“อ่า คือว่า อันนี้…ตั้งใจจะเอาอันนี้ให้อโลเซีย”

อาเซียเอาสโคนที่ถือมาวางไว้บนมือแล้วยื่นไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เอามาให้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้ว พอจะพูดคุยกันจึงรู้สึกเคอะเขินขึ้นมานิดหน่อยแบบที่ไม่เคยเป็น

“…อโลเซีย?”

แต่อเล็กเซย์เพียงแค่ก้มลงมองมันนิ่งๆ เท่านั้น อาเซียเอียงหัวแล้วกัดริมฝีปากเพราะความคิดที่โผล่ขึ้นมาแวบหนึ่ง

อ่า… ห่อที่ให้มาจนถึงตอนนี้มันดูไม่ค่อยจะได้มาตรฐานมากเกินไปหรือเปล่านะ

สโคนหนึ่งชิ้นซึ่งถูกห่อไว้ด้วยกระดาษที่ยับย่นเล็กน้อยและมัดไว้ด้วยเชือกป่าน

เมื่อมองดูเสื้อเชิ้ตสีขาวของอเล็กเซย์แล้วก็ยิ่งคิดแบบนั้นหนักหน่วงขึ้น

ปลายแขนเสื้อที่ติดกระดุมทองคำเม็ดเล็กประมาณสิบเม็ดตรงข้อมือสองข้าง เสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวที่ตกแต่งด้วยการตีเกล็ดบนเสื้อส่วนหน้าอย่างประณีต ดูสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ

ไม่สิ ถึงห่อขนมจะดูเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันว่ามันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว…

ถ้าให้เอาคำพูดของชาติที่แล้วมาจำกัดความ เธอก็คิดว่ามันเป็นห่อสไตล์วินเทจสุดโก้เก๋

วินเทจ…

ถ้าบอกว่าเป็นวินเทจ มันก็เป็นแค่สไตล์แบบทุกวันนี้ของที่นี่เองสิ

พูดอีกอย่างก็คือ เป็นสไตล์ทำกินกันเองอย่างสบายๆ ที่บ้านธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นของขวัญ

อาเชียรู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองทำพลาด เธอจึงคิดว่าคงต้องยกเลิกคำพูดเมื่อครู่นี้แล้วกลับไปห่อมาใหม่

ทว่าในตอนที่กำลังจะหดมือหนี อเล็กเซย์ก็ทาบมือของตัวเองลงบนมือของอาเซีย

“แต่ว่านะ อนาสตาเซีย”

ว้ากกก!

อาเซียถูกอเล็กเซย์จับมือไว้อย่างกะทันหัน ใจเธอกระดอนขึ้นไปถึงเพดานแล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกจะสะดุ้งนิดเดียวและตัวสั่นหน่อยๆ เท่านั้นก็เถอะ

“คะ คะ?”

“เธอฝากให้คิริลเอามาให้ทุกครั้งเลยนี่ ทั้งที่ได้มาอยู่ห้องข้างกันแล้วแท้ๆ”

“คะ? เดี๋ยวสิ นั่นน่ะเป็นเพราะอโลเซียยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยต่างหาก ตั้งใจว่าจะไม่รบกวน…”

“อนาสตาเซียไม่ชอบฉันงั้นเหรอ”

อาเซียฟังคำที่อเล็กเซย์โพล่งขึ้นมาแล้วทำได้แค่งงเป็นไก่ตาแตก

ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีบทสนทนาระหว่างทั้งสองคน ทั้งคู่เคยคุยกัน เพราะอย่างนั้น อาเซียจึงมั่นใจว่าอเล็กเซย์จะใจอ่อนลงนิดหน่อยหลังจากได้กินขนม

แต่ตอนนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงพูดแบบนั้น…

ชั่วขณะนั้น เธอก็ได้สติขึ้นมา

ตะ…ตั้งใจจะทำให้ฉันดูเป็นเด็กไม่ดีที่นี่เหรอ! ไม่ได้เด็ดขาด!

“เปล่านะ ไม่ใช่ค่ะ! คือว่าไม่ได้จะแก้ตัวว่าอะไรนะคะ! ไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ! ฉันแค่อยากให้อเล็กเซย์มีแรงเพราะเห็นอ่านหนังสือหนักมากๆ กลัวว่าจะไปรบกวนแบบเปล่าประโยชน์ด้วย”

“จะรบกวนได้ยังไงกัน”

ถึงแม้อเล็กเซย์จะตอบพร้อมกับยิ้มแพรวพรายแต่อาเซียก็ตอบเขากลับไปไม่ได้ อเล็กเซย์รับรู้ถึงความไม่ไว้วางใจของเธอในทันที

“ถั่วลันเตาน้อยของฉันขี้สงสัยจังนะ”

“ฉันไม่ใช่ถั่วลันเตานะคะ ไม่ได้สงสัยด้วย!”

