ทว่า แม้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหลังจากเคาะประตูครั้งแรก จนกินมื้อเย็นและผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงแล้ว จนตอนนี้ที่ใกล้จะถึงเวลาเข้านอน ก็ยังไม่มีการตอบกลับใดๆ มาจากอเล็กเซย์

เธอลองไปตรงประตูที่เชื่อมกับห้องข้างๆ ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่อยากใช้เพราะมันเหมือนกับทางลัดสู่นรกก็เถอะ! แต่ห้องข้างๆ ก็ยังคงเงียบงัน

อะไรกัน ห้องข้างๆ ไม่ใช่ห้องของอโลเซียหรอกเหรอ

มาจนถึงตอนนี้ เธอก็เกิดคำถามขึ้นมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล

อาเซียยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างประตูเชื่อมห้องของตัวเองกับห้องของอเล็กเซย์แล้วทำปากยื่น

ในตอนนั้นเอง

แกร๊ก

“อะ อ๊ะ”

“มีอะไร… องค์หญิงอนาสตาเซีย?”

ประตูห้องที่เธอเฝ้ารอคอย ในที่สุดก็ถูกเปิดออก!

แต่ว่า…

อาเซียกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับเงยหน้ามองชายหนุ่มตัวสูง คนที่เปิดประตูห้องออกมาไม่ใช่อเล็กเซย์แต่เป็นชายแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก

“คุณคือ…”

“อ๊ะ กระหม่อมเป็นอัศวินองครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ชายอเล็กเซย์ ชื่อว่าคิริล ชูนินพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่องค์หญิงอนาสตาเซียทรงมีธุระอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เธอคิดว่าห้องข้างๆ ไม่ใช่ห้องของอเล็กเซย์แต่เป็นห้องของคนอื่นจริงๆ

อาเซียลูบๆ คลำๆ สโคนที่ถืออยู่ในมือด้วยความโล่งใจ

“ฉันอยากเจออโลเซียน่ะ ก็เลย…”

“อ๋อ… ตอนนี้องค์รัชทายาทอเล็กเซย์ทรงกำลังอ่านหนังสืออยู่พ่ะย่ะค่ะ หากมีอะไรจะฝากไว้ก็รับสั่งกับกระหม่อมได้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะนำขึ้นทูลให้”

อาเซียอ้าปากพะงาบ

อีกฝ่ายบอกว่าอ่านหนังสืออยู่เลยมาเจอไม่ได้ ถ้าคิดว่าคำพูดนั้นเป็นเรื่องโกหกได้ก็ดี แต่เธอกลับรู้สึกว่าคำพูดของอัศวินองครักษ์คนนี้เป็นความจริง

ถ้าหากกำลังอ่านหนังสืออยู่จริงๆ จะเรียกออกมาก็ยังไงๆ อยู่ แถมเป็นแบบนี้ยังรู้สึกเหมือนยิ่งดีกว่าเสียอีก

เพราะเธอยังลำบากใจกับการเผชิญหน้าเจ้าของใบหน้าที่มีรอยยิ้มเย็นยะเยือกนั้น

“ไม่ได้มีเรื่องอะไรจะคุยหรอก… อันนี้ ตั้งใจว่าจะเอามาแบ่งกันกินน่ะ”

อาเซียเอาสโคนที่ห่อไว้สองชิ้นออกมายื่นให้คิริล

“ถ้าอ่านหนังสืออยู่ก็จะไปรบกวนไม่ได้… งั้นอันหนึ่งให้ลุงกิน ส่วนอีกอัน เอาให้อโลเซียหน่อยนะ”

“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยในความเอื้อเฟื้อขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

คิริลพูดขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วปิดประตูลง อาเซียยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดลงแล้วใช้ปลายเท้าแตะๆ ที่พื้นปูพรมพร้อมทำหน้ามุ่ย จากนั้นจึงหันหลังกลับไป

อเล็กเซย์สวมเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางทับบนเสื้อเชิ้ต เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะหนังสือที่ตั้งอยู่ลึกในห้อง

คิริลเดินเข้ามาตรงหน้าเขาแล้ววางสโคนชิ้นเล็กในห่อลงหนึ่งชิ้น

“…”

“เมื่อครู่นี้ กระหม่อมได้ยินเสียงเหมือนมีใครอยู่ทางประตูฝั่งนู้น จึงไปดูแล้วพบว่าเป็นองค์หญิงอนาสตาเซียพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลว่าองค์ชายกำลังอ่านหนังสืออยู่ องค์หญิงจึงรับสั่งให้นำสิ่งนี้มาถวายพ่ะย่ะค่ะ”

“…อนาสตาเซียงั้นเหรอ”

