“ม- ไม่มีทางค่ะ!? เด็ดขาดเลย!? ช่วยคิดถึงตำแหน่งของตัวเองหน่อยสิคะ! ถ้าเกิดมีคนรู้ว่าฉันพาท่านโนอะเข้าไปในสถานที่อันตรายอย่างสลัมล่ะก็ มีหวังฉันต้องคว้านท้องตัวเองเพื่อชดใช้ได้เลยนะคะ!“

“ขอฉันบอกอะไรเธอซักอย่างนะคุโระ ถ้าเกิดไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็น มันก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“ท่านคิดว่าจะแอบลอบเข้าไปเงียบๆ งั้นเหรอคะ!? ช่วยดูสีผมของท่านเองซักหน่อยเถอะค่ะ ในโลกนี้แทบไม่มีใครที่จะเด่นสะดุดตาไปมากกว่าท่านอยู่แล้วนะคะ!”

คนคนนี้พูดเรื่องอะไรออกมากันเนี่ย

จริงๆ เลย เจ้านายของฉันเนี่ย ชอบทำอะไรไม่คิดอยู่ได้

“แค่ใส่ฮู้ดคลุมไว้ หรืออะไรแบบนั้นก็พอแล้วนี่ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ให้เธอใส่ก็เพราะการแอบเข้าไปที่นู่นที่นี่จะเป็นปัญหาทีหลังได้ แต่มันจะช่วยให้เธอเป็นที่สังเกตน้อยลงนะ”

“พ- เพราะแบบนั้น”

“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำสั่งจากเจ้านายเธอนะ พรุ่งนี้ พาฉันไปกับเธอด้วย”

“อึก”

“ได้มั้ย?”

“…ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

แต่ที่ยุ่งยากที่สุด คือเวลาท่านโนอะออกคำสั่งมา ตัวฉันเองกลับขัดขืนคำสั่งพวกนั้นไม่ได้เลยเนี่ยสิ

นับจากที่เรามาถึงเมืองนี้ นี่ก็วันที่ 6 แล้ว

ฉันกับท่านโนอะมาถึงตรงหน้าปากทางเข้าสลัม พร้อมกับชุดเสื้อฮู้ดที่ดึงมาคลุมหัวของพวกเราเอาไว้

“เข้าใจแล้วนะคะ ท่านโนอะ ฉันรู้ดีค่ะว่าพูดแบบนี้อยู่ทุกครั้งเลย แต่ได้โปรดอย่าออกห่างจากตัวฉันด้วยนะคะ โดยเฉพาะในครั้งนี้ อย่าได้ออกห่างจากฉันอย่างเด็ดขาดเลยนะคะ”

“เข้าใจแล้วน่า ฉันจะคอยอยู่ใกล้ๆ เธอ ครั้งนี้ฉันจะทำตัวให้ดีๆ มันอันตรายเกินไปนี่นะ”

“หวังเป็นอย่างยิ่งให้ท่านจะรู้สึกแบบนั้นอยู่ตลอดจริงๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ ในบรรดาสถานที่ที่ฉันตามท่านไปด้วยตลอดมาจนถึงตอนนี้ ที่นี่เป็นแดนเถื่อนไร้กฎหมายที่อันตรายที่สุดยิ่งกว่าที่เคยเลย ฉันจะพยายามปกป้องท่านอย่างเต็มที่ที่สุด แต่ถึง

อย่างไรก็ต้องขอให้ท่านระวังตัวด้วยนะคะ”

“อ้า ได้เลย”

“และ ห้ามเด็ดขาด! อย่าทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างเด็ดขาด เข้าใจนะคะ?”

“ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งเนี่ย? บอกว่าเข้าใจแล้วไงเล่า”

“ เข้า ใจ นะ คะ ”

“…อ- อือ”

ฉันย้ำเตือนท่านโนอะซ้ำแล้วซ้ำไปอีก เน้นย้ำเพื่อจะได้มั่นใจว่าท่านจะไม่เดินออกไปไหนเองอีก ก่อนที่พวกเราจะค่อยๆ เดินเข้าไปในพื้นที่ของสลัมกันอย่างระมัดระวัง

ทันทีที่เหยียบเข้าไปข้างใน ฉันก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงมาใส่ฉันได้ในทันทีเลย

“อารมณ์แง่ลบแผ่ออกมาจากทุกทิศทุกทางเลยนะ บรรยากาศหนักไปหมดเลย”

“ช่วยไม่ได้นี่คะ เหมือนเจ้าครองที่ของที่นี่จะใช้ชีวิตตามคำคม ‘ผักชีโรยหน้า’ เคยทำๆ ให้ภายนอกมองเข้ามาแล้วดูดี แต่ไม่เคยเอางบมาลงในที่แบบนี้เลยซักนิดเดียว”

“ฉันไปเจอเจ้านั่นมาเมื่อวาน เจ้านั่นก็แค่หมูอ้วนตัวเหม็นสกปรกเท่านั้นแหละ ให้คนพรรค์นั้นมาปกครองดินแดนแบบนี้มันจะดีจริงๆ น่ะเหรอ?”

“พูดแบบนั้นเป็นการสบประมาทนะคะท่านโนอะ แม้มองภายนอกจะเห็นแบบนั้น แต่หมูเป็นสัตว์ที่สะอาดและฉลาดนะคะ แถมปริมาณไขมันที่หมูมีอยู่ในร่างกายต่อน้ำหนักตัวก็ไม่ได้ต่างจากค่าเฉลี่ยของผู้ชายอะไรขนาดนั้นด้วย”

“ที่เธอว่าสบประมาทนี่ หมายถึงแบบนั้น (หมู) หรอกเหรอ?”

ระหว่างที่เราเดินกันต่อ ไม่นาน เราก็ค่อยๆ เห็นบริเวณที่กว้างขึ้นข้างหน้าพวกเรา

คนบางคนปูเสื่อฟางนอนอยู่กับพื้นในที่เปิดโล่ง ไม่มีกระทั่งร่มเงากันแดดกันฝน บางคนก็เหมือนกำลังนั่งเปิดขายแผงลอยอยู่

ร่างกายโทรมๆ กับแววตาเหมือนปลาตาย นี่แหละคือสภาพที่เราเห็นเป็นส่วนใหญ่ของคนแถวนี้ล่ะ

“ทั้งๆ ที่ห่างไปแค่ 100 เมตรข้างหลังนี่ยังเต็มไปด้วยความคึกคักแท้ๆ เลยนะ ที่นี่มันแย่สุดๆ ถ้าฉันได้ครองโลกแล้ว จะเอาที่แบบนี้ออกไปให้หมดเลย”

“แบบนั้นยอดไปเลยนะคะ”

“ฉันจะสร้างหอพักสำหรับคนไร้ที่ไป ให้อาหาร 3 มื้อต่อวัน แล้วก็ใช้ประโยชน์พวกนั้นให้เต็มที่ด้วยค่าแรงขั้นต่ำซะ เท่านี้ฉันก็ได้แรงงานจำนวนมากมายจากเงินแค่หยิบมือมาได้แล้ว”

“แล้วไหงมันถึงกลายเป็นหนทางคนชั่วแบบนั้นล่ะคะ”

เราเดินวนไปวนมาอยู่พักนึง ลองดูทุกทิศแล้ว แต่ก็ไม่เห็นใครที่มีผมสีแปลกๆ เลย

สลัมนี่มันกว้างด้วย ถึงจะเร็วเกินไปที่จะยอมแพ้ก็เถอะ แต่เหนื่อยจริงๆ เลยนะแบบนี้

“หาที่ไหนก็ไม่เจอเลยน้า~”

“นั่นสินะคะ ลองถามจากคนรอบๆ นี้ดูดีมั้ยคะ?”

