“อะ อะไรนะ”

อาเซียเบิกตากว้าง พีบีขบจะงอยปากดังแต๊ก ราวกับบอกว่าตัวเองพูดความจริงอันแน่ชัด

<…มนุษย์ทุกคนในราชอาณาจักรไม่คิดจะพูดคุยกับดวงวิญญาณเลยสักคน บางทีก็คงจะลืมวิธีพูดคุยกันไปหมดแล้วนั่นแหละ เรื่องนั้นข้า…>

พีบีกำลังจะพูดต่อว่าอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เบ้ปาก ราวกับว่าอยากพูดแต่พูดไม่ได้

ในตอนที่อาเซียรู้สึกเดือดดาลกับความน่าอึดอัดใจในบทสนทนาที่เหมือนกับการพูดคุยเรื่องไม่เคร่งเครียด พีบีก็บินขึ้นไปแล้วร้องจิ๊บๆ

<เจ้าอยากช่วยเด็กคนนั้นเหรอ>

“มีวิธีช่วยเดี๋ยวนี้เลยไหม”

<ให้กินของที่เจ้าทำก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ เหมือนที่ทำมาจนถึงตอนนี้>

อาเซียหรี่ตาลง

“ตอนนี้เป็นสถานการณ์จริงจังนะ สถานการณ์ตึงเครียด”

<พลังของข้าแทรกซึมผ่านตัวเจ้า เพียงแค่อยู่ใกล้เจ้าหรือกินของที่เจ้าทำก็จะมีส่วนช่วยในการควบคุมพลังของฟาฟเนียร์ได้มากแล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาอย่างละเอียดและแม่นยำด้วย ‘ความรู้สึก’ ไงล่ะ>

“…จริงเหรอ”

<เพราะงั้นช่วงนี้ ความร้อนทั่วบริเวณผืนดินนี้ถึงได้เย็นลงมากเลยไม่ใช่หรือไง>

งั้นเหรอ อาเซียเอียงหัว

หากดูจากการที่พวกมหาดเล็กสวมเสื้อผ้าหนาขึ้นหน่อยก็คงจะเป็นแบบนั้น…

“หมายความว่า แค่ให้กินขนมก็พอแล้วเหรอ แน่ใจนะ?”

<จะเป็นขนมหวานหรือขนมปังหรืออะไรก็ตาม หรือไม่งั้นเจ้าก็ไปอยู่ใกล้ๆ ข้างกายเด็กคนนั้นทั้งวัน>

พีบีกลับเข้าไปในลายกระดุมดังเดิม

และในขณะเดียวกัน อาเซียก็กำหมัดแล้วบึ่งไปยังห้องของอเล็กเซย์

เมื่อเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจพวกมหาดเล็กที่ทำตัวไม่ถูก อเล็กเซย์ก็กำลังยิ้มเบาบางราวกับมีแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบบนใบหน้าที่ดูเหมือนเหนื่อยล้า

อเล็กเซย์มองใบหน้ารีบร้อนของอาเซียแล้วคงคิดอะไรบางอย่าง เขาจึงให้คนที่อยู่รอบข้างตนเองออกไป

แสงสีน้ำเงินเข้มที่ปกคลุมรอบตัวเขาหนาครึ้ม จะเป็นความหดหู่ ความเศร้าสร้อย หรือความหวาดกลัวกันนะ อาเซียคิดแล้วตะโกนเสียงดังทันที

“ฝ่ายที่คุมพลังไม่ได้คือฟาฟเนียร์!”