ถั่วลันเตาเป็นชื่อเล่นที่อเล็กเซย์ตั้งให้เธอเมื่อไม่กี่วันมานี้ และเขาไม่สนใจคำโต้เถียงของเธอเลย

“แต่ว่าฉันพูดจริงนะ วันแรกฉันไม่รู้ว่าเป็นเธอเลยไม่ได้ตอบเท่านั้นเอง แบ่งเวลามาให้เธอไม่ได้เป็นการรบกวนสักหน่อย”

“ไม่สิ ฉันไม่ได้อยากเล่นกับอเล็กเซย์นะ แต่…”

อาเซียพูดแล้วก็หยุดพูด จากนั้นก็กัดลิ้นตัวเองทันที

ไม่ได้กะจะพูดแบบนี้สักหน่อยนี่!

ความผิดหวังอันน่าหวาดหวั่นฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของอเล็กเซย์ อาเซียคิดซ้ำๆ ว่าระหว่างใช้ชีวิตมา เธอเคยพูดส่ิงที่คิดออกมาเร็วเท่านี้หรือเปล่า

“ก็นั่นแหละ! คือว่า สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่การขอให้อเล็กเซย์มาเล่นกับฉัน แค่อยากให้อเล็กเซย์… กินขนมอร่อยๆ… แล้วก็มีแรง… แล้วก็ยิ้มให้ฉันสักนิดเฉยๆ…”

อเล็กเซย์จะคิดยังไงกับคำแก้ตัวแบบนี้กันนะ

อเล็กเซย์หลบตาไปตั้งแต่ตอนที่อาเซียกำลังพูดอยู่

“…เรื่องยิ้ม เวลามองเธอ ฉันก็ยิ้มตลอดไม่ใช่เหรอ”

เสียงของอเล็กเซย์ฟังดูสั่นเครือนิดๆ เขาไม่ได้พูดผิด เพราะเขาไม่เคยไม่ยิ้มเลย

“เปล่าาา ไม่ใช่แบบนั้นแต่ยิ้มจากใจจริง…”

อาเซียคิดขึ้นมาว่าถ้าตัวเองไม่มีปากคงจะดีกว่า พร้อมกับรีบหุบปากเงียบอย่างฉับไว

ความเงียบในแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ วนเวียนอยู่ท่ามกลางทั้งสองคน

“อ่า…อืม… ก็นั่นแหละ กินอันนี้… แล้วก็อ่านหนังสือสู้ๆ นะ! ฮ้าววว ฉันง่วง คงต้องไปนอนแล้วล่ะค่ะ…”

ขนาดตัวเองฟังยังรู้สึกว่าเสียงแกล้งหาวนั้นมันไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย แต่เธอก็ไม่สามารถทนยืนอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป

อาเซียดึงมือของตัวเองออกจากมือของอเล็กเซย์ทั้งอย่างนั้นแล้ววิ่งตึงตังกลับมาที่ห้องราวกับหนี สโคนก็ไม่ได้เก็บกลับมาด้วย

โอ๊ย! มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

อาเซียทิ้งตัวลงเตียงนอนด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกระดากอาย แล้วลายนกในผ้าม่านก็พองตัวขึ้นมา

<ข้านึกว่าปกติแล้วมนุษย์สนทนากันแบบพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะฟังเสียอีก>

ฉันก็ทำแบบนั้น…ไม่ใช่เหรอ

<ไม่เลย>

จริงเหรอ ถ้างั้นคิดว่าอโลเซียจะฆ่าฉันหรือเปล่า

<ทำไมพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นอยู่เรื่อย>

ฉันก็อยากให้เรื่องทุกอย่างนี้เป็นเรื่องไร้สาระเหมือนกันนั่นแหละ!

