ตอนที่ 17 ฉันไม่กินผักชี

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 17 ฉันไม่กินผักชี

มู่เถาเยาใช้เวลาทั้งวันที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูอย่างมีความสุข

เมื่อเฉิงอันนั่วมารับเธอกลับจากมหาวิทยาลัย เขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ดีของเธออย่างชัดเจน

แม้ว่าการแสดงออกของอีกฝ่ายจะยังเหมือนกับปกติ แต่เฉิงอันนั่วรู้สึกได้ว่ารัศมีที่ไหลวนเวียนอยู่รอบตัวของอาจารย์อาเล็กของเขานั้นค่อนข้างมีความสุขและน่าพอใจ

“อาจารย์อาเล็ก วันนี้คุณดูมีความสุขมากเลยนะครับ”

มู่เถาเยาเลิกคิ้วที่เรียวงามของเธอเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ผมรู้สึกได้ครับ เป็นเด็กสาวก็ควรที่จะมีความสุขมากกว่านี้สิ”

อาจารย์ปู่ตัดสินใจได้ถูกต้องจริงๆ ที่ให้อาจารย์อาเล็กได้มาสัมผัสกับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน เพียงแค่หนึ่งวันสั้นๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเธอได้ขนาดนี้ ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ทัศนคติของเธอราวกับยายแก่ที่ผ่านโลกมาแล้วร้อยกว่าปี

เมื่อก่อนตอนที่เขาไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานเพื่อไปเยี่ยมอาจารย์ปู่และอาจารย์อาเล็กของเขา เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าอาจารย์อาเล็กนั้นไร้อารมณ์ เธอไม่ได้มีความสุขหรือเศร้า และยิ่งไม่มีความมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างที่เด็กสาวทั่วไปควรจะเป็น

แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกถึงความแตกต่างที่เล็กน้อยนั้นได้แล้ว

ดีจริงๆ !

เฉิงอันนั่วหารู้ไม่ว่ามู่เถาเยานั้น ‘จงใจ’ แสดงออกเช่นนี้เพื่อให้เขาเห็น เพื่อที่เขาจะได้นำ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ในตัวเธอไป ‘รายงาน’ ต่อศิษย์พี่ใหญ่ได้อย่างสะดวก ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องนำกิจวัตรประจำวันของเธอไปรายงานต่อให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียดแน่นอน แบบนี้ก็ดีอาจารย์ทั้งสองคนและอาจารย์แม่เล็กจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานมาตลอดสิบแปดปีเต็ม และแม้ว่าเธอจะเคยออกไปข้างนอกพร้อมกับอาจารย์ทั้งสองบ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเพียงลำพัง ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้นสองสามเดือนแรก แน่นอนว่าอาจารย์ทั้งสองคนและอาจารย์แม่เล็กย่อมต้องรู้สึกเป็นกังวลไม่มากก็น้อย

ผู้เฒ่าทั้งสามคนแก่มากแล้ว เธอจะทำให้พวกเขากังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเรื่องของตัวเองได้ยังไง

“อาจารย์อาเล็ก พ่อแม่ผมขอให้ผมมารับคุณกลับบ้านเพื่อไปทานอาหารเย็นด้วยกันวันนี้ แม่เตรียมเมนูปลาต้มพริกที่คุณชอบเอาไว้ด้วย” หลี่อวี้เสวี่ยแม่ของเขามาจากเซียงตูและอาหารจานเด็ดของเธอก็คือปลาต้มพริกสไตล์เซียงตู

“ตกลง และก็ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปไม่ต้องมาคอยรับส่งฉันแล้วนะ มันไม่ได้ไปทางเดียวกัน” อยู่คนละคณะกัน เส้นทางที่ใช้กลับบ้านก็ย่อมแตกต่าง

“อาจารย์อาเล็ก ให้ผมช่วยสมัครโรงเรียนสอนขับรถสำหรับกะดึกให้ไหม หรือว่าเอาเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ดี?”