อเล็กเซย์เงยหน้าขึ้นเพราะชื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเลยแม้แต่น้อย

อนาสตาเซีย

เส้นผมสีชมพูเหมือนลูกพีชกับดวงตาสีเขียวอ่อนเหมือนยอดอ่อนต้นไม้ เด็กหญิงตัวเล็กที่เขาได้ยินมาว่าอายุสิบขวบ แต่มองผ่านๆ ดูเหมือนเด็กประมาณเจ็ดขวบเสียมากกว่า

อเล็กเซย์ทำอะไรไม่ถูกไปเล็กน้อยกับของขวัญที่บอกว่าญาติผู้น้องให้มา

“…”

“…”

“…อันนี้…อันเดียว?”

อเล็กเซย์จับเชือกที่มัดไว้เพื่อหยิบขนมขึ้นมา

มันดูเหมือนบิสกิตชิ้นเล็กที่ดูจะเล็กกว่าฝ่ามือเขาครึ่งหนึ่ง

“องค์ชายจะ…จะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

“…”

ที่อเล็กเซย์ทำไม่อะไรไม่ถูกนั้นมีสาเหตุ ปกติแล้ว การมอบของขวัญให้อเล็กเซย์ผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทเป็นสิ่งของที่ดูซอมซ่อและไม่เอาใจใส่แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการดูแคลนตัวเขา อีกทั้งจนถึงตอนนี้ อเล็กเซย์ก็ยังไม่เคยได้รับการดูแคลนจากใครเลยสักครั้งเดียว

สิ่งที่นำมาให้อเล็กเซย์เป็น ‘ของขวัญ’ ล้วนเป็นสิ่งของหายากและราคาแพง พร้อมทั้งอยู่ในหีบห่อเลิศหรู

หากมอบสิ่งที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นให้ ก็คิดได้แค่ว่าคงไปปลุกโทสะของพระจักรพรรดิองค์ต่อไปอย่างไร้ประโยชน์

และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ก็คือ

สโคนสองชิ้น

ที่ถูกห่อด้วยกระดาษยับยู่ยี่นิดหน่อยและผูกไว้ด้วยเชือกป่านเนื้อหยาบ

“…ทีนี้…ทีนี้ก็กินสิ”

คิริลมีท่าทีตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของอเล็กเซย์ที่บอกว่าจะกิน แต่ก็ก้มหัวอย่างอ่อนน้อม

จากนั้นก็เรียกมหาดเล็ก สั่งให้ไปเอาน้ำชามา แล้วเอาเข็มสีเงินที่สามารถตรวจสอบสารพิษได้ออกมาจากในตู้ลิ้นชัก

พิษไม่ส่งผลกระทบต่อองค์จักรพรรดิและองค์ชายรัชทายาทที่ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพวกคนที่ลองท้าทายอย่างไร้สมอง การกำจัดพวกผู้มีอำนาจผู้โง่เขลาพวกนั้นก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ขององครักษ์

ในระหว่างที่คิริลจัดเตรียมโต๊ะน้ำชา อเล็กเซย์ก็เท้าคางข้างหนึ่งพร้อมทอดสายตามองสโคน

เข็มสีเงินผลุบเข้าไปในเนื้อสโคนแล้วถูกดึงออกมาโดยไม่เปลี่ยนสี

…ไม่เข้าใจเด็กคนนั้นเลยสักนิด

อเล็กเซย์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะพร้อมกับคิดไปด้วย

หลังพิธีเรียกดวงวิญญาณที่ตนเองทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์ เจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี พิธีเรียกดวงวิญญาณก็ถูกจัดขึ้นอีกหลายครั้งเพื่อเหล่าลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่ไม่ว่าเป็นพิธีเรียกดวงวิญญาณครั้งไหน อเล็กเซย์ก็มักจะถูกปฏิเสธความปรารถนาของตน

ความปรารถนาที่ว่า จากนี้ไปอาจได้พบกับครอบครัวใหม่ที่จะได้อยู่ด้วยกันในพระราชวัง

ซึ่งนั่นหมายความว่า เขามีลูกพี่ลูกน้องเยอะแยะมากมาย แต่ส่วนใหญ่มักจะจ้องมองเขาด้วยสายตาคล้ายคลึงกัน

ความหวาดกลัว ความริษยา ความอิจฉา ความเหม็นขี้หน้า ความประจบประแจง ความชิงชัง…

บางทีอเล็กเซย์ก็นึกอยากถามพวกเขาเหมือนกัน

อิจฉาอะไรถึงขนาดนั้น พวกนายยังมีพ่อแม่อยู่ด้วยแท้ๆ ยังได้ใช้ชีวิตด้วยกันกับครอบครัวแท้ๆ

แล้วทำไมถึงเกลียดฉันขนาดนั้นกัน สิ่งที่ฉันมี ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่แย่งชิงมาจากส่วนของพวกนาย

ทำไมถึงต้องจ้องมองฉันเหมือนกับมองพระเจ้าแบบนั้น

ฉันก็เหมือนกันกับพวกนาย…

ทว่าเขาไม่มีโอกาสได้พูด และความปรารถนาของอเล็กเซย์ก็พังทลายลงอย่างต่อเนื่องหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

เพราะอย่างนั้น ก่อนจะมีพิธีเรียกดวงวิญญาณครั้งนี้ อเล็กเซย์จึงละทิ้งความคาดหวังและความคิดที่เคยมีในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่พอมาถึงตอนนี้ ตอนที่เขาไม่คาดหวังอะไรอีกต่อไปแล้ว กลับมีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

ใครคนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มลูกพี่ลูกน้องของเขา ใครคนหนึ่งที่แตกต่างกับพวกคนที่เขาเคยเจอมาจนถึงตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

เด็กน้อยตัวเล็กอนาสตาเซียคงกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว เธอจึงมักจะมีสีหน้าหลากหลายทุกครั้งที่มองเขา

ตอนแรกเธอเห็นเขาแล้วก็ตกใจจนตาโต จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอะไรอย่างไร เหมือนลูกแมวเวลามีแอ่งน้ำเจิ่งนองมาขวางทาง ล่าสุดก็ชอบทำสีหน้าเหมือนแบกรับความกังวลทุกอย่างบนโลกนี้เอาไว้

“ได้ยินว่าวันนี้มาหาถึงสี่ครั้งเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

“…อนาสตาเซียน่ะเหรอ หาฉัน?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทำไมล่ะ

อเล็กเซย์ย้อนถามในใจ แต่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะคำตอบนั้นวางอยู่บนจาน

เป็นเพราะตั้งใจจะเอาสโคนอันนี้มาให้ก็เลยมาหาที่ห้องว่างๆ ตั้งหลายหน

จริงๆ เลย… ไม่เข้าใจเอาซะเลยนะ

เขารู้ว่าเด็กน้อยอนาสตาเซียไม่ได้ตั้งใจจะประจบสอพลอหรือเอาใจเขา

เขาไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะอนาสตาเซียเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่สิบขวบ แต่เป็นเพราะเขาเห็นพวก ‘คนแบบนั้น’ มาตลอดชีวิตจึงสามารถแยกแยะคนที่ใช่กับคนที่ไม่ใช่ได้

แล้วก็ ต่อให้บอกว่าเป็นการประจบ แต่ด้วยของแค่นี้เนี่ยนะ

สิ่งที่เด็กหญิงมอบให้เขาก็เช่นกัน แม้อยู่ในสมัยโอโตรปซึ่งเป็นราชอาณาจักรเมื่อหนึ่งพันปีก่อนก็น่าจะไม่มีคนที่คิดว่าจะเอาใจองค์รัชทายาทด้วยสโคนที่ดูเหมือนทำอย่างไม่เอาใจใส่ชิ้นเดียว

“…บอกหรือเปล่าว่าขนมอันนี้หามาจากไหน”

“เรื่องนั้นกระหม่อมไม่ได้ถาม… กระหม่อนจะไปสืบมาให้พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก”

อเล็กเซย์่ส่ายหน้าแล้วตัดสโคนเข้าปาก

“…!”

ในตอนที่เคี้ยวแล้วกลืนลงไปหนึ่งคำ รสหอมมันของชีส ความเต็มปากเต็มคำของเนย และความมันอันเป็นเอกลักษณ์ของเบคอน ก็ยึดครองพื้นที่ปลายลิ้นของเขาไป

หากให้ลองทายส่วนผสมที่ใส่เข้าไปก็รู้สึกว่ามีของมันๆ อัดแน่นอยู่เต็มในนั้น แต่เมื่อกินสโคนหมดหนึ่งชิ้น ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังรู้สึกอิ่มท้องขึ้นด้วย

อเล็กเซย์ปรือตาปิดลงอย่างเชื่องช้า รู้สึกได้ว่ามือและเท้าที่เคยเย็นลงเล็กน้อยเพราะความอ่อนล้าจากการฝึกฝนและการเรียนหนังสือ กลับมาอบอุ่นขึ้น

ของขวัญมูลค่าต่ำของญาติผู้น้องที่เหมือนกับลูกแมวตัวเล็กๆ ไม่ได้เป็น ‘ของแค่นี้’ อเล็กเซย์ค่อยๆ ตระหนักขึ้นมาได้