“แบบนั้นก็ได้แหละนะ แต่ฉันไม่อยากโดนขอเงินค่าข้อมูลน่ะสิ”

“น่าจะเป็นแบบนั้นแน่เลยค่ะ เพราะงั้นอย่าทำเลย”

พวกเราก็ยังเดินหากันต่อ การออกหาทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยแบบนี้มันยากเอาเรื่องเลยนะ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละ

หลังจากที่ออกหากันมา 2 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่แค่เราจะไม่เจอตัวใครซักคนที่มีผมสีแปลกๆ เลยนะ แต่นี่กลับไม่เจอเลยแม้แต่เงาเนี่ยสิ

“น- เหนื่อยจัง…”

“พักกันหน่อยเถอะ คุโระ เธอเอาชาใส่กระติกมาด้วยใช่มั้ย?”

“ใช่ค่ะ เชิญเลย”

ฉันส่งกระติกหนึ่งให้ท่านโนอะ ก่อนจะเปิดกระติกของตัวเอง

“นี่หรือว่าจะไม่มีอยู่ที่นี่กันนะ ก็ ไม่ได้น่าแปลกใจหรอก ดูจากโอกาสอันน้อยนิดนี่แล้วน่ะ”

“หลังจากที่ออกตามหามาตลอด 3 ปี แต่ก็ไม่เจอใครซักคนเลย เป็นไปได้นะคะว่าที่นี่เองก็อาจจะเป็นทางตันด้วยเหมือนกัน”

หลังจากที่ดื่มชาเสร็จเรียบร้อย พวกเรา 2 คนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน แล้วก็เตรียมตัวออกค้นหากันต่อ

“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะค่ะ”

“ได้… อาระ?”

แล้วก็มีเด็กผู้หญิงคนนึงเข้ามาหาพวกเราจากทางด้านหน้า

เธอเป็นเด็กผู้หญิงผมสีน้ำเงิน ดูจะเด็กกว่าพวกเราซะอีก กำลังวิ่งตรงมาทางนี้

“จริงสิ ถ้าถามเด็กดู เราก็อาจจะได้อะไรมาบ้างก็ได้นะ”

“อ้อ ก็เป็นความคิดที่ดีเลยนะคะ โทษทีนะ ขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?”

แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้ตอบรับที่ฉันเรียกเลย ตอนที่เธอเดินชนท่านโนอะไปนิดหน่อย เธอก็รีบพูด “ขอโทษค่ะ” ก่อนจะรีบเดินไปต่อไม่หยุดเลย

“บางทีเธออาจะไม่ได้ยินเราก็ได้ เอายังไงดีคะท่านโนอะ? ลองดูอีกท-”

“{โฟตอนวิป (แส้แสงสว่าง)} !”

จังหวะนั้น เพราะอะไรไม่รู้ ท่านโนอะก็ร่ายเวทแสงสว่าง ใช้แส้ของเธอขัดขาเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งอยู่คนนั้น ทำให้เธอสะดุดล้ม ก่อนที่ท่านจะใช้มันรัดเด็กคนนั้นเอาไว้ต่อ

“เดี๋ยวสิ!? ทำอะไรน่ะคะท่านโนอะ!? เราแค่จะถามอะไรเธอเท่านั้นเอง ทำแบบนี้มันมากเกินไปนะคะ!”

“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก ฉันไม่ได้ทำแบบนี้แค่เพราะว่าถูกเมินหรอกนะ”

“เอ๊ะ?”

ท่านโนอะเดินเข้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยังดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในแส้ที่รัดตัวเอาไว้ แล้วก็เริ่มค้นดูในกระเป๋าที่ตัวของเธอ

“พวกล้วงกระเป๋างั้นเหรอคะ?”