“เอากะดึก” ยังไงซะเธอก็ขับรถเป็นแล้ว

ในบางแง่มุม มู่เถาเยารู้สึกว่าสังคมที่มีอารยธรรมนี้ไม่ค่อยสะดวกเหมือนตอนอยู่แผ่นดินจงโจว

เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แล้ว แต่ก็ยังต้องกรอกแบบฟอร์มดำเนินการให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนซึ่งเป็นอะไรที่เสียเวลามาก

“อาจารย์อาเล็ก ทั้งที่คุณสามารถเข้าเรียนระดับปริญญาเอกได้โดยตรงเลย แต่ทำไมถึงเลือกเข้าเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งล่ะ”

“ของบางอย่างที่สดใหม่น่าสนใจ มีแต่เอาตัวเองเข้าไปสัมผัสเท่านั้นถึงจะรู้” ความกระตือรือร้นและทัศนคติของนักศึกษาใหม่กับนักศึกษาระดับปริญญาเอกย่อมแตกต่างกัน

เฉิงอันนั่วมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของมู่เถาเยาและถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์อาเล็ก มีอะไรที่คุณไม่ชอบบ้างหรือเปล่า”

มู่เถาเยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันไม่ชอบกินผักชี?”

ถึงคนเขาจะพูดว่า หากกินปลาต้มพริกแล้วไม่ใส่ผักชีจะถือว่าปลาต้มพริกถ้วยนั้นไม่มีจิตวิญญาณ แต่เธอก็ยังเกลียดการกินผักชีอยู่ดี!

เฉิงอันนั่วปล่อยเสียงหัวเราะดังก๊ากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“อาจารย์อาเล็กผู้กินได้ทุกอย่างแม้แต่ทุเรียนกับเต้าหู้เหม็น แต่ทำไมถึงไม่ชอบกินผักชีล่ะครับ”

“บางที…กลิ่นนั้นอาจไม่ถูกโฉลกกับฉัน”

“โอเคครับ”

“อาจารย์อาเล็ก คุณวางแผนว่าจะเป็นหมอในโรงพยาบาลในอนาคต หรือว่าอยากไปทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสาขานิติเวชศาสตร์?”

“ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”

เธอยังไม่ได้ตัดสินใจ

แต่ไม่ว่าจะทำงานในโรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกัน การเริ่มเข้างานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นก็เป็นอะไรที่เสียเวลามาก!

“พ่อของผมอยากให้คุณรับช่วงต่อสำนักแพทย์โบราณ”

“นายรับไป”

ไม่ว่าจะเป็นสำนักแพทย์โบราณของอาจารย์ใหญ่หรือว่าสำนักศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์เล็กเธอก็ไม่ต้องการรับช่วงต่อทั้งนั้น

ชาติที่แล้วตอนที่จำเป็นต้องนั่งตำแหน่งจักรพรรดินี เหนื่อยแทบขาดใจแค่ไหนเธอยังจำได้ขึ้นใจ

ในชาตินี้ เมื่อไม่ต้องแบกภาระไว้บนบ่าและไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดอีกต่อไป เธอไม่คิดจะหาเหาใส่หัวเป็นอันขาด

เมื่อเป็นหน้าที่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบ

เฉิงอันนั่ว “…อาจารย์อาเล็ก ทักษะทางการแพทย์ของผมด้อยกว่าคุณมาก”

“ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม นายอายุยังน้อย” ใครอยากจะรับก็รับไป เธอไม่คิดจะรับเด็ดขาด!

