ตาม
เสือดาวสีขาวตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่ากับนางสี่คนกับหมาป่าใหญ่สองตัว
นางตัวสั่นเทาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้สัตว์ป่าดุร้ายสามตัวที่ต่อสู้จนตายไปด้วยกัน ล้วงเอามีดสั้นที่ไม่รู้ว่าใช้การได้ไหมออกมา แต่กลับไม่รู้ว่าควรลงมือจากตรงไหนก่อนดี
ลอกหนัง หั่นเนื้อ ย่าง ความคิดพวกนี้ได้มาจากยามว่างที่นั่งอ่านบันทึกของแปลกอี้อู้ [2] เพียงแต่แต่ไรมาไม่คิดว่าวันหนึ่งตนเองจะต้องมาลองลงมือเอง
เป็นหลานสาวคนโตสายภรรยาเอกตระกูลซู ยังเป็นช่างปักมือหนึ่งของ ‘ตระกูลผ้าปักซูซิ่ว’ ห้าสมัยติดต่อกัน ชีวิตนางเรียกว่าแสนสุขสบาย นับประสาอันใดกับด้วยชื่อเสียงตระกูลซูในเมืองซูโจว นางย่อมลงมือทำงานจิปาถะพวกนี้ด้วยตนเองไม่ได้ มือของนางต้องปกป้องไว้เพื่อจับเข็มปักผ้าเท่านั้น
แต่ว่านางในตอนนี้ ไหนเลยจะมีโอกาสนั่งรอให้อาหารมาจ่อถึงปาก มีแต่ต้องพยายามช่วยเหลือตนเองให้มีชีวิตรอดต่อไป แม้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ซูสุ่ยเลี่ยน แต่ว่าวิญญาณใช่ จากนี้ไปร่างนี้ก็คือซูสุ่ยเลี่ยน ซูสุ่ยเลี่ยนก็คือร่างนี้
มัวแต่คิดไปไกลอยู่เป็นนานจนกระทั่งท้องฟ้ามืด ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงไม่กล้าแตะต้องสามศพนั่น มือกำแล้วกำแน่นอีก ก่อนจะสูดลมหายใจลึกเข้าออกอีกเฮือก นางตัดสินใจใช้มีดสั้นเริ่มลงแรง ไม่ผิด ‘ลงแรง’ เรียกพฤติกรรมพวกนี้ว่าลงแรง นางไม่เชื่อว่าตนเองเอาชนะจิตใจที่เคร่งเครียดและหวาดกลัวของตนเองไม่ได้
ขณะคิดจะก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียง งึด งึด งึด ดังมาจากพุ่มหญ้าด้านหลัง ตามมาด้วยสุนัขขนสีขาวราวหิมะสองตัวดุกดิกเข้ามา เห็นพวกมันส่งเสียงหอนดัง โบร๋ว โบร๋ว เลียศพหมาป่าตัวใหญ่ที่เริ่มจะแข็งแล้วสองตัวนั่น ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ได้ทันที สองตัวนี้น่าจะเป็นลูกหมาป่า พวกมันออกมาตามหาพ่อแม่ของมัน
ซูสุ่ยเลี่ยนน้ำตาซึม รู้สึกละอายกับความคิดตนเองก่อนหน้าที่คิดจะลอกหนังเอาเนื้อพวกมันมากิน เดินเข้าไปกอดลูกหมาป่าสองตัวที่เหมือนจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน กระซิบเบาๆ ว่า “อย่าเศร้าใจไปเลยนะ ฉันช่วยพวกแกฝังดีไหม” ลูกหมาป่าสองตัวไม่หลบการเข้าใกล้ของซูสุ่ยเลี่ยน ส่งเสียงหอน โบร๋ว โบร๋ว มองดูดวงตาใสแจ๋วของพวกมันแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้สึกว่าพวกมันอาจจะเข้าใจความหมายของนาง
ค่อยๆ วางลูกหมาป่าลงบนกอหญ้า ก่อนจะหยิบมีดสั้นออกมาขุดหลุม ขุดอยู่นานกว่าจะขุดหลุมเล็กๆ ออกมาได้ ซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มร้อนใจ ฟ้ามืดแล้ว ยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีสัตว์ป่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าอะไรออกล่าหาอาหารอีก ไหม ตนเองตัวคนเดียว จะพาเจ้าหมาป่าสองตัวไปที่ไหนดีนะ
หันกลับไปหรี่ตามองเจ้าลูกหมาป่าสองตัวที่ดูเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายก็แอบหัวเราะในใจ คิดไม่ถึงว่าไม่เจอคน แต่กลับมาเจอเจ้าสองตัวนี่ได้
ลูกหมาป่าสบตากับซูสุ่ยเลี่ยน เห็นนางมองจ้องตนก็ส่งเสียงหอน โบร๋ว โบร๋ว อย่างไม่เข้าใจ ตามมาด้วยตะกายวิ่งเข้าหาซูสุ่ยเลี่ยน เลียเท้านางสองที ตอนแรกซูสุ่ยเลี่ยนกำลังหยุดขุดดินอยู่ พอซูสุ่ยเลี่ยนเห็นพวกมันมีท่าทีน่ารักเช่นนี้ ก็หยุดคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เริ่มลงมือต่อ ขุดดินได้หลุมใหญ่พอที่จะวางหมาป่าตัวใหญ่สองตัวได้พอดี
