ตอนที่ 3 ท่ามกลางป่าเขาไร้วันคืน

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

วันที่สิบแล้ว

ซูสุ่ยเลี่ยนหยิบก้อนหินขีดลงบนกำแพงถ้ำเพิ่มอีกขีด

ในใจก็เริ่มร้อนใจ หาทางออกจากป่าไม่ได้จะใช้ชีวิตอย่างไร

เดิมคิดว่าก็แค่ป่าเขา ใช้เวลาหกวันค้นหาทางออกหกทิศทาง เป็นนานก็มองไม่เห็นทางออกจากป่า ได้แต่คว้าน้ำเหลวกลับมา

มองไปยังเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ย ลูกหมาป่าสองตัวที่กำลังไล่กวดหาอะไรเล่นไปทั่ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็นึกขำ โชคดีที่มีพวกมันเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นตนเองจะผ่านพ้นสิบวันนี้มาได้อย่างไร ไม่หิวตายก็คงหนาวตาย ไม่ก็ถูกสัตว์ป่าคาบไปเป็นอาหารโอชะไปแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็มาถึงปากถ้ำ กิ่งไม้หลายท่อนต่อกันเป็นนั่งร้านไว้ตากแดดง่ายๆ แขวนเนื้อแห้งเอาไว้เป็นพวง

ข้างพุ่มไม้ยังมีหนังเสือเสือดาวขาวปูลาดพอให้ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งได้สองคน

ใช่แล้ว เสือดาวขาวที่ตายไปพร้อมกับหมาป่าสองตัวนั้นถูกซูสุ่ยเลี่ยนใช้เวลาสองวันก็แล่เนื้อออกมาได้เรียบร้อยหมดจด จากนั้นก็ตามหมาป่าน้อยสองตัวนำทางไปยังแหล่งน้ำที่ใกล้กับถ้ำ เป็นสายธารน้ำใสกระจ่างคดเคี้ยวสายเล็กที่น่าจะอยู่ไกลออกไปราวสามสิบเมตร หลังจากล้างหนังเสือขาวสะอาดแล้ว ก็เอามาตากไว้บนพุ่มไม้ให้แห้ง

ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งก็แห้ง หนังเสือค่อยๆ หดตัวและเริ่มแห้งสนิทอ่อนนุ่ม คิดว่าคืนนี้นอนบนหนังเสือขาวที่นุ่มละมุนอบอุ่นผืนนี้ได้แล้ว ไม่ต้องมานอนบนกิ่งไม้ใบหญ้าแห้งกรอบที่เสียดผิวเนื้อตัวจนรู้สึกอึดอัดไปหมด ซูสุ่ยเลี่ยนอดแย้มยิ้มไม่ได้

นางค่อยๆ ถูฝ่ามือที่เริ่มไม่นุ่มละมุนดังเดิมของตนเอง ฝ่ามือมีร่องรอยบาดแผลเล็กๆ จากการลงแรงทำงาน ในใจได้แต่ทอดถอนใจว่า ออกจากป่านี้ได้หรือไม่ยังไม่แน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้ไปปักผ้าอีกครั้งหรือไม่ อย่างไรก็คงต้องหาทางมีชีวิตต่อไปก่อนดีกว่า

โชคดีที่ตอนก่อนอายุแปดขวบเคยไปเล่นที่บ้านคุณยายกับญาติผู้พี่ซึ่งเป็นผู้ชายที่อายุสี่ขวบเท่ากัน รู้เคล็ดลับการย่างเนื้อกลางป่าพวกนี้มา กอปรกับหลังว่างจากงานปักก็มักจะหาวารสารเรื่องแปลกอี้อู้พวกนั้นมาอ่าน ในนั้นบอกเล่าถึงวิถีชาวบ้านแต่ละถิ่น และอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ทำให้ตอนซูสุ่ยเลี่ยนจัดการหนังเสือขาวไปก็นึกขั้นตอนการจัดการหาทางดำรงชีวิตต่อไปได้ไม่น้อย