“มาพยายามเอาของของฉันไปแบบนี้ กล้าดีนี่ ทีนี้ ฉันจะทำยังไงกับเธอดีนะ?”

“อึก…!”

เด็กคนนั้นดิ้นรนอยู่ซักพักนึง แต่ไม่นานก็หยุดไป เหมือนจะยอมแพ้แล้วสินะ

“ป- ปล่อยฉันไปเถอะนะได้โปรด! ขอล่ะ! ถ้าชั้นไม่กลับไป ข้าวเย็นทุกคนจะ-!”

“อาระ มาขอร้องอ้อนวอนกันโดยไม่แม้แต่จะขอขมาเลยงั้นเหรอ”

“ถ้าทำอะไรผิด ก็ต้องขอโทษก่อนสิ เป็นสามัญสำนึกเลยนะ”

หน้าของเด็กคนนั้นดูดีขึ้นมาอย่างมีความหวังเลย

ดูเหมือนเธอจะคิดว่าถ้าตัวเองขอโทษแล้วจะได้รับการยกโทษให้สินะ

“ข- ขอโทษด้วยค่ะ! เงินมันเยอะมากเลย หนูเลยอด-!”

“ถ้าแค่ขอโทษแล้วเรื่องมันจบล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงไม่ต้องมีคำว่า [โทษประหาร] แล้วล่ะ นี่เธอคิดว่าการพยายามริอาจจะมาแตะต้องเงินของฉันแบบนี้แล้ว จะได้รับการยกโทษให้กับอิแค่ขอโทษแค่นี้ คิดว่าเรื่องแบบนี้มันยอมรับได้ด้วยหรือยังไง?”

“อ- อื๋อออ!”

“ท่านโนอะคะ โปรดหยุดเถอะค่ะ ตอนนี้ดูไม่ออกแล้วนะคะว่าใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายน่ะ เด็กคนนี้ก็อาจจะมีเหตุผลของเธอก็ได้”

ในตอนที่ฉันพยายามจะให้ท่านโนอะใจเย็นๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็มองมาที่ฉันด้วยสายตายังกับเธอกำลังเห็นพระเจ้าอยู่ยังงั้นแหละ

ท่านโนอะก็มองมาที่ฉัน ทำสีหน้าเหมือนจะบอกฉันว่าทำได้ดีมากเลย

แผนการลูกกวาดและแส้ ถ้าท่านโนอะขู่ไปก่อน แล้วให้ฉันมาปลอบเธอทีหลัง เด็กคนนี้ก็จะยอมเชื่อใจฉัน โดยเฉพาะกับที่เธอเป็นเด็กแบบนี้ด้วยแล้ว

“เธออยู่แถวๆ นี้หรือเปล่า?”

“ช- ใช่ค่ะ”

“งั้น เธอเคยเจอใครที่มีผมสีแปลกไปจากคนอื่นๆ ที่อยู่กันแถวๆ นี้บ้างมั้ย?”

ลองถามดูก่อน ยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

ก็นะ ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก แต่ว่า

“เคยค่ะ”

“เอาเถอะ นั่นสินะ ว่าแล้วช-… เคยเหรอ!?”

“เดี๋ยวก่อน! เล่าเรื่องนั้นมากกว่านี้ซิ!”

“เหวอ! คือออออว่า! เมื่อไม่นานนี้ หนูเห็นเด็กผมสีฟ้าอ่อนๆ เดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนอยู่แถวๆ นั้นนะ!”

นั่นไง! เจอเข้าจังๆ เลย!

“คุโระ! ไปกัน!”

“ค่ะ!”

“อ่า สำหรับค่าข้อมูล ฉันให้กระเป๋าเงินใบนั้นเธอเลยแล้วกันนะ”

“เอ๊ะ? เอ๋!?”

เราบอกลาเด็กล้วงกระเป๋าคนนั้นมา ก่อนจะวิ่งไปตามทางที่เด็กคนนั้นชี้บอกทันที