***

วันเวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ที่อาเซียเฝ้าดูอเล็กเซย์ฝึกซ้อมธนูกับดาบ

มหาดเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอตรงริมหน้าต่าง เพื่อบอกต่อคำพูดของอเล็กเซย์ที่บอกให้ลงมาดูข้างล่างก็ได้

อาเซียลงไปที่ลานด้านล่างแล้วนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ด้านข้างอเล็กเซย์ เมื่อเธอมองดูอเล็กเซย์ยิงธนูอยู่เฉยๆ อเล็กเซย์ซึ่งยิงธนูไปประมาณสี่ดอกก็หันมามองเธอ

อาเซียไล่ตามอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ ทั้งยังเอาขนมให้กินในช่วงไม่กี่วันมานี้ ใบหน้าของอเล็กเซย์ที่เคยดูเหมือนจะซีดเซียวอยู่นิดๆ ตลอดเวลาก็ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง

“เธอก็ลองยิงดูไหม”

“อืม… ค่ะ!”

อาเซียลังเลนิดหน่อยแล้วจึงพยักหน้า

แต่อาเซียยิงธนูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายการทดลองยิงธนูก็ล่มไม่เป็นท่า

“คงเพราะเธอยังตัวเล็กมาก”

“เดี๋ยวฉันก็โตค่ะ!”

“ตอนนี้เธอตัวเท่าถั่วลันเตา พรุ่งนี้เธอน่าจะตัวเท่าถั่วแขกหรือเปล่า”

“อโลเซีย!”

ถึงแม้อาเซียจะตะโกนเรียกชื่อเขา แต่อเล็กเซย์ยิ้มนิดๆ จากนั้นจึงยิงธนูเพิ่มอีกสองสามดอกราวกับล้อเลียนเธอ

…ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้

อาเซียอดทนไม่ถอนหายใจออกมา

ความสัมพันธ์ของเธอกับอเล็กเซย์ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักนิดเดียวว่าอเล็กเซย์มีนิสัยขี้เล่นขนาดนี้

ในขณะที่อาเซียวุ่นวายใจอยู่คนเดียว อเล็กเซย์ก็หันมามองเธอ สีหน้าของเขาแปลกไปนิดหน่อย

“วังหลวงน่ะอบอุ่นตลอดทั้งปี เพราะฉันทำพันธสัญญากับมังกรไฟฟาฟเนียร์”

“อะ… ค่ะ!”

อาเซียรู้สึกประหลาดใจกับหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้า มันเป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้ว ในพระราชวังมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่ององค์รัชทายาทอเล็กเซย์กันอย่างแพร่หลาย จนเธอซึ่งน่าจะเด็กที่สุดในนี้ก็ยังได้ยิน

ทว่า ยิ่งไปกว่าข่าวลือและการพูดคุยถึงเรื่องแบบนั้น…

เมื่อเผชิญหน้ากับอเล็กเซย์ เงาของประกายไฟที่เห็นรอบกายเขาเป็นครั้งคราว คือสิ่งที่ทำให้เธอคิดทบทวนถึงข้อเท็จจริงนั้นมากกว่า

“เพราะฉะนั้น ยิ่งเธอเข้าใกล้ฉันมากเท่าไหร่ ความร้อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น… แต่ต่อให้เธออยู่ใกล้ๆ ก็ดูจะไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นสินะ”

คำพูดนั้นทำให้อาเซียรู้สึกเหมือนกับว่าเก้าอี้ที่เคยอยู่นิ่งๆ มันสะเทือนขึ้นมาอย่างไร้ประโยชน์

<แหงสิ! เด็กไม่รู้ความอย่างฟาฟเนียร์จะหาญกล้ามาประชิดตัวข้าได้ยังไง!>

เธออยู่เงียบๆ เถอะขอร้อง!

อาเซียกลืนน้ำลายอึกใหญ่

การที่เธอไม่ได้รับผลกระทบจากพลังของฟาฟเนียร์ พูดได้อย่างเดียวว่าเป็นเพราะดวงวิญญาณของเธอครอบครองพลังที่แข็งแกร่งกว่า

และราชอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรไร้สติปัญญา ที่แต่งตั้งผู้สืบราชสันตติวงศ์ด้วยพลังของดวงวิญญาณเพียงอย่างเดียว

อาเซียคิดจนหัวหมุนติ้วๆ แล้วเค้นคำตอบออกมาได้อย่างลำบากยากเย็น

“ปกติ! ปกติแล้วไม่ได้โจมตีคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันนี่คะ”

“…อะไรนะ”

ลูกธนูของอเล็กเซย์ลอยหวิวพลาดเป้าไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่เฉียดแม้แต่ขอบเป้า