อาเซียอยากแผดเสียงตะโกนใส่พีบีที่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะทำแบบนี้ไม่ได้ก็เถอะ

***

อาเซียมองลงไปยังชั้นล่างจากริมหน้าต่างห้องแสดงภาพวาดชั้นสอง

อเล็กเซย์กำลังยิงธนูดอกแล้วดอกเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ภายใต้ดวงอาทิตย์ยามเช้าในฤดูหนาวที่ยังไม่สาดแสงจัดมากนัก

ทั้งสองคนอยู่ในช่วงแกล้งทำเป็นเหมือนบทสนทนาอันน่ากระอักกระอ่วนใจเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่เคยเกิดขึ้น เอาจริงๆ ต้องบอกว่าไม่มีเวลาจะพูดคุยเรื่องนั้นกันอย่างจริงจังน่าจะถูกกว่า

อเล็กเซย์ฝึกซ้อมอาวุธอย่างเช่นดาบหรือธนูในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายก็ศึกษาวิชาการต่างๆ จากเหล่าอาจารย์

ตอนเย็นจะทบทวนสิ่งที่เรียนไปในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนจะทำสมาธิเพื่อฝึกจิต จากนั้นก็นอนหลับสนิทเป็นเวลาห้าชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นก็วนมาตอนเช้าอีกครั้ง…

กิจวัตรประจำวันอันแสนจัดเต็มนี้ คือวันอันแสนปกติของอเล็กเซย์

และเวลายิงธนูแบบตอนนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดียวที่อเล็กเซย์สามารถลบรอยยิ้มที่ไม่จริงใจไปได้

“องค์หญิงอนาสตาเซีย?”

เสียงที่ได้ยินจากข้างหลังทำให้อาเซียหมุนตัวไป จากที่เคยก้มลงมองท่าทางของอเล็กเซย์อยู่

เป็นคิริลที่อยู่ในชุดเรียบง่ายกว่าตอนกลางคืนประมาณหนึ่ง แม้ตรงขอบกางเกงจะเหน็บดาบไว้

“อ๊ะ คิริล? ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ อโลเซียอยู่ตรงนู้นนะ…”

“กระหม่อมทำหน้าที่คุ้มกันองค์ชายรัชทายาทเพียงตอนกลางคืนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะช่วงกลางวันไม่จำเป็นจะต้องทำการคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่จำเป็นเหรอ”

“ฟาฟเนียร์ขององค์ชายรัชทายาทครอบครองพลังแห่งดวงอาทิตย์และเปลวเพลิง ในเวลากลางวันจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นาน หากทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนกลางคืนก็น่าจะไม่มีใครสามารถเข้าประชิดตัวได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้อันนั้นด้วยไม่ใช่เหรอ ตอนกลางวันแข็งแกร่งพอแล้ว ตอนกลางคืนก็มีคิริลคอยป้องกันอยู่”

“อันนั้น…”

ตลอดเวลาที่เฝ้ามอง ลูกธนูของอเล็กเซย์ปักลงตรงกลางเป้าพอดิบพอดีทุกครั้ง

มีฝีมือมากถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องยิงธนูทุกวันให้ปลายนิ้วทั้งด้านทั้งแห้งแตกเลย

“เดิมที พลังของเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี ฟาฟเนียร์ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เพราะอย่างนั้นจึงต้องฝึกฝนร่างกายและจิตใจเพื่อควบคุมพลังพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ฟาฟเนียร์ในตอนนี้น่าจะเคยสูญเสียผู้ทำพันธสัญญาไปครั้งหนึ่งแล้วจึงไม่มั่นคง…”

คิริลพูดถึงตรงนั้นแล้วรีบปิดปากเงียบ ดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดเรื่องที่ไม่ควรออกมา

อาเซียยักไหล่หนึ่งครั้งราวกับจะสื่อว่าไม่เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าหมายถึงอะไร เพื่อคิริลที่มีท่าทีแบบนั้น แล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าชุดเดรสเพื่อเอาอะไรบางอย่างออกมา

มันคือก้อนเล็กๆ ที่ขนาดเต็มมือเด็กแบบอาเซีย แต่น่าจะใหญ่แค่ครึ่งมือของคาริล และถูกห่อด้วยกระดาษพร้อมมัดด้วยเชือกป่าน

“สโคนใส่ผลไม้แห้งกับอัลมอนด์น่ะ คิดว่าตอนนี้น่าจะกำลังหิวพอดี ลุงก็กินชิ้นหนึ่งสิ อีกชิ้นเอาให้อโลเซียหน่อยนะ”

“…ทรงไปเอาขนมมาจากไหนทุกวันหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“หือ ฉันทำเอง”

อาเซียตอบพร้อมกระโดดลงมาจากแท่นเหยียบ คิริลมีสีหน้างุนงง

“องค์หญิงทรงทำเอง…?”

