บทที่ 14 องค์หญิงน้อยตามหาท่านพ่อ (รีไรท์)
บทที่ 14 องค์หญิงน้อยตามหาท่านพ่อ (รีไรท์)
เสี่ยวเป่าเคยค้นพบเรื่องนี้ด้วยตนเองจากความรอบรู้เรื่องสมุนไพร ครานั้นซูหว่านเหนียงสงสัยเกี่ยวกับยาที่นางกำลังทานเช่นกัน แต่ในไม่ช้า หม่าซานเหนียงก็ใช้ข้ออ้างว่าหมอสมุนไพรจ่ายยาผิดเป็นข้อแก้ตัวเพื่อหลอกทุกคน
เสี่ยวเป่าเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสามขวบจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย นางเข้าใจว่าหมอสมุนไพรจ่ายยามาผิดจริง ๆ
ในที่สุด ซูหว่านเหนียงก็เชื่อในตัวพี่ชายของตนเอง
สองผัวเมียไม่กล้าวางยาพิษซูหว่านเหนียงแบบโจ่งแจ้งอีก แต่พวกเขาทยอยใส่ยาพิษลงในอาหารให้นางทานครั้งละเล็กน้อย แต่ละครั้ง พวกเขาจะหาข้ออ้างมาขับไล่เสี่ยวเป่าออกไป
สุขภาพของซูหว่านเหนียงทรุดลงอย่างรวดเร็ว สมุนไพรที่รับประทานเข้าไปนอกจากจะไร้ประโยชน์แล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิตอีกด้วย
สองผัวเมียฆ่าญาติของตนเองโดยไม่รู้สึกผิด เพียงเพราะอยากจะได้เงิน พวกเขาถึงกับข่มเหงรังแกบุตรสาวเพียงคนเดียวของซูหว่านเหนียงที่เหลืออยู่ ถือเป็นพวกจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก
โทษฐานที่มารังแกบุตรสาวของหนานกงสือเยวียนเช่นนี้ การประหารนั้นง่ายดายเกินไป
“นอกจากนี้ การที่ซูหว่านเหนียงให้กำเนิดองค์หญิงออกมา ย่อมหมายความว่านางสมควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสนมอย่างเป็นทางการ เราสมควรจัดพิธีศพให้แก่นางด้วย…”
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก อันที่จริง เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างบุรุษกับสตรีไม่ได้อยู่ในสมองของหนานกงสือเยวียนเลย
เพียงแต่ว่าในอดีต หนานกงสือเยวียนถูกวางยาพิษโดยบังเอิญ นั่นทำให้เขาได้พบเจอกับซูหว่านเหนียงที่ขายยาถอนพิษอยู่ในเมืองฮ่วน ยามนั้นลูกน้องของเขาให้ข้าวครึ่งกระสอบแลกกับยาถอนพิษ
เป็นไปไม่ได้ที่หนานกงสือเยวียนจะพาสตรีไปสนามรบที่เขตชายแดนด้วยกัน เขาจึงทิ้งเงินก้อนหนึ่งเอาไว้ให้แก่ซูหว่านเหนียงเช่นเดียวกับอาหารและป้ายประจำตัว ก่อนที่ตนเองจะจากมา
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ความสัมพันธ์เพียงคืนเดียวกลับทำให้ซูหว่านเหนียงตั้งท้องได้สำเร็จ และนางก็ให้กำเนิดองค์หญิงเพียงองค์เดียวในราชวงศ์เซี่ยของเขา
ซูหว่านเหนียงเป็นผู้ให้กำเนิดองค์หญิงเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ ตกกลางคืน นางร้องขอที่จะนอนกับท่านพ่ออีกครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธ เด็กหญิงนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายตลบ แต่กลับนอนไม่หลับ
เสี่ยวเป่าเม้มปาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาสดใสจ้องมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนอันเงียบสงบ
คืนแรกนางนอนหลับ เพราะได้นอนกับท่านพ่อ
แต่คืนนี้นางนอนไม่หลับแล้ว…
นางคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน
เสี่ยวเป่าใช้ดวงตากลมโตทอดมองไปไกล ก่อนจะกอดหมอนแล้วปีนลงจากเตียงหลังใหญ่
เด็กน้อยเปิดประตูออกเบา ๆ แต่เพิ่งจะย่องเท้าออกไปเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงชุนสี่ดังขึ้นว่า
“องค์หญิงจะไปไหนเพคะ?”