ลอกหนังเสือออกมาจากเนื้อได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับมีดสั้นเล่มงามในห่อผ้า ตอนนี้ถูกนางใช้เชือกป่านที่ฟั่นจากเถาวัลย์แห้งมามัดติดไว้ที่หน้าขานางเพื่อไว้ป้องกันตนเองตอนออกไปสำรวจรอบๆ แล้วต้องเจอเหตุไม่คาดฝันขึ้น

คิดไม่ถึงว่ามีดสั้นเล่มงามจะมีความคมกริบเช่นอาวุธที่ตัดเหล็กได้ราวกับดินเหลว

โชคดีที่มีมัน ตนเองหั่นเนื้อเสือขาวออกมาได้อย่างไม่เปลืองแรงสักนิด แน่นอนว่าเพราะขาดความชำนาญจึงบาดโดนตัวเองหลายครั้ง ถึงกับมีครั้งหนึ่งที่ลึกลงไปจนเลือดไหลไม่หยุด หากว่าไม่ได้ไปล้างมือในแอ่งน้ำหินย้อยนั่นก็คงไม่ได้พบว่าของเหลวสีเขียวแวววาวนั่นหยุดเลือดได้ทันที หากไม่ได้มัน ไม่แน่ซูสุ่ยเลี่ยนอาจต้องเลือดไหลมากเกินไปจนต้องเป็นลมไปอีกรอบแล้ว

ของเหลวสีเขียวแวววาวนี่ช่างเป็นดังหยกเหลวล้ำค่า ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพเสริมกำลังวังชา ยังหยุดเลือดรักษาบาดแผลได้อีก ดูเหมือนว่าตนเองได้รับของเหลวราวหยกนี้ไปไม่กี่หยดก็แข็งแรงมีกำลังวังชาขึ้นไม่น้อย ไม่ได้อ่อนแอบอบบางเหมือนตอนแรกอีกแล้ว

ฮิฮิ ซูสุ่ยเลี่ยนอดแอบลอบหัวเราะไม่ได้ แม้ว่าตอนแรกยังเศร้ากับการอยู่ๆ มาสู่โลกใบนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอเก็บลูกหมาป่าสองตัวและมีที่พักอาศัย ถึงกับโชคดีที่ยังค้นพบสมบัติล้ำค่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อีก ซูสุ่ยเลี่ยนก็เริ่มสงบใจและตั้งสติได้แล้ว

โบราณกล่าวไว้ว่า ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ไปให้เป็นสุข ในเมื่อสวรรค์ไม่ให้ตนเองต้องตายไปอย่างนั้น แต่เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมดำรงชีพให้ใหม่ ตนคงต้องพยายามให้ดีที่สุดเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป คิดว่าหากคุณแม่ และพี่ใหญ่รู้ก็คงสบายใจ ลูกสาวไม่ได้คร่ำครวญโทษฟ้าโทษดิน แต่พยายามมีชีวิตต่อไปด้วยตนเอง

ส่วนเรื่องของเหลวสีเขียวแวววาวนี่คงต้องประหยัดใช้หน่อยแล้ว เดาว่ามีอีกไม่เกินสองช้อนชาเล็ก ก่อนออกจากป่านี้ไปได้ ไม่ควรนำมาใช้เปะปะอีก คิดถึงการออกจากป่า ซูสุ่ยเลี่ยนตัดสินใจว่าอีกสองสามวัน ลองนับเนื้อเสือตากแห้งบนนั่งร้าน เดาว่ายังอยู่ได้อีกสิบวันถึงครึ่งเดือน

ยามนั้นเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยน่าจะโตและแข็งแรงพอควรแล้ว พอที่จะเดินทางไกลได้ด้วยตนเองแล้ว นางต้องเตรียมอาหารให้มากอีกหน่อย สองสามวันก่อนตอนออกสำรวจทางออกพบว่ามีผลไม้ป่าไม่น้อย ยังพบร่องรอยถูกนกจิกกิน คิดว่าต้องไม่มีพิษแน่

รอพรุ่งนี้ค่อยไปสำรวจให้ละเอียด หากว่ามีผลไม้สดไว้กินก็จะโชคดีมาก หลายวันมานี้มีแต่กินน้ำเปล่ากับเนื้อแห้ง หากไม่หิวจนทนไม่ไหวจริงๆ ตนไม่กินเด็ดขาด