“…อะไรนะ”

พร้อมกันกับเสียงพูดนั้้น เงาของเปลวไฟก็กระเพื่อมและลุกโชนรอบตัวของอเล็กเซย์

“ถ้าอโลเซียเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความสามารถมาตั้งแต่แรก ก็ไม่ได้ทำพันธสัญญากันหรอก ฟาฟเนียร์จะทำไปเพื่ออะไรล่ะ”

อเล็กเซย์ทำสีหน้าสงบนิ่งเมื่อเข้าใจว่าเสียงตะโกนอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยนั้นพูดถึงเรื่องอะไร

“…เรื่องนั้น ตอนนั้นฉันตั้งมั่น…”

“มีใครไม่ตั้งมั่นด้วยเหรอ”

อาเซียสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมกับกุมมือของอเล็กเซย์ อเล็กเซย์ผงะไปแต่ก็ไม่ได้สลัดมือข้างนั้นออก

“ตอนฉันทำพิธีเรียกดวงวิญญาณ ไม่มีใครยิ้มเลยสักคนเดียวค่ะ อโลเซียก็เห็นไม่ใช่เหรอคะ ทุกคนต้องการทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณ แต่ก็ไม่สำเร็จ เลยไม่มีใครยินดีเลยแม้แต่คนเดียว เด็กพวกนั้นทุกคน ทุกคนต่างก็ตั้งมั่นกันหมดค่ะ แต่ที่อโลเซียได้ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณคนเดียว นั่นก็เพราะอโลเซียมีคุณสมบัติไง!”

“เรื่องนั้น…”

“โมโหใส่ใครไม่ได้เหรอ ยิ้มจากใจจริงก็ไม่ได้เหรอ โมโหใส่ฉันไปแล้วแต่ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยนี่นา”

คำพูดของอาเซียทำให้ใบหน้าของอเล็กเซย์ซีดเผือดลง

“ฝ่ายที่คุมพลังไม่อยู่คือฟาฟเนียร์น่ะสิ ไม่ใช่อโลเซีย ถึงอโลเซียจะยิ้มแย้มหรือโมโหก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยนี่คะ ทำไม…ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”

“ท่านพ่อ…”

เสียงของอเล็กเซย์สั่นเครือราวกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่แตกร้าว

อาเซียสูดหายใจเข้าดังฮึบ รู้สึกเหมือนกับคลื่นแสงสีน้ำเงินซึ่งหยุดนิ่งมาพักใหญ่ กำลังโหมกระหน่ำออกมาจากตัวของอเล็กเซย์ คลื่นแสงนั้นห้อมล้อมตัวเธอแล้วเคลื่อนผ่านไป

“พ่อจากฉันไป หลังจากทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์…”

อเล็กเซย์หลุบดวงตาสีฟ้าที่ดูเหมือนแตกสลายลง

“ตอนฉันอายุห้าขวบ พ่อเป็นคนอารมณ์รุนแรง… สุดท้ายก็ควบคุมพลังของฟาฟเนียร์ไม่ได้แล้วเสียชีวิต”

สุดท้ายอาเซียก็ต้องปิดปากเงียบด้วยใบหน้าซีดเผือด

ถ้าเป็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น เธอเองก็นึกขึ้นมาได้อย่างเลือนราง

นิโคไล บิดาของอเล็กเซย์ทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์ แต่ตามที่อเล็กเซย์พูด เขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังอายุน้อยโดยไม่ทันได้ขึ้นครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แต่ว่าเรื่องนั้น

…เรื่องนั้นมันไม่ใช่แบบนั้น…

องค์จักรพรรดิมิคาอิลคิดว่าอุปนิสัยของนิโคไล โอรสคนโตผู้ซึ่งมีจิตใจอ่อนแอ ทั้งยังอ่อนไหวและอารมณ์รุนแรง ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท

เพราะอย่างนั้น ถึงแม้นิโคไลจะได้ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณ แต่องค์จักรพรรดิก็ตัดสินใจว่าจะให้ยูเลีย บุตรชายคนสุดท้องผู้ซึ่งฉลาดหลักแหลมที่สุดจากในบรรดาเชื้อสาย ขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทแทน

นิโคไลรับรู้ความจริงเรื่องนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน สุดท้ายเขาก็โยนตัวเองเข้าไปในเปลวไฟอันรุนแรงที่ไม่มีวันมอดดับแล้วเสียชีวิตลงทั้งอย่างนั้น

นิโคไลยอมรับการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิไม่ได้ หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่ทุกคนรับรู้กันดี

องค์ชายคนเล็กโกรธเคืองบิดาผู้ขับไล่พี่ชายคนโตของตนไปสู่ความตายแล้วออกไปจากพระราชวัง ส่วนองค์จักรพรรดิก็ไล่ลูกชายคนอื่นๆ ที่มีความสามารถไม่เพียงพอออกไปจากวังหลวงหมดทุกคน

และเมื่ออเล็กเซย์ ลูกชายเพียงคนเดียวของนิโคไลผู้ตายไปได้ทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์ องค์จักรพรรดิก็กำหนดให้เขาขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทมาจนถึงตอนนี้

เพราะอย่างนั้นถึงยึดติดกับวิธีการควบคุมพลังแบบนั้นเหรอ เพราะคิดว่าพ่อเอาชนะอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ เลยไม่สามารถทำอะไรดวงวิญญาณได้แล้วตายไปแบบนั้น?

“ไม่ใช่ อโลเซีย ไม่ใช่นะ! อโลเซียก็คืออโลเซีย หมายถึงว่า…เป็นคนละคนกับท่านลุงคนโต ถ้าอโลเซียไม่ต้องการก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”

“แต่วังหลวง เป็นแบบนี้มาตลอดนับจากวันที่ฉันทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์…”

“นั่นเป็นเพราะฟาฟเนียร์ทำตัวเอาแต่ใจน่ะสิ! เพราะเขาตื่นเต้น! เพราะชอบที่ได้ทำพันธสัญญากับอโลเซีย!”

เสียงตะโกนของอาเซียทำให้อเล็กเซย์สับสนนิดหน่อยและทำสีหน้ามึนงง จนไม่มีจังหวะจะให้ถามว่าเธอรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร

อเล็กเซย์ลุกขึ้นอย่างซวนเซเล็กน้อยแล้วทรุดตัวนั่งลงอีกครั้ง มวลแสงสีแดงที่เริ่มส่องออกมารอบกายอเล็กเซย์กระเพื่อมแรงขึ้นทีละนิด

“ฉันทำพันธสัญญากับฟาฟเนียร์ในวันที่ท่านพ่อเสีย ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ทำพันธสัญญาเสร็จแล้วกลับมา ตอนนั้นท่านปู่ถึงเพิ่งเล่าให้ฉันฟัง ตอนนั้นฉัน…”

ขอบตาของอเล็กเซย์ฉ่ำน้ำอย่างรวดเร็ว อาเซียยกมือขึ้นปิดปาก

“ฉันร้องไห้…ไม่ได้นะ”

ทุกครั้งที่อเล็กเซย์กะพริบตา หยดน้ำตาก็จะร่วงผล็อยลงมา อเล็กเซย์คงสับสนกับท่าทีแบบนั้นของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาจึงทำเพียงแค่แตะมือลงบนขอบตาของตัวเองเท่านั้น

คลื่นแสงสีขี้เถ้าที่ถาโถมออกมาจากตัวอเล็กเซย์ทำให้เธอหายใจไม่ออก

อาเซียผ่อนลมหายใจอย่างยากลำบากพร้อมกับใช้แขนสั่นๆ โอบกอดอเล็กเซย์เอาไว้

“ถึงอโลเซียจะร้องไห้ จะหัวเราะ หรือจะโมโหฉัน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกนะ”

อาเซียตั้งใจจะดึงอเล็กเซย์เข้ามากอด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอได้อยู่ในท่าที่ถูกกอดไว้ในอ้อมแขนของอเล็กเซย์แทน