เสี่ยวเป่ากอดหมอนในอ้อมแขนอย่างรู้สึกผิด ตอบเสียงอ่อยว่า
“สะ…เสี่ยวเป่าอยากไปหาท่านพ่อ”
ชุนสี่อ้าปากค้าง รีบย่อกายลงปลอบเด็กน้อยว่า
“ไม่ได้นะเพคะองค์หญิง ห้ามไปรบกวนฝ่าบาทเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ฝ่าบาทอาจมีโทสะได้”
เสี่ยวเป่าจ้องมองชุนสี่อย่างน่าสงสาร “แต่เสี่ยวเป่าไม่กลัวท่านพ่อ เสี่ยวเป่านอนไม่หลับ”
ชุนสี่พูดด้วยความสงสารว่า “เช่นนั้นให้บ่าวไปนอนเป็นเพื่อนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
เสี่ยวเป่าส่ายหน้า “เสี่ยวเป่าอยากนอนกับท่านพ่อ”
เสียงของเด็กหญิงสั่นเครือ เหมือนกับว่าพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ เสียงนี้ย่อมทำให้ผู้คนใจอ่อนได้สำเร็จ แต่ว่า…
นั่นคือหนานกงสือเยวียนเชียวนะ
เมื่อนึกถึงตอนฝ่าบาทฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา หาได้มีเพียงชุนสี่เท่านั้น แม้แต่กลุ่มขันทีที่คอยรับใช้หนานกงสือเยวียนมานานหลายปีก็ยังไม่กล้ารบกวนเขาเลยด้วยซ้ำ
หากองค์หญิงน้อยไปรบกวนฝ่าบาทตอนนี้ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ
เมื่อไม่สามารถไปหาท่านพ่อได้ เด็กหญิงจึงเดินกลับด้วยความไม่พอใจ ชุนสี่เดินตามเข้าไป คอยนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างเตียง
เสี่ยวเป่าแกล้งหลับจนดึกสงัด พอชุนสี่หลับไปถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
หวานหมู…
หัวใจของนางนึกถึงแต่ท่านพ่อ ต่อให้นางง่วงเพียงใด เด็กน้อยก็ไม่ยอมนอน
เสี่ยวเป่าอ้าปากหาว แอบลงจากเตียงเงียบ ๆ นางไม่สวมรองเท้า เพราะเดินเท้าเปล่าเงียบเสียงกว่า
ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดมาหยุดยั้งเสี่ยวเป่าอีกแล้ว เด็กหญิงเดินกอดหมอน ออกไปตามหาท่านพ่อด้วยเท้าเปล่า
ในตำหนักฉินเจิ้งไม่มีองครักษ์ เสี่ยวเป่าเดินมาถึงประตูแล้ว จึงสามารถเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อพบว่าเทียนไขด้านในยังจุดอยู่ นางก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าพอไปถึงประตูห้องบรรทม เท้าของนางก็สะดุดเข้ากับธรณีประตู ร่างเล็กล้มลง หมอนกระเด็นหลุดจากมือ
เสี่ยวเป่า “ฮือออออออ”
เด็กน้อยผู้น่าสงสารลุกขึ้นพร้อมกับน้ำตาไหลพราก
รองเท้าหนังคู่หนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้านาง เสี่ยวเป่าสูดจมูกฟืดใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามอง
แสงสว่างจากเทียนไขมืดสลัว เห็นเพียงร่างของบุรุษหน้าตาหล่อเหลา เรือนผมสีดำสนิท ใบหน้าเย็นชากำลังจ้องมองมาที่เสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่ารู้สึกผิดเมื่อได้พบท่านพ่อ น้ำตาไหลลงอาบแก้มอีกครั้ง
“ฮึก… ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเจ็บ”
นางยกมือขึ้นพลางเอ่ยเสียงอ่อย
นัยน์ตาของหนานกงสือเยวียนเหลือเพียงความลึกล้ำ เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เสี่ยวเป่าสูดลมหายใจ ดวงตาแดงก่ำราวกับกระต่ายน้อย
“เสี่ยวเป่านอนไม่หลับ เสี่ยวเป่าอยากมาหาท่านพ่อ”
ทว่าเขาเพียงดึงเสี่ยวเป่าลุกขึ้นยืน ก็หมุนตัวเดินออกไป
เสี่ยวเป่าเดินตามไปพร้อมกับตะโกนเรียกว่า
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าขอนอนกับท่านพ่อได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ท่านพ่อ ทำไมท่านพ่อยังไม่นอนอีก หรือท่านพ่อรู้ว่าเสี่ยวเป่าจะมาหา?”
“ท่านพ่อ…”
หนานกงสือเยวียน “เงียบได้แล้ว”
เสี่ยวเป่าเงียบเสียงอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เดินตามท่านพ่อไปอย่างกระตือรือร้น
นางเดินตามไปถึงข้างเตียงนอนของท่านพ่อ จ้องมองเขาหยิบขวดแก้วขนาดเล็กออกมาจากตู้เก็บ
หนานกงสือเยวียนนั่งลงบนเตียงแล้วมองมาที่เด็กน้อย
“มานี่สิ”
ดวงตาของซูเสี่ยวเป่าเป็นประกาย นางรีบวิ่งเข้าไปหาท่านพ่ออย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ”
เสี่ยวเป่าเข้าไปหาท่านพ่ออย่างระมัดระวัง สายตาเต็มไปด้วยความผูกพันและเคารพเลื่อมใส
หนานกงสือเยวียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะจับแขนของเสี่ยวเป่าแล้วถกแขนเสื้อของเด็กน้อยขึ้น เห็นรอยช้ำที่ข้อศอกของนางได้อย่างชัดเจน
เสี่ยวเป่ามีผิวขาวผ่อง แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้เด่นชัด
หนานกงสือเยวียนเปิดขวดแก้วออก เทผงสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา
“นี่คือบัวหิมะ มีกลิ่นหอม ช่วยรักษาอาการอักเสบ มีส่วนผสมของใบป้อเหอ รากซานฉี ใบไป่จี๋…”
เมื่อจมูกได้กลิ่นส่วนผสมของตัวยาที่อยู่ในขวดแก้ว เสี่ยวเป่าก็พูดออกมาเบา ๆ
หนานกงสือเยวียนหยุดชะงัก หรี่ตาลงเล็กน้อย “ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้า?”
เสี่ยวเป่ามองท่านพ่อด้วยความสงสัย “แค่ดมกลิ่นก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนนางจะไม่ได้โกหก และนี่ยิ่งน่ามหัศจรรย์มากขึ้นไปอีก
สมุนไพรเหล่านี้ได้รับการปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อถูกนำมาต้มจนเป็นกอเอี๊ยะก็จะสูญเสียกลิ่นที่พึงมีไปหมด ทว่านางต้องจมูกดีเพียงใดถึงสามารถดมกลิ่นสมุนไพรเหล่านั้นได้ทั้งหมด ที่สำคัญนางยังสามารถระบุประเภทของพวกมันได้อีกด้วย