สองศิษย์อาหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องทักษะทางการแพทย์ด้วยวิธีนี้เอง

ส่วนใหญ่เป็นเฉิงอันนั่วที่ถาม และมู่เถาเยาตอบ

ปกติมู่เถาเยาไม่ชอบพูดมาก แต่เธอมักจะตอบคำถามอย่างอดทนเสมอ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็มาถึงหน้าบ้านตระกูลเฉิงที่อยู่ทางตอนใต้ของเมือง

สมาชิกในครอบครัวของตระกูลเฉิงนั้นเรียบง่ายมาก

เฉิงหรานเป็นลูกชายคนเล็กของนายท่านเฉิง โดยปกติแล้วนายท่านเฉิงกับแม่เฒ่าเฉิงซึ่งอยู่ในวัยแปดสิบกว่าปีมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวของเฉิงซินลูกสาวคนโตที่วิลล่าทางทิศตะวันออกของเมืองมากกว่า ดังนั้นที่บ้านตระกูลเฉิงเวลานี้จึงมีเพียงสมาชิกในครอบครัวของเฉิงหรานอาศัยอยู่เพียงสามคนเท่านั้น

เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกัน หลี่อวี้เสวี่ยที่สวมผ้ากันเปื้อนอยู่ก็รีบวิ่งออกมาจากห้องครัว และเมื่อเธอเห็นมู่เถาเยา ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความรัก

“เยาเยา รีบไปล้างมือเร็วเข้า ฉันเตรียมอาหารจานโปรดของเธอไว้แล้ว”

“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”

“เด็กคนนี้นี่ บอกแล้วไงว่ากับฉันไม่ต้องพูดจาเกรงใจกัน”

มู่เถาเยาหัวเราะเบาๆ

กลิ่นของปลาต้มพริกกระตุ้นความอยากอาหารของเธอและเธอก็เพิ่มข้าวมากกว่าปกติถึงหนึ่งชาม

รอยย่นที่เกิดจากเสียงหัวเราะของเฉิงหรานและหลี่อวี้เสวี่ยเห็นได้ชัดเจนขึ้น

“เยาเยา ถ้าเธอชอบทานอาหารที่ฉันทำก็มากินที่นี่ทุกวันเลยสิ ฉันจะทำของโปรดของเธอไว้รอ หรือไม่ ให้ฉันไปทำให้เธอกินที่บ้านก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่สะใภ้ กว่าจะขับรถจากที่นี่ไปถึงทางตอนเหนือของเมืองก็ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น”

เฉิงหราน “งั้นทำไมเธอไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลยล่ะ อันนั่วจะได้ไปรับเธอกลับมาด้วยกันทุกวัน”

มู่เถาเยาส่ายหัว “ศิษย์พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวหรอก”

แน่นอนว่ารสปากไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่คนเดียว

หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มหนำและดื่มชาที่บ้านตระกูลเฉิงไปอีกหนึ่งกาใหญ่ มู่เถาเยาก็ขอให้เฉิงอันนั่วขับรถไปส่งเธอกลับเรือนอุ่นรัก

เฉิงหรานมองไปที่ท้ายรถยนต์และพูดด้วยอารมณ์ “เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องหญิงเล็กของฉันเพิ่งจะอายุสิบแปดปี แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธอแก่กว่าอาจารย์เสมอ”

หลี่อวี้เสวี่ยหัวเราะ “เยาเยาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับอาจารย์ทั้งสองคน แต่น่าแปลกที่อารมณ์ของเด็กคนนี้กลับยังมีชีวิตชีวาสู้ชายชราสองคนไม่ได้เลย ฉันมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าในใจของเธอมีบางอย่างซ่อนอยู่ แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้! เด็กสาวอายุสิบแปดปีคนหนึ่งจะมีเรื่องราวมากมายขนาดนั้นซ่อนอยู่ในใจของเธอได้ยังไง”

“ในหมู่บ้านเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่ทำไมถึงสร้างนิสัยแบบนี้ขึ้นมาได้นะ ดูอย่างยัยเด็กมู่หว่านจากครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านนั่นสิ ไม่ใช่ว่าเธอก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็กกับเยาเยาไม่ใช่หรือไง ทว่านิสัยใจคอของเด็กสองคนกลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว”

