บทที่ 13 หนานกงสือเยวียนบันดาลโทสะ (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 13 หนานกงสือเยวียนบันดาลโทสะ (รีไรท์)

บทที่ 13 หนานกงสือเยวียนบันดาลโทสะ (รีไรท์)

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชื่นชอบทำสงคราม ทว่าตอนนี้ต้องอยู่ในวังหลวง พระองค์จึงไม่สามารถออกรบได้ตามปกติ สถานที่เดียวที่จะสร้างรื่นเริงให้แก่หนานกงสือเยวียนได้ก็คือลานประลองยุทธ์นี้เอง

แม้ในช่วงที่ทรงพระประชวร ฝ่าบาทก็ไม่เคยลืมเสด็จมาที่นี่ ไม่ว่าจะมาระบายอารมณ์หรือมาฝึกฝีมือก็ตาม

เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเจิ้งชิง เวลานี้ ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี

จู่ ๆ หลินเจิ้งชิงก็ค้นพบว่าฝ่าบาทในวันนี้ดูจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อน

เนื่องด้วยฝ่าบาททรงมีโรคประจำตัวบางอย่าง แม้พระองค์จะทรงยั้งมือในการประลองอยู่บ้าง ทว่าก็แสดงออกถึงความบ้าคลั่งและความรุนแรงของตนเองออกมาอย่างชัดเจนเสมอ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งตื่นเต้น ราวกับฝ่าบาทกำลังระบายอะไรบางอย่างผ่านการต่อสู้

แต่ฝ่าบาทในวันนี้กลับดูสุขุมลุ่มลึก การโจมตีไม่รุนแรงดังเช่นกาลก่อน ถึงกระนั้นฝีมือออกโจมตีก็ยังคงเท่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

นี่คือราชันเทพสงครามของพวกเขา!

เมื่อเห็นพระองค์อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ หลินเจิ้งชิงพลันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินเจิ้งชิงเริ่มมีเหงื่อผุดออกมาตามกรอบหน้า เมื่อรู้ตัวอีกทีกระบี่ของฝ่าบาทก็มาพาดอยู่บนลำคอเขาเรียบร้อยแล้ว

“เจ้าแพ้แล้ว”

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเขาด้วยสายตาเฉยเมย “วันนี้เจ้าดูฟุ้งซ่านนะ”

ขณะที่พูด ฮ่องเต้ก็ดึงกระบี่ในมือกลับไป

หลินเจิ้งชิงตอบกลับว่า “วันนี้ฝ่าบาทแตกต่างไปจากเดิม ดูมีพลังมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนมองลงไปที่ด้านล่างลานประลอง ก็พบเข้ากับสายตาที่เป็นกังวลขององค์หญิงน้อย

หัวใจของเขาพลันกระตุกเล็กน้อย หนานกงสือเยวียนหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้สึกแปลก ๆ อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกหมอหลวงมาตรวจสอบอีกครั้ง

แต่หมอจางกลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดเลย หนานกงสือเยวียนไม่รู้ว่าเมื่อวานเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือเป็นเพราะบุตรสาวของเขาจริง ๆ

“คนต่อไป”

บางทีอาจเป็นเพราะสภาพที่ดีในวันนี้ หนานกงสือเยวียนจึงชนะการประลองต่อเนื่องอย่างง่ายดาย ท้ายที่สุด สมญานามราชันเทพสงครามของเขาก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

จนกระทั่งเหงื่อออกทั่วตัว เขาถึงจบการประลองแต่เพียงเท่านี้

ทันทีที่ก้าวลงจากลานประลอง เสี่ยวเป่าก็พุ่งออกมาเหมือนกระสุนปืนใหญ่ แต่เมื่อวิ่งไปถึงข้างกายของท่านพ่อ เด็กน้อยก็ค่อย ๆ หยุดตัวลง คว้าชายเสื้อไว้พลางมองเขาอย่างชื่นชม

“ท่านพ่อ เก่งที่สุดเลยเพคะ”

แม้หนานกงสือเยวียนจะไม่พูดอะไร แต่เขากลับอารมณ์ดีพอสมควร มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาตลอดเวลาดูอ่อนโยนขึ้น