แม้ว่าเนื้อเสือย่างแห้งแล้วหอมมากเพียงใด แต่ไม่ได้ทาน้ำผึ้งโรยเกลือปรุงรส รสชาติก็ไม่ไหวเท่าไร ดูลูกหมาป่าสองตัวกัดแทะอย่างเอร็ดอร่อย ซูสุ่ยเลี่ยนเบือนหน้าหนีอย่างหมดวาจาจะกล่าว เตรียมออกไปหาผลไม้ป่ารสเปรี้ยวที่เอามาปรุงรสได้ ดีที่สุดก็ควรหาผลไม้ป่ารสเค็มที่บันทึกของแปลกอี้อู้บรรยายไว้พวกนั้นให้ได้ ซูสุ่ยเลี่ยนพยายามนึกย้อนกลับไปอย่างเต็มที่ พยายามนำความรู้ที่ได้อ่านมา มาปรับให้เข้าชีวิตในตอนนี้

……

“เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย?” ซูสุ่ยเลี่ยนเดินตากน้ำค้างเข้าไปในถ้ำ ปลุกลูกหมาป่าหลับอุตุสองตัวให้ตื่น ใบหน้าขาวผ่องยิ้มอย่างยินดี

โบร๋ว โบร๋ว ลูกหมาป่าสองตัวลืมตาปรือมองมา พอเห็นซูสุ่ยเลี่ยนก็เอาตัวเย็นเยียบเข้าไปถูไถ ส่งเสียงหอน โบร๋ว โบร๋ว เสร็จ ก็หลับตานอนหลับยามเช้าต่ออย่างมีความสุข

ซูสุ่ยเลี่ยนขำ วางพวกมันลงบนหนังเสือเบาๆ ปล่อยให้พวกมันนอนหลับอุตุต่อ

ตนเองเดินมาข้างแอ่งน้ำหินย้อย ควักเอาผลไม้ที่ตนเองเก็บมาได้ออกมา เอาแต่ยิ้มไม่หุบ

ใช่แล้ว ผลไม้สีเขียวที่ดูรูปร่างไม่ได้อะไรนักพวกนี้ก็คือผลไม้รสเค็มที่บันทึกไว้ในบันทึกของแปลกอี้อู้ เป็นผลไม้รสเค็มที่ใช้แทนเกลือได้

ตอนพบนางก็แอบชิมอย่างระมัดระวัง มั่นใจว่าเค็ม เพียงแต่มีรสขมฝาดปนอยู่เล็กน้อย คิดว่าคงเป็นเพราะต้องใช้วิธีการที่บันทึกไว้ในบันทึกของแปลกอี้อู้จัดการมันก่อน ซูสุ่ยเลี่ยนอดลอบยินดีไม่ได้ ฮัมทำนองเพลงเมืองซูโจวขึ้นมาเบาๆ จัดการปอกเปลือกผลไม้สองสามลูก ใช้มีดสั้นคว้านเอาเม็ดในออกมา จากนั้นก็นำเนื้อผลไม้วางใส่ชามหินทีละชิ้น

ที่เรียกว่าชามหินก็คือก้อนหินที่มีร่องยุบลงไปชิ้นหนึ่ง ใช้เป็นภาชนะชามใส่น้ำเล็กๆ ได้ นางพบหินนี้ที่ริมลำธารเลยเอากลับมาด้วย หามาได้สองชิ้น ชิ้นหนึ่งให้ลูกหมาป่าสองตัวใช้ อีกชิ้นเป็นก้อนหินที่เหมือนกับชามกระเบื้อง วางบนไฟไว้ต้มซุปเนื้อได้

ส่วนเรื่องช้อนและตะเกียบ นางก็ใช้มีดเหลาจากท่อนไม้ที่แข็งพอตัว แม้ว่าใช้เวลาไปหลายวัน แต่ก็ได้ผลไม่เลว นางยังมีเวลาว่างพอจะแกะสลักด้ามช้อนน้ำแกงเป็นลายดอกไม้ ส่วนตะเกียบก็ทำจากไม้สองท่อนที่ปลายหนาข้างเรียวข้าง หัวตะเกียบหนาๆ ก็แกะสลักเป็นรูปกลมๆ เหมือนเห็ด เห็นชัดว่ามีฝีมืออย่างมาก