อาเซียกำเสื้อของอเล็กเซย์ในอ้อมกอดของเขาแน่นและทำได้เพียงฟังเสียงหัวใจเต้นถี่รัว เสียงหัวใจที่เหมือนกำลังบอกว่ามันอ้างว้างมาเนิ่นนาน

และในขณะเดียวกัน มวลบรรยากาศสีแดงก็ทวีความรุนแรง มันลุกฮือโชติช่วงแล้วห่อหุ้มตัวของอเล็กเซย์ไว้

***

สุดท้ายเธอก็ทำให้อเล็กเซย์ร้องไห้ออกมาอย่างหนำใจจนนอนซม

หมอหลวงกลับไปหลังจากวินิจฉัยว่าอเล็กเซย์เป็นไข้อ่อนเพราะเหนื่อยสะสมและใช้ร่างกายหนักเกินไป

“เดี๋ยวสิ… แค่วินิจฉัยเสร็จแล้วก็ไปเลยเหรอ ยาล่ะ ไม่เอาให้เหรอ”

อาเซียกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองเพราะลิสเร่งให้กลับ เธอเอนตัวลงบนเตียงพร้อมถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงวุ่นวายใจ ลิสค่อยๆ พูดทีละคำอย่างนุ่มนวลราวกับปลอบใจเธอ

“องค์ชายรัชทายาทไม่เสวยยาเพคะ เพราะอย่างนั้น…”

“อ๋อ”

วันก่อนบอกว่าพิษทำอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่ายาก็คงไม่ส่งผลอะไรตามหลักการเดียวกัน

อาเซียเดินไปเดินมาเพราะนอนไม่หลับแม้ลิสจะจัดเตียงให้และออกไปแล้ว สุดท้ายเธอก็ไปเคาะประตูห้องของอเล็กเซย์อีกครั้ง

คิริลเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าหวั่นวิตกอย่างมาก

“องค์หญิงอนาสตาเซีย”

“ฉันเป็นห่วงอเล็กเซย์ก็เลยมาอีกครั้งน่ะ ยังหลับอยู่เหรอ”

คิริลพยักหน้า อาเซียนั่งลงตรงหัวเตียงของอเล็กเซย์ เชิงเทียนเล็กๆ เพียงอันเดียวติดไฟและกำลังส่องแสงสลัวอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

“คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะ หือ”

และในตอนที่ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะขึ้นมากะทันหัน อาเซียก็เกือบจะส่งเสียงกรี๊ดออกมา แต่ก็กลั้นไว้ได้อย่างหวุดหวิด

คิริลซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเอียงหัวเล็กน้อย อาเซียโบกไม้โบกมือบอกว่าไม่มีอะไรแล้วจ้องมองเชิงเทียนบนโต๊ะ เปลวเทียนส่องสว่างราวกับฟืนจุดไฟต่างกับเมื่อครู่นี้

หรือว่าเธอ…

<เจ้าเด็กไม่รู้ความ! กล้าดียังไงถึงปริปากพูดกับผู้ทำพันธสัญญาของข้าตามอำเภอใจหา>

<โอ๊ย ดูนี่ก่อนเถอะ! คราวนี้จะทำยังไง เด็กน้อยของข้าไม่ตื่นขึ้นมาเลยนะ!>

<ที่กลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้าทำตัวโง่เขลาไม่ใช่หรือไง! รู้ไว้ซะด้วย! อย่ามาพูดคุยกับเด็กน้อยของข้า!>

อาเซียกำลังจะงงงวยแต่ก็ดึงสติกลับมาอย่างยากเย็น ท่ามกลางลายนกบนแขนเสื้อชุดนอนของเธอที่เห็นชัดขึ้นทีละนิดกับเปลวเทียนที่กำลังลุกโหม