หลินเจิ้งชิงคิดว่าเขาตาฝาด ดังนั้นเขาจึงจ้องมองอีกครั้ง

“ท่านลุงหลิน”

เด็กหญิงตัวเล็กตะโกนอยู่ทางด้านข้างของท่านพ่อตน

หลินเจิ้งชิงคลี่ยิ้มบนใบหน้า “ยามนี้องค์หญิงน้อยดูดีมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้ก่อนจะขมวดคิ้ว “ท่านพ่อไม่ได้เป็นไรใช่หรือไม่”

หลินเจิ้งชิงทอดถอนหายใจเช่นกัน เขาคิดว่าฝ่าบาทคงไม่สนใจองค์หญิงน้อยมากนัก แต่ไม่คาดคิดเลยว่า…ฝ่าบาทจะพาองค์หญิงน้อยมาที่ลานประลองยุทธ์ด้วย!

“ไปกันเถอะ”

หนานกงสือเยวียนเดินออกจากลานประลอง แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าต้องตามเขาไปไม่ยอมห่าง

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครเอาชนะท่านได้อีกแล้ว!”

“ท่านพ่อเหนื่อยหรือไม่เพคะ”

“ท่านพ่อ เจ็บหรือไม่…”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่ดังก้องไปทั่วทั้งลานประลองค่อย ๆ เลือนหายไป

เมื่อฝ่าบาทหายลับไปจากสายตาของทุกคน ลานประลองก็กลับมามีชีวิตชีวาทันที

“เรามีองค์หญิงน้อยในราชวงศ์ต้าเซี่ยตั้งแต่เมื่อใดกัน! พวกเรามีแต่องค์ชายไม่ใช่หรือ!”

“ฝ่าบาททรงมีพระธิดาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“องค์หญิงน้อยเชื่อฟังและน่ารักมาก ข้าก็อยากมีลูกสาวเช่นนี้เหมือนกันนะ”

“ผายลม! เจ้ายังไม่มีเมียเลย แล้วจะมีลูกสาวได้อย่างไร!”

“แม่ทัพหลิน เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”

หลินเจิ้งชิงชำเลืองมองพวกเขา “พวกเจ้ามีเวลามานินทาเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท วันนี้ฝึกกันเสร็จแล้วหรือ”

และแล้วการฝึกของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ในฐานะองครักษ์ของฮ่องเต้ที่คอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของวังหลวงและปกป้องฝ่าบาท แต่ละคนจึงได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ย่อมเป็นเรื่องแน่นอนว่าการฝึกฝนฝีมือจะต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ๆ

หลังจากหนานกงสือเยวียนกลับไปถึงตำหนักของตนเอง เขาก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเดินออกมา เส้นผมยาวสีหมึกทิ้งตัวลงมาราวม่านน้ำตก แม้จะปล่อยผมตามสบาย ทว่าเขายังคงดูสง่างามมากอยู่ดี

แต่เพราะองค์เหนือหัวทรงเย็นชาและโหดเหี้ยมเกินไป ผู้คนส่วนใหญ่จึงแทบไม่กล้าสบตามองเขาเลย

หนานกงสือเยวียนชอบสีดำ อีกทั้งเสื้อคลุมมังกรประจำราชวงศ์ก็ปักด้วยสีดำสลับทอง ทำให้เขาดูน่าเกรงขามมากขึ้น

เสี่ยวเป่ากลับมายุ่งอยู่ในสวนผักอีกครั้ง บรรดาข้าหลวงต่างคอยยืนดูด้วยความเป็นห่วง ทุกคนไม่อยากให้องค์หญิงน้อยเปื้อนดินเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา

ผู้ใดใช้ให้องค์หญิงน้อยชอบปลูกผักกันเล่า

เสี่ยวเป่าไม่ได้เอาเมล็ดพันธุ์มามาก บางเมล็ดก็ปลูกไม่ได้ ดังนั้นนางจึงพบว่ายังมีที่ว่างอีกมากสำหรับการเพาะปลูกในอนาคต

เสี่ยวเป่าปลูกเมล็ดพันธุ์สุดท้ายอย่างจริงจัง ก่อนที่ปากจะพึมพำเสียงเบา

ชุนสี่ฟังอย่างตั้งใจเพื่อให้ได้ยินอย่างชัดเจน

“บ้านของท่านพ่อใหญ่มาก ใหญ่กว่าสวนผักของท่านแม่ตั้งหลายเท่า”