มหาดเล็กผู้รับหน้าที่ดูแลเป้ายิง มองดูจากที่ไกลๆ ด้วยความตกใจแล้วจึงวิ่งไปเก็บลูกศร เขาวิ่งห่างออกไปจนเห็นเป็นเหมือนจุดเล็กๆ

“อโลเซียไม่เคยอ่านนิยายสินะ เพราะมัวแต่อ่านหนังสือเรียนอย่างเดียว”

“…”

“ไม่ว่าพ่อมดจะใช้พลังเวทยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม คนที่โดนเล่นงานก็เป็นฝ่ายศัตรูเสมอเลยไม่ใช่เหรอคะ เดิมทีเวทมนตร์ไม่โจมตีคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันหรอกนะคะ”

“…”

อเล็กเซย์ปิดปากสนิท

อาเซียตอบกลับไปอย่างกล้าหาญแล้วจึงสังเกตท่าทีของอเล็กเซย์อย่างระมัดระวัง สุดท้ายเธอก็ต้องดีดตัวลุกพรวดขึ้นเพราะตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

แม้เบาบางราวกับถูกสะกดกลั้นไว้ แต่สีที่คล้ายคลึงกับดอกซากุระก็กำลังส่องสว่างออกมารอบตัวของอเล็กเซย์ สีหน้าของอาเซียสดใสขึ้น

“ยิ้มแล้ว! เมื่อกี้อโลเซียยิ้มใช่ไหม!”

“ก็ยิ้ม…อยู่ตลอดนี่”

“บอกแล้วว่าไม่ใช่ไงคะ ไม่ใช่แบบนั้นแต่เป็นรอยยิ้มจริงๆ! เป็นครั้งแรกเลยนะที่ยิ้มให้ฉัน!”

“…ไม่ใช่สักหน่อย”

“ไม่ใช่อะไรกัน เมื่อกี้ยิ้มจริงๆ นี่คะ ปากเป็นแบบนั้นเลยนี่คะ มุมปากยกขึ้นนิดๆ เลยนี่คะ”

อาเซียกำปลายแขนเสื้อของอเล็กเซย์แล้วเขย่า สีหน้าของอเล็กเซย์ตึงเครียดขึ้น

“บอกแล้วไงว่าฉันยิ้มให้เธออยู่ตลอด”

“โกหก~! ป่านนี้แล้วยังจะโกหกอีก”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะ!”

แล้วอเล็กเซย์ก็ผลักอาเซียออกในเวลาเดียวกันกับที่พูดแบบนั้น

พูดให้ถูกคือ อเล็กเซย์เพียงแค่สลัดแขนเสื้อของเขาให้หลุดจากการเกาะกุมของอาเซีย แต่อาเซียผู้ถูกสลัดออกอย่างกะทันหันกลับก้าวเท้าผิดจังหวะจนซวนเซแล้วก้นจ้ำเบ้าไปในที่สุด

“อูยยย”

อาเซียล้มฮวบลงกับพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของอเล็กเซย์กำลังบูดเบี้ยว

ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองหยอกเขามากไปก็เลยโกรธหรือเปล่า แต่ใบหน้าแข็งทื่อของอเล็กเซย์กลับดูไม่เหมือนกำลังโมโห ฝ่ายที่ถูกผลักคือฝ่ายนี้แท้ๆ แต่อเล็กเซย์ดันมีท่าทีเหมือนตัวเองถูกมีดแทง

แล้วในที่สุด อาเซียก็รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของมวลบรรยากาศนั้น

แสงสีน้ำเงินเข้มที่แผ่กระจายรอบตัวอีกคนคือความหวาดกลัว

ความหวาดกลัวในอะไรบางอย่างจนไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร

“อโล…เซีย? โกรธเหรอคะ ขอโทษนะคะ ฉันหยอกแรง…”

“ไม่ได้โกรธ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ฉันตกใจมากไปหน่อย”

อเล็กเซย์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างมากขึ้นเล็กน้อย อาเซียกะพริบตาปริบๆ

ตอนแรกอเล็กเซย์ทำท่าจะช่วยจับอาเซียลุกขึ้น แต่เขาก็ชะงักแล้วดึงมือกลับไป จากนั้นก็ส่งสายตาไปหามหาดเล็ก

มหาดเล็กเห็นสายตาของอเล็กเซย์จึงประคองอาเซียขึ้นแทน

อาเซียรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังพูดขอโทษอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน…ฉันก็น่าจะเล่นหนักเกินไปค่ะ อโลเซียจะโมโหใส่ก็ไม่…”

อเล็กเซย์หลุบตาลง จากที่ทอดสายตามองอาเซียลุกขึ้นยืนเต็มตัวอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง

“ฉันโมโหใส่ใครไม่ได้หรอก”