เฉิงหรานคิดไม่ตก

“เป็นไปได้ไหมว่า…เธออาจเหมือนกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ”

“ไม่รู้ว่าพ่อแม่แบบไหนกันที่สามารถให้กำเนิดลูกสาวที่มีพรสวรรค์อย่างน่าทึ่งแบบนี้ อ้อ ลืมไป พวกเขาได้ทิ้งเยาเยาไปแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่นับเป็นอะไรอีกสำหรับพ่อแม่แบบนี้ จากนี้ไปเราแค่ปฏิบัติต่อศิษย์น้องหญิงเล็กเหมือนเป็นลูกสาวตัวน้อยของเราก็พอ”

หลี่อวี้เสวี่ยพยักหน้า

ก่อนหน้านี้เพราะนโยบายของรัฐบาลทำให้คู่สามีภรรยาสามารถมีลูกได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น และเธอก็รู้สึกเสียใจมาโดยตลอดที่ไม่สามารถมีลูกสาวได้ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีศิษย์น้องหญิงเล็กตกลงมาจากฟ้ามาเป็นลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา!

บ้านเดิมของหลี่อวี้เสวี่ยอยู่ที่เมืองเซียงตูซึ่งห่างไกลจากเมืองเย่ว์ตูพอสมควร ต่อให้เธอมีหลานสาวมาให้เธอเอ็นดูนั่นก็อยู่ห่างไกลเกินไป นับประสาอะไรกับความจริงที่ตอนนี้เธอยังไม่มีเลย

“เฉิงหราน ถ้าเยาเยาไม่มากินข้าวที่นี่พรุ่งนี้ หลังเลิกงานแล้วพวกเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกดีไหม ถือโอกาสซื้อของกินติดไม้ติดมือไปส่งให้เยาเยาที่บ้านด้วย”

หลี่อวี้เสวี่ยได้โอกาสแสดงบทบาทคุณแม่อย่างเต็มที่ รอบกายเธอปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งความรักของมารดา และแววตาของเธอก็เอ่อล้นไปด้วยความรักและเอ็นดูทั้งหัวใจ

“ตกลง”

ระหว่างทางกลับบ้าน มู่เถาเยาไม่รู้เลยสักนิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเธอและภรรยากำลังคุยกันว่าเสื้อผ้ายี่ห้อใดที่เหมาะกับนิสัยใจคอของเธอ และหนังสือเล่มไหนที่สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้

“จริงสิ อวี้เสวี่ย เธอว่าถ้าฉันไปขอยืมหนังสือจากนายน้อยคนนั้นที่มาจากเมืองหลวงเพื่อให้เยาเยาอ่าน เขาจะเต็มใจให้ฉันยืมหรือเปล่า”

“นี่…ไม่น่าเป็นไปได้มั้งคะ อุปนิสัยของนายน้อยคนนั้น…ไม่น่าจะเป็นมิตรขนาดนั้น”

พูดถึงนายน้อยคนนั้นที่มาจากเมืองหลวง แม้เธอจะไม่เคยพบหน้าเขามาก่อน แต่จากการพูดคุยกับเฉิงหรานที่เขามักจะกลับมาปรึกษากับเธอทุกครั้งหลังไปตรวจโรคให้อีกฝ่าย ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผู้เป็นสามีจะไม่บ่นอุบเกี่ยวกับอารมณ์ที่ยากจะจัดการของเขาคนนั้น

“อวี้เสวี่ย ฉันยังไม่เคยบอกเธอเกี่ยวกับสถานะของนายน้อยคนนั้นใช่หรือเปล่า เขาเป็น…”

หลี่อวี้เสวี่ยขัดจังหวะเขา “สิ่งที่ไม่ควรถามฉันจะไม่ถามและคุณไม่จำเป็นต้องพูดด้วย สำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมีสถานะอะไรหรือสำคัญมากแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงคนไข้ของคุณ”

“ใช่” สถานะของนายน้อยคนนั้นยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี