ตอนที่ 20 เขียนบทความ

ตอนที่ 20 เขียนบทความ

ฉินอวิ๋นเฮ่อได้ยินคำพูดของหลานสาว จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ได้อยู่แล้ว ทำไมอยู่ ๆ ถึงนึกขึ้นได้แล้วอยากจะดูขึ้นมาล่ะ?”

เข็มทองชุดนั้นสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลฉิน เพียงแต่ว่าหลังจากได้ส่งต่อให้เขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้งานสักเท่าใด เนื่องจากเทคนิคการฝังเข็มของตระกูลฉินได้สูญหายไปตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของเขา

“คุณปู่คะ หนูเข้าเมืองไปในครั้งนี้แล้วได้ไปเจอโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนที่หนึ่ง ที่นั่นมีหมอซ่งที่ทักษะยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้เขายังฝังเข็มได้ด้วย หนูก็เลยคิดว่าหากอยากลองเรียนดูเสียหน่อยจะเป็นไปได้ไหม”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าของฉินอวิ๋นเฮ่อก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“หลานอยากเรียนฝังเข็มอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินมู่หลานพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย “ใช่ค่ะ หนูคิดว่าการฝังเข็มเป็นทักษะวิชาที่เยี่ยมยุทธ์ยิ่งนัก”

“แน่นอนว่ามันเยี่ยมยุทธ์”

ดวงตาของฉินอวิ๋นเฮ่อฉายแววคะนึงหา “วิชาการฝังเข็มของตระกูลฉินพวกเรานั้นเยี่ยมยุทธ์มาก สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ในยามวิกฤติ แต่น่าเสียดาย…ที่มันหายสาบสูญไปเสียแล้ว”

ฉินมู่หลานเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน

เพียงคำพูดไม่กี่คำเกี่ยวกับวิชาการฝังเข็มของตระกูลฉินก็ทำให้รู้ว่าเทคนิคการฝังเข็มของตระกูลฉินเยี่ยมยุทธ์เพียงใด ทว่าน่าเสียดายที่มันหายสาบสูญไปเสียแล้ว คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากวิชาฝังเข็มทองได้รับการสืบสานต่อไป แม้เธอจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการฝังเข็ม แต่ก็อยากเรียนรู้วิชานี้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาเข้าไปในเมืองจะได้ทำการฝังเข็มให้กับเจี่ยงสือเหิงได้

“คุณปู่คะ ถึงเทคนิคการฝังเข็มของตระกูลฉินเราจะหายสาบสูญไปแล้ว แต่เรียนรู้การฝังเข็มแบบอื่นเอาไว้สักนิดก็คงจะดีค่ะ”

ฉินอวิ๋นเฮ่อได้ฟังเช่นนั้น จึงมองไปยังฉินมู่หลานแล้วเอ่ยออกมาอย่างสุขใจ “หลานมีใจรักอยากจะเรียนรู้นั้นนับเป็นเรื่องดีแล้ว”

เอ่ยจบก็หยิบชุดเข็มทองออกมากล่องไม้ พลางส่งมอบให้กับฉินมู่หลานอย่างระมัดระวังพลางกล่าวว่า “เข็มทองชุดนี้หากอยู่กับปู่คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ในเมื่อหลานอยากจะศึกษาวิชาฝังเข็ม เช่นนั้นจงศึกษาให้ดีต่อไป ขอฝากเข็มทองชุดนี้เอาไว้กับหลานด้วยนะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงมองไปที่ฉินอวิ๋นเฮ่อด้วยสายตาประหลาดใจพลางกล่าวขึ้น “คุณปู่คะ นี่…มันมีค่ามากเกินไป”

เธอเพียงแค่อยากจะยืมมันเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะขอเข็มทองชุดนี้ไปเลย

“รับไปเถอะ หลานอายุยังน้อย ยังมีโอกาสได้ศึกษา ปู่อายุมากแล้ว ศึกษาอะไรต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ”

ฉินมู่หลานหยิบเข็มทองชุดนั้นขึ้น รู้สึกราวกับว่ามันหนักเป็นพันชั่ง คนส่วนใหญ่ไม่นิยมส่งต่อมรดกในตระกูลให้กับพวกลูกสาว แต่ฉินอวิ๋นเฮ่อไม่เพียงแต่สอนทักษะทางการแพทย์ให้เท่านั้น แต่ยังมอบเข็มทองให้เธอด้วย ความรักครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกประทับใจยิ่งนัก