เพียงแต่เห็นชัดว่าใช้มีดแกะสลักไม่ได้ดังใจเหมือนกับการปักไหมลงบนผืนผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม ซูสุ่ยเลี่ยนใช้เวลาตลอดช่วงเช้า ฝึกทำจนเสียไม้ไปหลายชิ้น กว่าจะได้ผลงานแกะสลักไม้ที่งดงามอย่างที่สุดตรงหน้านางสองชิ้น คำกล่าวที่ว่ามองมากเข้าก็คุ้นตา ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง

ใช้ช้อนไม้บดเนื้อผลไม้รสเค็มจนละเอียด บดไปห้าลูก เนื้อผลไม้ได้มาเพียงแค่ติดก้นชามหิน ซูสุ่ยเลี่ยนคิดไว้แล้วว่าหากวิธีการกำจัดความฝาดนี้สำเร็จ ก็จะนำตะกร้าหวายออกไปเก็บมาเพิ่ม อืม ผลไม้รสเค็มบนต้นนั่นหากเก็บมาทั้งหมดก็น่าจะได้เกินร้อยลูกมั้ง อาจจะเพราะรสชาติไม่ค่อยดีนัก จึงไม่ถูกพวกนกและสัตว์อื่นๆ กินหมด

ซูสุ่ยเลี่ยนนำเนื้อผลไม้ในชามหินออกมาวางแผ่ตากบนหินย้อยก้อนที่ใหญ่ที่สุด ตากราวครึ่งชั่วยาม ก่อนจะนำน้ำผลไม้เปรี้ยวที่คั้นออกมาได้เมื่อหลายวันก่อนผสมลงไป รสเปรี้ยวขจัดรสฝาด ในบันทึกอี้อู้กล่าวว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพียงแต่ผลไม้ที่จะคั้นได้น้ำผลไม้สีแดงส้มในบันทึกว่าไว้นั้นหาไม่เจอ หาเจอแค่ผลไม้ไร้เปลือกรสเปรี้ยวจัดที่คล้ายกับลูกหม่อนพวกนี้

ใช้ตะเกียบจิ้มน้ำผลไม้พวกนั้นมาแตะปลายลิ้นเล็กน้อย สองตานางวาวขึ้นทันที ไม่มีรสฝาดขมอีกแล้ว มีแต่เปรี้ยวๆ เค็มๆ พอที่จะใช้เป็นเครื่องปรุงรสได้แล้ว อืม วันนี้จะได้ตุ๋นซุปเนื้อที่มีรสเปรี้ยวเค็มแทนรสจืดชืดนั่นเสียที

เห็นลูกหมาป่าสองตัวยังคงหลับอุตุอย่างมีความสุขอยู่ ก็ไม่คิดไปเรียกพวกมัน นำน้ำเต้าบรรจุน้ำสะอาด สะพายตะกร้าหวายที่ดูบ้านนามากๆ ตัดสินใจออกจากถ้ำไปเก็บผลไม้เปรี้ยวและผลไม้รสเค็มพวกนั้นมาเพิ่ม เลียบไปตามเส้นทางลำธารก็แอบมองไปยังสตอเบอรี่ป่าข้างทางสองสามต้นนั่นว่ากินได้หรือยัง

รู้สึกได้ถึงไออุ่นของผืนป่า น่าจะใกล้เดือนห้าแล้วกระมัง ดอกตูมตามพุ่มไม้ต้นไม้เริ่มเบ่งบานกันแล้ว สตอเบอรี่ป่าที่ก่อนหน้ายังมีสีเขียวไม่สุกก็เริ่มมีสีแดงบ้างแล้ว ลองนับวันดู อยู่ๆ ไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรก็อยู่ในป่านี้ได้หนึ่งเดือนแล้ว

