เกือบ800ปีแล้วที่ลูซีหยูจากไปหลังจากสร้างเอลฟ์ ความเร่งของเวลาก็ค่อยๆลดลงเหลือประมาณ4000เท่าของปกติ มันอาจจะแค่12เดือนบนโลกแต่ในโลกของมาเรียหลายสิบราชวงศ์ได้เพิ่มขึ้นและลดลง แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่อายุยืนยาวที่สุดอย่างเอลฟ์รุ่นแรกก็เข้าสู่ปีสุดท้ายของพวกมัน

มันเกือบจะ15,000ปีแล้วตั้งแต่ออร์คได้กำเนิดและ12,000ปีนับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้กำเนิด กว่าหนึ่งพันปีของการพัฒนา เนื่องจากมีการค้าจำนวนมากควบคู่ไปกับการกำเนิดของศาสนาและเผ่าพันธุ์อัศวิน การแบ่งชนชั้นรวมถึงคนรวยและคนจนก็กว้างขึ้น อารยธรรมในยุคแรกก็ค่อยๆเลื่อนหายไป บนทวีปเอเลนก็ประเทศหลากหลายขนาด ตลอดการแบ่งแยกและการรวมกันอย่างต่อเนื่องทำให้ดินแดนของมนุษย์และออร์คค่อยๆขยายออกไป

ทั้งสองเผ่าพันธุ์ขยายออกไปด้านนอกจากศูนย์กลางของทวีป มีร่องรอยของมนุษย์และออร์คอยู่ทั่วทุกมุมของทวีป พวกมนุษย์และออร์คได้พัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้นเมื่อพวกเค้าย้ายจากยุคชนเผ่าไปยุคของอาณาจักรและเมือง ในที่สุดเหล็กก็ค่อยๆเข้ามาแทนที่ทองแดง ทั้งสองเผ่าพันธุ์ยังเพิ่มอัตราการขุดเหมืองแร่ พัฒนาโรงกลั่นเหล็กเป็นของตนเอง

ดาบเหล็กและชุดเกราะถูกใช้เป็นอาวุธ จอม พลั่ว เสียบที่ทำจากเหล็กได้ถูกนำมาใช้การเกษตร กองทัพที่ทรงพลังก็เริมปรากฏขึ้นประเทศเหล่านี้สั่งให้พวกทาสจำนวนมากไปรวบรวมแร่เหล็ก โลกได้เข้าสู่ยุคเหล็กอย่างเป็นทางการ!

มีการทำฟาร์มมากขึ้นบนที่ดิน ทักษะการทำฟาร์มของชาวสวนได้พัฒนาขึ้น ศิลปะก็เจริญรุ่งเรืองเช่นกัน เหรียญโลหะกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ลูซีหยูเฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทวีปเอเลนผ่านthe Scroll of the World และรู้สึกทึ่ง ตอนนี้อารยธรรมในทวีปเอเลนมีลักษณะคล้ายกับอารยธรรมของโลกประมาณ500ปีก่อนคริสตกาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์อัศวินจำนวนมากที่ความสามารถในยีนได้ถูกบปลุกขึ้นได้สร้างเผ่าที่ทรงพลังเช่นเดียวกับศาสนา ความสามารถของพวกเค้าไม่มีข้อจำกัด ความสามารถมากมายถูกสร้างขึ้นจากเทคนิคการใช้ดาบและการผสมยีนของพวกเค้า ผู้ชายและผู้หญิงที่ทรงพลังจำนวนมากส่งผ่านความสามารถของพวกเค้าไปสู่รุ่นลูกผ่านยีน