“คุณปู่วางใจได้เลยค่ะ หากต่อไปข้างหน้ามีคนในครอบครัวเรียนรู้ศาสตร์แพทย์แผนจีน หนูจะส่งมอบเข็มทองชุดนี้ต่อไปให้เขา”

เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินมู่หลาน ฉินอวิ๋นเฮ่อก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “ได้แต่หวัง หลานเป็นเพียงคนเดียวที่สืบทอดศาสตร์แพทย์แผนจีน ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของหลานและน้องชายหลานเองต่างไม่ได้สนใจกันเสียด้วยซ้ำ ทำได้แค่ฝากความหวังเอาไว้ที่พวกเด็กรุ่นหลังแทน”

“คุณปู่ มั่นใจได้เลยค่ะ”

ฉินมู่หลานเอ่ยอย่างหนักแน่น หลังจากนั้นจึงเอ่ยคุยเรื่องสมุนไพรทำยากับฉินอวิ๋นเฮ่อ “คุณปู่คะ โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนที่อยู๋ในเมืองต้องการรวบรวมพวกเวชภัณฑ์ ที่บ้านก็สามารถหาให้ได้ หากเป็นอย่างนั้นก็จะทำรายได้ได้มากยิ่งขึ้น”

ตอนนี้แต่ละบ้านค่อนข้างยากแค้น หากมีรายได้เสริมก็ย่อมเป็นการดี

นอกจากตระกูลฉินแล้ว ฉินมู่หลานก็วางแผนจะบอกเรื่องนี้กับทางตระกูลเซี่ยให้ทราบด้วยเช่นกัน จะได้มีทั้งสองด้านช่วยดูแล แต่จำนวนเงินก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาต้องการมากน้อยเพียงใด

หลังจากฉินอวิ๋นเฮ่อได้ฟังคำพูดของฉินมู่หลานแล้ว จึงพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ก็ดี จะได้สร้างรายได้เพิ่ม และยังปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คคนในบ้านได้ด้วย เอาไว้ปู่จะบอกคนในบ้านให้ เพียงแต่ว่า…”

เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย ฉินอวิ๋นเฮ่อก็ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “คนในครอบครัวไม่รู้จักวิธีปรุงยาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะคัดเลือกสมุนไพรได้อย่างไรกัน”

“คุณปู่คะ ก็ยังมีคุณปู่อยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ ลองสอนพวกเขาดูก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ได้ผล พอถึงเวลาที่หนูจะขึ้นเขาไป ค่อยให้ทุกคนมาด้วยกันกับหนูก็ได้ค่ะ”

ฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นว่าหลานสาวของเขายังคงคิดถึงครอบครัวของเขาหลังจากแต่งงานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลานเอ๊ย ทำหลานลำบากเสียแล้ว แต่หลานพูดคุยเรื่องเก็บสมุนไพรกับทางบ้านฝ่ายเดียวไม่ได้นะ ต้องไปบอกตระกูลเซี่ยด้วย”

“คุณปู่วางใจเถอะ หนูทราบดีค่ะ”

หลังจากแต่งงานไป หลานสาวผู้ไม่ได้เรื่องก็กลับมีวุฒิภาวะขึ้นมาก ฉินอวิ๋นเฮ่อจึงพยักหน้าด้วยความโล่งอก

ฉินมู่หลานพูดคุยกับฉินอวิ๋นเฮ่ออยู่อีกไม่นานนัก จากนั้นจึงกลับบ้านไป

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเข้าเมืองในอีกสองวัน ฉินมู่หลานจึงรีบเตรียมวัตถุดิบยาเสียแต่ตอนนี้ก่อนจะไม่ทันการณ์ หลังจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าจะลองเขียนต้นฉบับหนังสือพิมพ์ส่งอีกครั้ง

บ้านตระกูลเซี่ยมีหนังสือพิมพ์เก่า ๆ อยู่บางส่วน ฉินมู่หลานจึงลองศึกษาอ่านดูอย่างรอบคอบ การศึกษาบทความพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากเจอปากกากับกระดาษแล้ว ก็ได้ทำการเริ่มเขียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สองวันพ้นผ่านไป ฉินมู่หลานไม่แม้แต่จะก้าวออกกจากประตูเสียด้วยซ้ำ อยู่ที่บ้านพลางนั่งเขียนบทความอยู่ตลอดเวลา

เซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาอีกครั้งก็ยังเห็นเธอทำแบบนี้อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผมเห็นคุณเขียนมานานแล้ว กำลังเขียนอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ปิดบัง เอ่ยบอกไปตรง ๆ “ฉันอยากลองเขียนบทความแล้วจะลองส่งเข้าร่วมดูน่ะค่ะ หากว่ามันใช้ได้ ก็จะได้รับค่าลิขสิทธิ์”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่จึงมองฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจ พลางเอ่ย “คุณอยากจะหารายได้ใช่ไหม?”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “ใช่ หากจะมีรายได้แน่นอนว่าก็ต้องลงมือทำงาน เพราะฉันไม่ได้ออกไปทำงาน หากไม่หาวิธีสร้างรายได้ คงอยู่ไม่ไหวแน่นอน”

“อันที่จริง…คุณไม่ต้องเครียดเกินไปก็ได้นะ เงินเดือนที่ได้มาแบ่งให้แม่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำงาน แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องหารายได้เพิ่มหรอกนะ”

ฉินมู่หลานได้ฟังเช่นนั้นจึงจ้องมองเซี่ยเจ๋อหลี่มากขึ้น

ขอบอกเลยว่าเขาค่อนข้างมีน้ำใจ แต่หากเธอไม่คิดทำงานหารายได้ แล้วจะให้อยู่บ้ายเฉย ๆ ทุกวันอย่างนั้นหรือ หากต้องเป็นเช่นนั้น เธอคงทนอยู่ไม่ไหวอีกต่อไปเป็นแน่

ฉินมู่หลานจ้องมองเซี่ยเจ๋อหลี่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้วแล้วฉันชอบการเขียนเล่าเรื่องพวกพวกนี้มาก แค่อยากจะลองดูเท่านั้น หากว่ามันผ่านก็เป็นเรื่องดี”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่จึงไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอีกต่อไป

เป็นเรื่องดีหากหล่อนทำสิ่งที่อยากทำ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ผมก็เห็นคุณเขียนมาค่อนข้างนานมากแล้วนะ ทำไมไม่พักสักหน่อยล่ะ”

“ก็ได้”

อันที่จริงฉินมู่หลานเพิ่งเขียนเสร็จ จึงยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ได้เตรียมข้าวของพร้อมออกเดินทางเข้าไปในเมือง

เหยาจิ้งจือมองลูกชายของตนด้วยสายตาคิดตำหนิ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ๋อหลี่ ทำไมแกถึงไม่ไปกับมู่หลานล่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานจึงรีบเอ่ยขึ้น “แม่คะ ตอนแรกเขาก็อยากไปกับหนูค่ะ แต่หนูไปคนเดียวได้ ตัวเมืองไม่ไกลมาก หนูจะรีบกลับมาค่ะ”

“ฮึ…วัน ๆ ไม่ทำงาน ดีแต่เที่ยววิ่งไปมา”

ถึงแม้ว่าในช่วงสองวันมานี้ฉินมู่หลานจะช่วยทำอาหาร และอาหารก็รสชาติดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เมื่อเซี่ยเจ๋อน่าเห็นว่าทุกคนในครอบครัวเหมือนจะชอบฉินมู่หลานมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในใจจึงรู้สึกโกรธ

เหยาจิ้องจือหันมองลูกสาวของตนด้วยความโกรธ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แกรีบไสหัวไปทำงานกับพี่สะใภ้ของแกและคนอื่น ๆ เลยไป”

หลังจากเอ่ยเช่นนั้นจบก็หันกลับมามองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวด้วยนะ”

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานแอบปรายตามองเซี่ยเจ๋อน่าเงียบ ๆ หลังจากนั้นก็โบกมืออำลา

หลังจากที่ฉินมู่หลานมาถึงตัวเมืองแล้วก็ไม่ได้หยุดพักสักนิด ขึ้นรถมุ่งหน้าตรงไปยังเขตอำเภอทันที

หลังจากอ้อมไปอ้อมมา ฉินมู่หลานก็เจอบ้านของเจี่ยงสือเหิง บริเวณรอบบ้านไร้ซึ่งผู้คน จึงสามารถเดินเข้าไปได้เลย

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขอให้บทความผ่านพิจารณานะคะ จะได้เอามาตบหน้ายัยน้องสาว

ไหหม่า(海馬)