ลำธารใสแจ๋วมีเสียงน้ำไหลรินตามลำดับชั้นสูงต่ำ ซูสุ่ยเลี่ยนเอาตะกร้าสานและน้ำเต้าวางไว้บนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ค่อนข้างมีที่ราบพอควรริมลำธาร ตนเองถลกขากางเกง ถอดรองเท้าปักลายดอกไม้ที่ตอนนี้แทบดูสีไม่ออกแล้วคู่นั้นออก สองเท้าเปลือยขาวผ่องค่อยๆ ก้าวลงในลำธาร

“อูย” นางอุทานขึ้นเบาๆ ตอนเช้าในเดือนห้านี่ น้ำในลำธารยังคงเย็นวาบถึงกระดูก แต่ทว่าหลังจากได้พลังเสริมจากของเหลวสีเขียวแวววาวนั่นแล้ว ร่างกายนี้ก็เริ่มดีขึ้นทุกวัน หลายวันมานี้ ซูสุ่ยเลี่ยนชินกับการมาแช่เท้าที่ลำธารนี้วันละครั้งแล้ว ไม่อาจอาบน้ำให้สะใจ แช่เท้าสักหน่อยก็ชดเชยความน่าเสียดายนี้ได้พอควร

ควักเอาหวีไม้จันทน์ในอกเสื้อออกมาหวีผมดำยาวสลวยประบ่า ก่อนจะมัดเป็นเปียสองข้างง่ายๆ

เมื่อก่อนตอนยังอยู่ตระกูลซู เกล้ามวยผมซับซ้อนหลายชั้นได้เพราะฝีมือพวกสาวใช้ นึกถึงตนเองในตอนนั้น ทุกวันนอกจากจุดกำยานปักผ้าแล้ว ก็ไม่ต้องลงแรงทำงานอะไรพวกนี้เลย

พอได้สติคืนมาก็ใช้มือรีดรอยยับเสื้อตัวกลางให้เรียบร้อย เสื้อตัวนอกหรูหรางดงามชุดนั้นตนเองซักสะอาดเก็บเข้าห่อผ้าไปแล้ว แม้ไม่ได้ชอบชุดตัวนอกที่ปักอย่างงดงามตัวนั้น แต่วันหน้าอากาศหนาว หากยังออกจากป่านี้ไม่ได้ ก็ต้องใช้มันมาช่วยในหน้าหนาว แม้ไม่รู้ว่าหน้าหนาวที่นี่จะหนาวเท่าไร อาศัยแต่เสื้อตัวนอกจะพอต้านลมหนาวได้หรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีกระมัง

ซูสุ่ยเลี่ยนตอนนี้ไม่ใช่หลานสาวคนโตตระกูลซูที่มือไม้ไม่เคยทำงานหนักแล้ว ทุกเรื่องต้องทำเองหมดไม่ว่า ยังต้องเปลืองแรงมานั่งคิดแผนชีวิตวันหน้าของตนเองอีก

คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยกยิ้มมุมปาก ความจริงชีวิตตอนนี้ก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะไปละเมิดกฎระเบียบตระกูลที่ตั้งไว้เยอะแยะมากมาย และวันๆ ก็ไม่ต้องเอาแต่รับฟังคำสั่งสอนว่าคุณหนูผู้ดีควรจะมีกิริยามารยาทเช่นไร หากคุณปู่กับคุณพ่อรู้ว่าตนเองตอนนี้สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เผยเท้าเปลือย จะมีอาการเช่นไรกันนะ

เหอๆ ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บอาการหัวเราะอย่างรู้สึกละอายอยู่บ้าง ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลยจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนป่ามาหนึ่งเดือนกว่า ทำให้ความคิดตนเองเริ่มป่าเถื่อนตามไม่น้อย คิดถึงพี่ชายใหญ่ของตนที่ภายนอกเข้มงวดและมารดาที่รักทะนุถนอมนางแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดเศร้าใจไม่ได้ คุณแม่ ลูกยังมีชีวิตที่นี่ และจะพยายามมีชีวิตต่อไป คุณแม่และพี่ใหญ่อย่าได้เสียใจจนเสียสุขภาพเด็ดขาด