“ฉันชอบทำขนม”

อาเซียพูดพร้อมกับทำตาเป็นประกาย

“บ้านของฉันยากจน… ก็เลยเพิ่งเคยเห็นเนยกับครีมเยอะๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นมากจนทำอันนู้นอันนี้ออกมาเยอะแยะเลย”

“…”

“ถึงฉันจะชอบพ่อกับแม่มากกว่าการอบขนมก็เถอะ ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาตก็กลับบ้านไปไม่ได้หรอก”

“…”

“เพราะอย่างนั้น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยคิดว่าถ้าได้แบ่งกันกินกับอโลเซียก็คงจะดีน่ะ”

การอบขนมให้กินก็ได้ผลอยู่พอสมควร เพราะอย่างไรก็สนิทกันมากขึ้นกว่าตอนแรก

ทว่าท่าทีของอเล็กเซย์ดูมีบางมุมที่ขุ่นเคืองขึ้นมาแบบแปลกๆ ถึงไม่รู้ว่าจะต้องชอบท่าทีนั้นไหม เพราะอีกคนซื่อตรงกับความรู้สึกมากขึ้นก็เถอะ

คิริลฟังอาเซียพูดนิ่งๆ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วสบตากับเธอ

“องค์หญิงอนาสตาเซีย…ทรงชื่นชอบองค์ชายรัชทายาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”

แววตาของคิริลดูจริงจัง อาเซียส่งเสียงในลำคอพร้อมกับเอียงหัว

การที่เด็กหญิงวัยสิบขวบเฝ้ามองญาติของตัวเองแล้วทำขนมให้เป็นประจำ ถ้าบอกว่าไม่ชอบก็คงยาก

“…อืมมม แต่ฉันไม่แน่ใจว่าอโลเซียชอบฉันหรือเปล่า…”

“กระหม่อมต้องการทราบความรู้สึกขององค์หญิงอนาสเซีย ไม่ใช่ความรู้สึกขององค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

อาเซียประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันแล้วพูดงึมงำ

“พ่อกับแม่บอกว่ามาที่นี่ไม่ได้ คนที่เรียกได้ว่าครอบครัวที่นี่ก็มีปู่… ฝ่าบาทกับอโลเซีย แล้วก็ไม่เห็นแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทด้วย”

“…”

“เพราะฉะนั้นครอบครัวก็คงมีแค่อโลเซียคนเดียวแหละ ไม่ได้ไม่ชอบหรอก”

“เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่มีแค่ฉันที่รู้สึกแบบนั้นนี่นา จะทำอะไรได้”

อาเซียทำปากยื่น คิริลโบกมือด้วยใบหน้าราวกับตกใจนิดหน่อย

“ไม่ใช่แบบนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรัชทายาทเอง ก็มีครอบครัวที่ยังอยู่ด้วยกันเป็นองค์หญิงอนาสตาเซียเพียงพระองค์เดียวพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เวลาเห็นองค์หญิงก็ยิ้มตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“พูดแบบนั้นกับคนอื่นแล้วเขาจะเชื่อกันหมดหรือไงเล่า อโลเซียพูดแบบนั้นหรือเปล่า”

“…”

“…”

คิริลกระแอมอยู่ครู่หนึ่ง

“ถะ…ถึงอย่างนั้น ในพระราชวังตอนนี้ คนที่องค์รัชทายาททรงทอดมองด้วยรอยยิ้มก็มีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเห็นนกคาบดอกไม้มาก็คงจะแปลกใจแล้วยิ้มออกมาเหมือนกันแหละน่า… เพราะฉันเอาสโคนให้ทุกวันไง”

ชั่วขณะหนึ่ง คิริลหันหน้าไปแล้วส่งเสียงดัง ‘ฮุบ’ ออกมา มีร่องรอยของการหัวเราะปรากฏอยู่บนใบหน้าของคิริลที่กลั้นเสียงพ่นลมหายใจอย่างยากเย็น

อาเซียทอดสายตามองสีหน้าแบบนั้นของคิริลแล้วล้วงหาของในกระเป๋าชุดเดรส จากนั้นก็เอาสโคนที่ห่อไว้ออกมาอีกหนึ่งชิ้น

“คิริลกินสองชิ้นเลย ส่วนอโลเซียต้องให้แค่อันเดียวนะ”

“เป็นเกียรติ… เป็นเกียรติอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

อาเซียประหม่าขึ้นมาโดยไม่จำเป็นนิดหน่อยจึงหมุนตัวเดินออกไปก่อนโดยอ้างว่ากำลังยุ่ง เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของคิริลจากด้านหลัง