…
“ได้ละ” ซูสุ่ยเลี่ยนวางก้อนหินเล็กๆ วนรอบดินที่ฝังหมาป่า เผื่อว่าวันหน้าจะพาลูกหมาป่ากลับมาแล้วหาที่นี่ไม่เจอ แม้ยังไม่รู้ว่าจะได้ออกจากป่านี่ไปได้อย่างปลอดภัยได้หรือไม่ และไม่รู้ว่าวันหน้าจะยังมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม แต่ทว่า นางชินที่จะทำเครื่องหมายกับทุกงานที่ผ่านมือนาง
ปัดฝุ่นตามตัวออกหมดแล้วก็ลงแรงลากเสือดาวขาวตัวนั้น กวักมือเรียกลูกหมาป่าสองตัว “บ้านพวกเจ้าสองตัวอยู่ไหน พาข้าไปได้ไหม”
ลูกหมาป่าสองตัวเดินวนรอบหลุมดินที่กลบเรียบร้อยสองสามรอบ ก่อนจะกลับไปข้างกายซูสุ่ยเลี่ยน เงยหน้าหอนรับ โบร๋ว โบร๋ว ปากก็คาบขาหน้าเสือขาวช่วยนางลากเสือขาวไป ยังแสดงท่าทีให้ซูสุ่ยเลี่ยนตามพวกมันไป
เดินตามหมาป่าไปได้ราวห้าสิบเมตรก่อนจะปัดพุ่มไม้ด้านหน้าออก เบื้องหน้าปรากฏถ้ำใหญ่กว้างราวสองเมตร ซูสุ่ยเลี่ยนเข้าใจทันที ที่นี่น่าจะเป็นถ้ำหมาป่า ไม่เช่นนั้นลูกหมาป่าคงไม่ชำนาญเส้นทางเช่นนี้
โยนเสือขาวไว้ที่ปากถ้ำ ตามลูกหมาป่าเข้าไปในบ้านมัน
ในถ้ำนอกจากกลิ่นอับแล้วก็ไม่ได้สกปรกอะไร พื้นยังปูด้วยกิ่งไม้ใบไม้แห้งหนา เหยียบแล้วก็ส่งเสียงดังกรอบแกรบ ถ้ำไม่ใหญ่ เป็นทรงแคบยาว เดินตรงไปได้ราวสิบกว่าเมตรก็สุดทาง สุดทางถึงกับยังมีบ่อน้ำ
โอ๊ะ ไม่สิ นี่มันบ่อน้ำที่ไหน มันคือหินย้อยที่เกิดตามธรรมชาติ ปลายหินย้อยแหลมยาวยังมีหยดน้ำใสหยดอยู่ที่ปลายติ่ง หินย้อยตรงกลางนั่นมีหลุมยุบลงไป ในนั้นสะสมเอาของเหลวสีเขียวแวววาวที่ดูเหมือนน้ำแต่ก็เหมือนหยก
นี่คือ? ซูสุ่ยเลี่ยนใช้นิ้วแตะมาลองชิม รสชาติชุ่มคอ พอลงท้องไปก็ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่ได้มีความรู้สึกหิวดังก่อนหน้าอีก
นี่มันอะไรกันแน่ ดูแล้วเหมือนไหลซึมลงมาจากเพดานถ้ำด้านบน ก่อนจะสะสมเป็นของเหลวนี้ เพียงแต่พอเงยหน้าขึ้นสำรวจเพดานถ้ำ ก็ไม่เห็นร่องรอยเปียกชื้นไหลซึมอะไร มีแต่มีร่องรอยประหลาดบางอย่าง แต่ว่าหากหยดจากเพดานถ้ำนี่สะสมจนเป็นหลุมบ่อได้เช่นนี้ ต้องใช้เวลานานเท่าไรกัน มิน่าของเหลวสีเขียวแวววาวในหลุมจึงไม่ได้ไหลออกไปที่ใดแม้แต่น้อย นี่มันต้องสั่งสมมากี่ปีกันเนี่ย
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งคิดอยู่เป็นนาน คิดจนสมองแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าของเหลวสีเขียวแวววาวนี่คืออะไร
[1] เงินเหรียญตะวันตกเข้าสู่ประเทศจีนในสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ของราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1573-1620) ในปีที่ 58 ของฮ่องเต้เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1793) สร้างเหรียญเงินเฉียนหลง ในปีที่ 16 ของฮ่องเต้กวงซวี่ราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1890) เริ่มใช้เงินเหรียญอย่างเป็นทางการ เรียกว่า เหรียญกวงซวี่ หลังจากการก่อตั้งระบบสกุลเงินมาตรฐานเงินในสาธารณรัฐจีนก็ยังถูกใช้เป็นสกุลเงินหลักในการหมุนเวียนในช่วงแรกจนถึงค.ศ. 1935 ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้เงินกระดาษ
[2] บันทึกเกี่ยวกับคน สัตว์ และสิ่งของต่างๆ ทางใต้ของจีนเล่มแรก เขียนในสมัยฮั่นตะวันออก