พีบี! พีบี เดี๋ยว! เงียบหน่อยสิ หรือว่านี่… ฟาฟเนียร์เหรอ

<ใช่! ใช่แล้ว ในที่สุดชื่อข้าก็มีคนเรียกสักที!>

<ชื่อเจ้าน่ะ ไปฟังจากผู้ทำพันธสัญญาของเจ้านู่น!>

<ผู้ทำพันธสัญญาของข้านอนอยู่แบบนั้นแล้วจะเรียกชื่อข้าได้ยังไงเล่า! เอาล่ะ แล้วเรื่องนั้นจะทำยังไงดี หือ อเล็กเซย์ไม่ตื่นขึ้นมาเลย>

อาเซียรู้สึกเหมือนจะมึนงงขึ้นมาอีกครั้ง เธอพยายามเรียบเรียงความคิด

ฉันไม่ได้ยินเสียงฟาฟเนียร์มาจนถึงตอนนี้เลยนะ ทำไมกลายเป็นว่าพูดได้แล้วล่ะ

<เพราะเจ้าน่ะสิ! ไม่สิ เพราะข้า!>

พีบีพยายามจะเข้ามาแทรก แต่อาเซียก็ใช้มือกำรอบแขนเสื้อชุดนอนของตัวเองไว้ เปลวเทียนกระเพื่อมแรง

<ฮึ ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเพราะดวงวิญญาณนั่นหรือเปล่าแต่เป็นเพราะเจ้าเลย! หลังจากโลกดวงวิญญาณกับกับโลกมนุษย์ถูกแยกออกจากกันแล้วก่อเกิดความมืด หากผู้ทำพันธสัญญาไม่รู้สึกถึงดวงวิญญาณก่อน ก็จะส่งเสียงออกมาไม่ได้…>

โลกดวงวิญญาณกับกับโลกมนุษย์ถูกแยกออกจากกันงั้นเหรอ ตอนแรกอยู่ติดกันเหรอ

<ก็… เป็นเรื่องเมื่อนานมากๆ แล้ว ยังไงก็ตาม ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าช่วยดึงข้าออกมา>

ฉันช่วยดึงออกมาเหรอ

เมื่ออาเซียย้อนถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจเลยสักนิด เปลวเทียนก็พลิ้วไหว น้ำตาเทียนกระเซ็นออกมาเล็กน้อย

<เจ้าจ้องข้าอย่างกับจะฆ่าแกงกัน เพราะข้าไม่พูดกับอเล็กเซย์ก่อนไม่ใช่หรือไง>

ฉันไม่ได้จ้องเหมือนจะฆ่าเธอสักหน่อย! …ว่าแต่พวกเราก็คุยกันได้เพราะแบบนั้นเหรอ ทั้งที่ฉันไม่ใช่ผู้ทำพันธสัญญาของเธอ

เมื่ออาเซียกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ พีบีก็พูดจาอวดเบ่งขึ้นมาแทน

<เพียงแค่รู้สึกได้อย่างแท้จริง ก็เป็นวิธีที่จะสามารถเปิดเส้นทางสู่การสื่อสารกันได้แล้ว ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะคุยกันไม่ได้เลยก็เถอะ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอในฐานะผู้ทำพันธสัญญาของข้า เพราะอย่างนั้นตัวข้าผู้นี้ถึงถูกเรียกว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังไงล่ะ อาเซีย>

เปลวเทียนที่เหลืออยู่เพียงขนาดเท่านิ้วโป้งยังคงส่องสว่างเจิดจ้าราวพระจันทร์เต็มดวง ฟาฟเนียร์ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพีบีแล้วพูดเรื่องอื่นขึ้นมา

<ที่ผ่านมา แม้ข้าจะถ่ายเทพลังออกมาแค่ไหนก็ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ จึงทำได้เพียงทอดมองอเล็กเซย์อยู่ไกลๆ เท่านั้น…>

<ดูเจ้าดวงวิญญาณสติไม่ดีนี่สิ เพราะอย่างนั้นที่นี่ถึงได้ร้อนทั้งที่อยู่ในช่วงกลางฤดูหนาวไงเล่า!>