ชุนสี่กลั้นยิ้มพร้อมยักไหล่เล็กน้อย แน่นอนว่าฝ่าบาทคือผู้ดำรงอยู่บนจุดสูงสุดของโลกหล้า ด้วยเหตุนี้ ฝ่าบาทย่อมต้องประทับอยู่ในสถานที่ที่ใหญ่โตที่สุดเช่นกัน

ณ ห้องโถงใหญ่ ตำหนักฉินเจิ้ง

“ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับองค์หญิงน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนวางพู่กันในมือลง แล้วรับข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเสี่ยวเป่าจากองครักษ์เงามาดู

ชีวิตก่อนหน้านี้ของบุตรสาวเขายังคงสุขสบายดี โดยเฉพาะตอนที่ซูหว่านเหนียงยังมีชีวิตอยู่ เพราะเงินที่ทางวังหลวงส่งมอบให้ไม่เคยขาด ทำให้นางกับบุตรสาว แม้จะไม่ได้รับการต้อนรับจากตระกูลซูสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงก็ไม่เคยทำร้ายสองแม่ลูก เพราะมีเงินคอยค้ำคออยู่

ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่การเสียชีวิตของซูหว่านเหนียง ซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงเชื่อว่าซูหว่านเหนียงซ่อนเงินไว้ให้เสี่ยวเป่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เพียงครอบครองกระท่อมของมารดาและลูกสาวเท่านั้น แต่ยังลงมือทำร้ายเด็กอายุสามขวบเพื่อบังคับให้นางบอกที่ซ่อนเงินของมารดาอีกด้วย

ไม่พอ หม่าซานเหนียงไม่ชอบที่เสี่ยวเป่ากินอาหารของพวกเขา ทั้งยังสั่งให้เด็กน้อยอายุสามขวบซักเสื้อผ้าของพวกเขาทุกวัน รวมถึงมีหน้าที่คอยให้อาหารสัตว์ แต่ตัวนางกลับได้รับทานอาหารน้อยมาก

นี่คือเหตุผลที่หมอจางบอกว่า ร่างกายขององค์หญิงน้อยอ่อนแออยู่เล็กน้อย

ยิ่งอ่านไปมากเพียงใด ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนก็ยิ่งมืดมนเท่านั้น

องครักษ์เงาที่คุกเข่าอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เพราะผู้ใดก็ตามที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ล้วนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากฝ่าบาท พวกเขาไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ

ยามนี้ กระดาษในมือของหนานกงสือเยวียนยับยู่ยี่ไปหมด ความเกลียดชังทอประกายเด่นชัดในดวงตาสีเข้ม

“ตระกูลซูข่มเหงรังแกทำให้องค์หญิงองค์ปัจจุบันต้องเสื่อมเสียพระเกียรติ ข้ามีคำสั่งให้เนรเทศพวกมันไปอยู่ที่ชายแดน!”

น้ำเสียงเย็นชาของหนานกงสือเยวียนกล่าวตัดสินชะตากรรมครอบครัวของซูเถี่ยจู้อย่างไม่รอช้า

“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เงาจัดการเรื่องนี้ทันที และแน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดด้วยตนเอง เพียงแค่ถ่ายทอดพระราชโองการของฝ่าบาทไปยังนายอำเภอท้องถิ่นก็เพียงพอแล้ว

แน่นอนว่าหนานกงสือเยวียนรับรู้เรื่องที่เสี่ยวเป่าลงโทษพวกคนตระกูลซูก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจการลงโทษเล็กน้อยเช่นนั้น

เพราะอาชญากรรมที่ตระกูลซูก่อไว้นั้น หาได้มีเพียงการอดอาหารเสี่ยวเป่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฆ่าซูหว่านเหนียงอีกด้วย!

จากรายงานการสืบสวนที่ถูกส่งตรงมาถึงเขา เสี่ยวเป่าไม่เคยรับรู้ความลับของสองผัวเมียคู่นั้น ว่าพวกเขาไม่เพียงเอาเงินจากซูหว่านเหนียง แต่ยังแอบวางยาพิษซูหว่านเหนียงมาตลอดอีกด้วย!