***

ดูเหมือนจะได้ผลอยู่ใช่ไหม

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เธอเอาสโคนไปให้อเล็กเซย์กินทุกเย็น อาเซียกุมสโคนของวันนี้เอาไว้ในอุ้งมือแล้วยืนอยู่หน้าประตูห้องของอเล็กเซย์พร้อมยิ้มอย่างพึงพอใจในใจ

<หมายถึงอะไรได้ผล>

อโลเซียดูลดกำแพงลงหน่อยแล้วไม่ใช่เหรอ อืม… ถึงจะยังไงๆ หน่อยถ้าบอกว่าชอบแล้วก็เถอะ แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่ชอบฉันน้อยลงแล้วมั้ง

ตอนเอาขนมของเธอให้ดิมิทรีซึ่งอาละวาดบอกว่าไม่ชอบเธอแทบตาย ก็ยังได้ผลเลยนี่นา

แม้เธอจะไม่ได้ต้องการให้ถึงขั้นนั้นก็เถอะ

จุดเริ่มต้นของมิตรภาพเริ่มจากการสนทนา ถ้ามีความสัมพันธ์แบบคุยกันได้ก็ถือว่าโชคดีไป

จริงๆ แล้ว ต่อให้บอกว่าอเล็กเซย์ทิ้งสโคนของเธอไปทันที อาเซียก็คิดว่าไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

ขนมที่ลูกพี่ลูกน้องผู้มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์เสนอให้อย่างกะทันหัน…

ใครเห็นเข้าก็คงจะสงสัยอยู่บ้างแหละ! ใช่แล้ว! เพราะฉะนั้นต่อให้บอกว่าอโลเซียไม่กินแล้วทิ้งไป ฉันก็เข้าใจได้!

อาเซียตั้งมั่นไว้ในใจว่า ‘ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ตอนนั้นก็ต้องคิดหาวิธีอื่น’

ทว่า ตอนเจออเล็กเซย์ในวันต่อมา กำแพงน้ำแข็งที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่กลับมีสีอ่อนลงไปอีกเฉด

กินไปแล้วแน่ๆ!

เพียงแค่นั้น อาเซียก็รู้สึกเหมือนเธอสามารถเป่าทรัมเป็ต จุดดอกไม้ไฟ พร้อมกับเป่าแตรปาร์ตี้โดยที่ขี่จักรยานล้อเดียวและเล่นกลด้วยลูกบอลสามลูกได้

ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น อาเซียก็ทำสโคนด้วยความเริงร่าทุกวันแล้วถือไปให้คิริล

ดีล่ะ แสดงให้เห็นว่าฉันสนใจแค่การทำขนมเท่านั้น แล้วก็ทำให้เขาคลายความสงสัย พอแฟนสาวหรือคู่หมั้นของอโลเซียโผล่มาทีหลังก็ช่วยสนับสนุนคนๆ นั้น แค่นั้นก็คงพอใช่ไหม

จริงๆ แล้ว สิ่งที่อาเซียทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงเรื่องแบบนี้เท่านั้นเอง

<อืม แต่หลานชายคนโตของเจ้าของที่ก็ไม่ได้…>

หืม

จากที่ตั้งใจจะเคาะประตูห้องของอเล็กเซย์ คำพูดลับๆ ล่อๆ อะไรบางอย่างของพีบีก็ทำให้อาเซียเอียงหัว แต่แล้วประตูก็ถูกเปิดออกมาก่อน ทั้งที่เธอยังไม่ทันได้ขยับมือ

“เอ๊ะ?”

“อนาสตาเซีย”

“อะ…อโลเซีย”

อาเซียตกใจจนอ้าปากค้างแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย คนที่เปิดประตูออกมาคืออเล็กเซย์ผู้ซึ่งกำลังยกริมฝีปากยิ้มอย่างนุ่มนวล

“กำลังจาเคาะประตูอยู่เลย”

เธอคิดว่าวิธีการพูดแบบเด็กน้อยของตัวเองสมบูรณ์แบบแล้วเมื่อได้ใช้ชีวิตในร่างเด็กมาสิบปี แต่พอยืนอยู่ตรงหน้าอเล็กเซย์ คงเพราะความเกร็ง เธอจึงรู้สึกราวกับตัวเองพูดเหมือนเด็กน้อยมากขึ้นอีกระดับ

“ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเธอมา ก็เลยเปิดประตูออกมาดู”

อาเซียรู้สึกประหม่าอย่างประหลาดจึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่

เธอส่งขนมผ่านคิริลในช่วงบ่ายแก่ๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่อเล็กเซย์เปิดประตูออกมาด้วยตัวเอง