จากนั้น มวลแสงรอบตัวอเล็กเซย์ก็เริ่มจืดจางลงช้าๆ จนเปลี่ยนไปไร้สีสัน คำพูดแบบนั้นของอเล็กเซย์คล้ายกับการบอกให้รู้มากกว่าการปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง

ในขณะที่อาเซียได้แต่กะพริบตาด้วยความงุนงง อเล็กเซย์ก็ทำท่าจะหมุนตัวไป แต่อาเซียรีบรั้งเขาไว้

“อโลเซีย! อโลเซีย หมายความว่ายังไงคะ บอกว่าโมโหใส่ใครไม่ได้งั้นเหรอ”

“…ตามที่พูดนั่นแหละ เพราะฉันโมโหใส่ใครไม่ได้ เมื่อกี้ก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอ แต่ก็ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้บาดเจ็บ”

น้ำเสียงของอเล็กเซย์นุ่มนวล เป็นความนุ่มนวลที่ทำให้อะไรหลายๆ อย่างผ่อนคลายลง

“ทำไมถึงห้ามโมโหใส่ใครล่ะคะ”

“…”

อเล็กเซย์ทำสีหน้าเหมือนเหนื่อยล้ากับบทสนทนานี้นิดหน่อยแล้ว

ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ สุดท้ายอเล็กเซย์ก็ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของระเบียงโดยทิ้งระยะห่างกับมหาดเล็ก

ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสงแดดจ้าสาดส่องเส้นผมสีทองของอเล็กเซย์ให้สะท้อนเป็นสีขาว

“ฉันทำพันธสัญญากับมังกรไฟฟาฟเนียร์ เจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี… แต่พลังยังไม่เสถียร”

อาเซียปิดปากเงียบลงทันควัน

ที่ผ่านมา อาเซียหลงลืมไปชั่วขณะเพราะมัวแต่กังวลเรื่องที่อเล็กเซย์กับคาร์โนจะสร้างปัญหาให้เธอในวันข้างหน้า

ราชวงศ์ได้ตามหาผู้ที่มีพลังแห่งความมั่นคง เพื่อควบคุมพลังอันไม่เสถียรขององค์ชายรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชอาณาจักร

แทบพลิกแผ่นดินราชอาณาจักรเพื่อค้นหา แล้วในที่สุดก็พบเด็กสาวสามัญชนผู้ครอบครองพลังนั้น ซึ่งเด็กสาวก็คือนางเอกในต้นฉบับเรื่องนี้

“จักรพรรดิผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมีจิตใจที่ใสบริสุทธิ์เหมือนกระจกและสงบนิ่งเหมือนน้ำ สำหรับฉัน นั่นเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าความสามารถในการเป็นจักรพรรดิที่ดี… เป็นปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ”

อาเซียนึกถึงอเล็กเซย์ที่เธอเคยเฝ้าดูในช่วงที่ผ่านมา

อารมณ์ความรู้สึกของเขาไร้ซึ่งความสูงต่ำ อเล็กเซย์ผู้เป็นเหมือนกับผิวน้ำที่ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง อเล็กเซย์ผู้วาดรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าเสมอ

อเล็กเซย์ทอดสายตามองเธอ เงาปกคลุมลงมาบริเวณดวงตาของเขา

เขาดูเหมือนหนักใจว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ทั้งยังดูเหมือนไม่เชื่อว่าเธอจะเข้าใจนัก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ พร้อมพูดขึ้น

“…อนาสตาเซีย จริงๆ แล้วการครอบครองพลังของฟาฟเนียร์มันเกินกำลังฉัน ตอนนี้ก็เป็นเพราะควบคุมพลังไม่ได้ ความร้อนถึงแผ่ซ่านออกมารอบตัวแบบนี้ ถ้าจิตใจของฉันถึงกับสั่นคลอนไปด้วย ฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

อเล็กเซย์พูดจบลงตรงนั้นพร้อมบอกขอโทษเธออีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังไป อาเซียไม่กล้าที่จะรั้งเข้าไว้

พวกมหาดเล็กทำอะไรไม่ถูกแล้วจึงไล่ตามอเล็กเซย์ไป มีเพียงมหาดเล็กที่ไปเก็บลูกธนูกลับมาจากไกลๆ เท่านั้นที่กำลังทำสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกกับสถานการณ์ที่ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

<จึ๊ๆ พวกมนุษย์แสนโง่เขลา>

อาเซียไม่สามารถละสายตาออกจากแผ่นหลังของอเล็กเซย์ที่ห่างออกไปได้ แล้วชั่วขณะหนึ่ง ลายนกที่สลักไว้บนกระดุมของเธอก็เด่นชัดขึ้นมานิดหน่อย