สิ่งที่ทำให้ลูซีหยูประหลาดใจก็คือเผ่าพันธ์อัศวินนั้นถูกสร้างขึ้นแม้กระทั่งในอารยธรรมของออร์ค กว่าพันปีที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ทั้งสองจับเผ่าพันธุ์อื่นๆมาทำเป็นทาส พวกเค้าต่อสู้กันเองและในขณะเดียวกันการต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดเลือดผสมในอารยธรรมออร์คและอนุญาตให้สร้างอัศวินออร์คที่สามารถปลุกความสามารถทางสายเลือดของพวกเค้า นอกจากนี้ออร์คบางตัวยังปลุกพลังของสัตว์โบราณที่อยู่ในยีนของพวกเค้า เพราะพวกออร์คมักจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ อัศวินออร์คจึงดูเหมือนว่าจะมีพลังมากยิ่งกว่าในการต่อสู้

ลูซีหยูเดินผ่านทวีปเอเลนสวมเสื้อคลุมและสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของทวีป ผู้คนต่างก็สวมเสื้อผ้า เสื้อผ้าของพวกเค้าเริ่มพัฒนา ในพื้นที่ต่างๆบนทวีปผู้คนเริ่มพัฒนาวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาหารของพวกเค้าก็มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรากฏตัวของศิลปิน สถาปนิก ประติมากร จิตรกร และนักดนตรีมากมาย ออร์คอยู่เบื้องหลังการพัฒนาทางวัฒนธรรม พวกเค้าเชี่ยวชาญในการต่อสู้ การปรับแต่งวัสดุรวมไปถึงเทคโนโลยีในการตีเหล็ก

ในที่สุดลูซีหยูก็มาถึงขอบมหาสมุทร มนุษย์และออร์คได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ทะเลเช่นกัน พวกเค้าเริ่มสร้างเรือง่ายๆและจับปลาในที่ตื้นซึ่งมีลูกของปลาที่ลูซีหยูที่นำมาในตอนแรก ตอนนี้มีปลาหลายชนิดในมหาสมุทรรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ปะการัง ปลาดาว และแมงกะพรุน สิ่งเดียวที่น่าเสียใจคือไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ในมหาสมุทรเลย ลูซีหยูรู้สึกว่ามหาสมุทรไม่ได้มีชีวิตตามชื่อของมัน มันจะถูกเรียกว่าโลกแฟนตาซีได้อย่างไรถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หรือสัตว์ประหลาดในทะเล?

ลูซีหยูเดินไปตามชายหาดและดูชาวประมงบนชายฝั่ง “มนุษย์และออร์คเริ่มมาติดต่อกับมหาสมุทร บางทีในอีกไม่กี่ร้อยหรือพันปีพวกเค้าก็จะเริ่มการเดินทางเพื่อพิชิตทะเล!”

ลูซีหยูมองไปที่มหาสมุทรและขมวดคิ้วของเค้า “มหาสมุทรรู้สึกน่าเบื่อเกินไป มันจะไม่ยากและน่าตื่นเต้นพอที่จะไปพิชิต!”

หลังจากเสร็จสิ้นการสังเกตของเค้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของทวีปเอเลน ลูซีหยูก็ไปที่ยาลาทันทีผ่านประตูมิติ ป่าฝนนิรนามที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อว่า ป่าแห่งชีวิต

เอลฟ์เป็นสายพันธุ์ที่โชคดีที่ลูซีหยูให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับมนุษย์และออร์ค เอลฟ์มีความได้เปรียบมากกว่า พวกมันเกิดมากมีชีวิตที่ยืนยาว รูปร่างหน้าตาที่สวยงาม และฉลาดเป็นพิเศษ ลูซีหยูยังให้คุณสมบัติการถ่ายทอดพันธุกรรมทางยีนซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ นอกเหนือจากการมีลูกยากพวกมันจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ

เอลฟ์เกือบหนึ่งแสนตัวอาศัยอยู่ในป่าแห่งชีวิต พวกเอลฟ์ทุกตัวอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ความฉลาดเป็นพิเศษของพวกมันและสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบช่วยให้พวกมันพัฒนาแตกต่างจากมนุษย์และออร์ค พวกมันสร้างภาษาที่สวยงาม พวกมันสร้างพิณที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกมันเอง ดนตรีกลายเป็นที่นิยมไปทั่วอาณาจักรของเอลฟ์ วกมันมีช่างแกะสลักและจิตรกร และพวกมันยังสร้างดาบลองซอร์ดและลูกศร จะเห็นได้ว่าพวกเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่บูชาและรักศิลปะทุกแขนง

อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆนี้สภาพแวดล้อมก็เริ่มเปลี่ยนไป ความกลัวแพร่กระจายไปทั่วโลกของเอลฟ์ นี่เป็นเพราะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้เหี่ยวแห้ง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดเอลฟ์นับไม่ถ้วนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำความหวังและศรัทธาของเหล่าเอลฟ์กำลังเข้าสู่ปีสุดท้ายพร้อมกับพวกเอลฟ์รุ่นแรก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้นไม้แห่งชีวิตไม่สามารถรับเอลฟ์ใหม่ๆได้ พวกเอลฟ์ไม่สามารถกอบกู้สิ่งนี้ได้

ผู้เฒ่าผู้แก่ยังคงสืบสวนหาสาเหตุการเหี่ยวแห้งของต้นไม้แห่งชีวิตเช่นเดียวกับวิธีที่จะช่วยมัน พวกมันได้ลองหลายวิธี อธิฐานกับพระเจ้าแต่เหมือนจะไม่มีประโยชน์ แม้ว่าต้นไม้จะดูแข็งแรงและมีสุขภาพดีแต่เอลฟ์ทุกตัวก็รู้สึกว่ามันกำลังจะตายอย่างช้าๆ นี้ได้นำทางไปสู่การโต้เถียงอย่างดุเดือดระหว่างผู้เฒ่า การสูญเสียต้นไม้แห่งชีวิตคล้ายกับเอลฟ์ทุกตัวสูญเสียสถานที่ที่พวกเค้าสามารถพึ่งพิงได้

พวกเอลฟ์ได้แบ่งออกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าพวกเอลฟ์ควรอยู่ในป่าตลอดและปกป้องต้นไม้แห่งชีวิตในขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าพวกมันควรขยายและออกไปสำรวจโลกภายนอก ในตอนนี้ฝ่ายที่ยืนยันว่าจะอยู่กับต้นไม้แห่งชีวิตได้รับความนิยมมากกว่า ต้นไม้แห่งชีวิตที่ร่วงโรยเป็นสาเหตุของการปะทะกันระหว่าง2ฝ่าย

ลูซีหยูเดินเข้าไปในป่า เค้าเห็นพวกเอลฟ์จำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในบ้านต้นไม้พร้อมกับธนูและลูกธนูเพื่อรอเหยื่อ เค้าเดินผ่านกระท่อมขนาดใหญ่และผ่านหมู่บ้านเล็กๆก่อนที่จะมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเอลฟ์ เดิมทีที่นี้เป็นหุบเขาและกลายเป็นป่าใหญ่ พวกเอลฟ์สร้างเมืองรอบๆทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์และต้นไม้แห่งชีวิต

เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นบนหน้าผา ไม่มีกำแพงเมืองและหลายอาคารถูกแกะสลักจากหิน อาคารและต้นไม้ถูกพันเข้าด้วยกันและเป็นเอกลักษณ์ ลูซีหยูเห็นสะพานน้ำพุและบันไดเวียนหลายแห่ง ด้านหลังเมืองมีหอคอยที่เหมือนใครและมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเอลฟ์จำนวนมาก พวกมันใช้เวลาทั้งวันไปกับการเล่นพิณ ร้องเพลง และทำตามที่ใจต้องการ ชีวิตอันยืนยาวและสงบสุขของพวกมันทำให้พวกมันมีเวลามากพอที่จะทำทุกอย่างตามที่พวกมันต้องการ