อาเซียคว้ากระดุมชุดเดรสด้วยการเคลื่อนไหวอันฉับไวจนเกิดเสียงแหวกอากาศ จากนั้นก็คู้ตัวลงในมุมๆ หนึ่ง

“เรื่องนั้นจริงหรือเปล่า ต้องทำแบบนั้นเหรอ มันเข้าท่าเหรอ ที่ต้องห้ามโมโห ห้ามหัวเราะ ห้ามร้องไห้ เพื่อจะควบคุมพลังของฟาฟเนียร์น่ะ”

เจ้านกโผล่ออกมาจากกระดุมแล้วร้องจิ๊บๆ

<แน่นอนว่าต้องไม่เข้าท่าอยู่แล้วสิ ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าที่ความร้อนแผ่ออกมาเป็นเพราะเจ้าฟาฟเนียร์ตื่นเต้นไง ถ้าอายุสักยี่สิบปีก็น่าจะควบคุมได้ไปตามธรรมชาติเอง>

จู่ๆ อาเซียก็นึกถึงคำพูดของคิริล

‘อีกไม่นาน หากทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนกลางคืนก็น่าจะไม่มีใครสามารถเข้าประชิดตัวได้พ่ะย่ะค่ะ’

ถึงแม้ว่านั่นจะไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ก็เถอะ

“เฮ้อ… แต่ก็มีกรณีที่คุมไม่อยู่จริงๆ นี่…”

อาเซียพยายามคิด อเล็กเซย์เคยคุมพลังไม่อยู่จริงๆ มาแล้ว เพราะอย่างนั้นจึงพยายามตามหาคนที่มีพลังแห่งความมั่นคง แบบแทบจะปัดกระทั่งเม็ดทรายในราชอาจักรออกดูทีละเม็ดเลยทีเดียว

เมื่อได้รู้สาเหตุของดวงตาเยือกเย็น รอยยิ้มเย็นชา และการหยอกล้อที่เว้นระยะห่างของอเล็กเซย์ ไม่รู้ทำไม อาเซียจึงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก

“นั่นแค่เพราะว่าฟาฟเนียร์ตื่นเต้นเหรอ”

<ใช่สิ>

“ถ้างั้นที่อโลเซีย…ทำแบบนั้นล่ะ ที่บอกว่าห้ามร้องไห้ ห้ามหัวเราะ ทำแบบนั้นแล้วมันมีประโยชน์ยังไง”

<ถ้าพลังของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จะสามารถใช้พลังของดวงวิญญาณได้ดีขึ้นก็จริง แต่ข้าไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำแบบนั้นแล้วมีประโยชน์หรือเปล่า มหาดวงวิญญาณผู้นี้จะไปรู้ซึ้งถึงจิตใจของมนุษย์โง่เขลาที่ทำเรื่องไม่มีประโยชน์สักอย่างได้ยังไงล่ะ ดูท่าว่าคงเป็นการปลอบใจตัวเองแบบง่ายๆ น่ะสิ>

“เรื่องแบบนี้… แบบนี้…”

อาเซียอยากด่า แต่ก็ไม่เคยเรียนรู้คำด่ามา จึงไม่สามารถโพล่งอะไรออกจากปากได้

อาเซียขยำชายกระโปรงจนมันยับยู่ยี่ไปหมดแล้วกระทืบเท้า

นี่มันเข้าท่าหรือไง ตำหนิคนอื่นเขาแบบนี้แล้วยังจะบอกว่าทั้งหมดนั่นคือการพยายามโดยเปล่าประโยชน์อีกเหรอ ชวนไปตามหาคนเดี๋ยวนี้เลยดีไหม นางเอกชื่ออะไรแล้วนะ

เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เธอได้อ่าน หรืออาจจะได้ดู เมื่อนานมากๆ แล้ว กระทั่งชื่อของนางเอกก็ยังเลือนราง เธอจึงหมดสิ้นหนทางจะตามหา

“ทำไมฟาฟเนียร์ถึงไม่บอกเรื่องนั้นกับอเล็กเซย์กันแน่”

<ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า การที่มนุษย์แสนโง่เขลายังไม่พูดคุยกับดวงวิญญาณของตัวเอง ก็คงเพราะไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง หรือไม่ก็ไม่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่นั่นแหละ>

“ไม่สิ ฟาฟเนียร์พูดกับอโลเซียก่อนก็ได้นี่!”

<จะปรากฏตัวยังไง แล้วจะพูดอะไรกับคนที่ไม่ฟังล่ะ>

“นั่นก็คงเป็นเพราะไม่มีความสามารถน่ะสิ! มีใครที่ไหนที่ไม่อยากคุยกับดวงวิญญาณของตัวเองกัน!”

<มนุษย์ทุกคนทั่วราชอาณาจักรไง>