เราวิ่งไปตามทางที่เด็กคนนั้นชี้ แล้วก็มองหาดูรอบๆ
ทุกอย่างเลย ตามตรอกซอกซอยไปจนถึงตามถังขยะ
แต่ว่า
“…ไม่เจอเลยนะคะ”
“เจ้าเด็กนั่น มาหลอกฉันแบบนี้ใจกล้าดีนี่ คุโระ ไปตามหาเด็กนั่นซะ ฉันจะช่วยให้ตัวเจ้าเด็กนั่นได้ระบายอากาศสะดวกขึ้นกว่าตอนนี้ซักหน่อย”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะท่านโนอะ นี่ท่านตั้งใจจะเจาะร่างของเด็กคนนั้นจนพรุนเลยหรือไงกันคะ?”
ฉันสามารถรับรู้ถึงคำโกหกได้ ฉันเลยมั่นใจเลยว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ดูเหมือนจะโกหกเลย
หรือก็คือ บางที เรื่องที่เด็กคนนั้นพูดว่าเคยเจอก็อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้
ซักที่นึงในสลัมนี่ ต้องมีเด็กผมสีฟ้าที่เรายังหาตัวไม่เจออยู่แน่นอน
“ฉันไม่คิดว่าเด็กคนนั้นโกหกเลยนะคะ ฉันแน่ใจค่ะว่าคนที่เราหาตัวอยู่ต้องอยู่แถวนี้แน่”
“เอาเถอะ ถ้าคุโระว่าแบบนั้นก็คงจริงนั่นแหละ”
แต่ถึงจะลงแรงออกค้นหาขนาดนี้ ผลที่ได้ก็ยังเปล่าประโยชน์อยู่เลย นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเย็นแล้ว ขนาดตัว “ฟ” ของผมสีฟ้าก็ยังไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
“อ่า โธ่ น่ารำคาญชะมัดเลย คุโระ ฉันมีความคิดดีๆ แล้วล่ะ เธอใช้เวทความมืดแล้วลบพวกตึกรามบ้านช่องพวกนี้ให้โล่งไปเลยกันดีกว่า ทำแบบนั้นจะได้หาคนได้ง่ายขึ้นด้วย”
“ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้วนี่คะ ท่านโนอะ ดึงสติกลับมาก่อนเถอะนะคะ”
แบบนี้ไม่ไหวแน่
ด้วยความเหนื่อยล้ากับความเครียดขนาดนี้ ท่านโนอะอาจจะยิงเวทแสงสว่างออกมาเลยก็ได้
“ท่านโนอะ เดี๋ยวพวกเรากลับกันก่อนดีมั้ยคะ? เรายังเหลือพรุ่งนี้อยู่อีกนะคะ”
“พูดอะไรบ้าๆ เรามากันตั้งขนาดนี้แล้วนะ ให้หันหลังกลับตอนนี้น่ะเหรอ ไม่มีทางซะล่ะ ต่อให้ต้องหาทั้งคืน ฉันก็จะทำ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ มีคนที่เป็นห่วงถึงท่านโนอะอยู่หลายคนเลยนะคะ เพราะแบบนั้น บางทีอีกไม่นานพวกเราก็คงต้องกลับกันก่อน”
โชคร้ายหน่อยที่คนคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยอมถูกโน้มน้าวได้ง่ายๆ แถมยังเป็นคนที่ดื้อดึงในเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วยเนี่ยสิ
“งั้น อย่างน้อย ยังไงก็พักซักหน่อยเถอะค่ะ นี่จริงจังนะ”
“เฮ้อ นั่นสินะ มีตรงไหนนั่งได้บ้างเนี่ย?”
“ตรงนั้นมีเก้าอี้อยู่นะคะ”
พอฉันรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของท่านโนอะอยู่ในจุดปริ่มๆ ใกล้จะระเบิดอยู่แล้วในหลายๆ ทางเลย ฉันก็เลยตัดสินใจจะหยุดพักซะก่อน ท่านโนอะจะได้ใจเย็นลงบ้าง
ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เอาชาออกมาจิบ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะผ่อนคลายตัวเอง
เป็นวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียดที่มีประสิทธิภาพดีจริงๆ เลย มนุษย์นี่สุดยอดไปเลยนะเนี่ย
“ฟิ่ว ฉันสงบใจลงได้เยอะแล้วล่ะตอนนี้ อาจจะอย่างที่คุโระว่าก็ได้ บางทีตอนนี้คงเป็นเวลาที่เราควรจะกลับได้แล้วนั่นแหละ ฉันไม่คิดมากเรื่องสร้างปัญหาหรอก แต่ฉันก็ไม่อยากจะโดนดุแล้วลดเวลานอนลงหรอกนะ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ท่านสร้างปัญหาหรอกค่ะ ทุกครั้งที่ท่านโนอะก่อเรื่องอะไร ฉันนี่แหละค่ะที่จะเป็นคนโดนดุน่ะ”
ท่านโนอะสงบสติอารมณ์ท่านได้อีกครั้งนึงแล้ว ท่านก็เลยดูจะมองสถานการณ์ตอนนี้ได้ชัดเจนขึ้นด้วย
ถึงท่านโนอะจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิด แต่สมองก็ยังเป็นของเด็กอยู่ดี การที่จะเครียดขึ้นมาเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แถมการรับมือและจัดการกับเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของฉันด้วย
แถมหน่อยแล้วกัน ฉันที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้น่ะ เมื่อชาติก่อน ฉันเรียนรู้ที่จะต้องควบคุมความตึงเครียดของตัวเองเพื่อจะเอาชีวิตรอด เพราะงั้นแหละฉันถึงพยายามจะไม่รำคาญล่ะนะ
“อาทิตย์ตกซะแล้วสิ ในย่านสลัมสลัวๆ นี่ จะตามหาคนตอนกลางคืนมันก็คงไม่ดีเท่าไหร่ด้วย กลับไปก่อนตอนนี้คงเป็นทางที่ดีกว่านะคะ”
“จะกลับกันแล้วงั้นเหรอ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ งั้นดื่มชาเสร็จแล้วค่อยไปก็แล้วกัน”
“จะว่าไป เวลาที่คุยกันว่าจะล้มเลิกแบบนี้แล้วเนี่ย มันก็มักจะชอบเจอของที่ตามหาได้โดยบังเอิญพอดีเลยนี่คะ”
“ฮ่าๆ คุโระ เธออ่านนิทานมากเกินไปแล้วล่ะ ถ้าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงด้วยล่ะก็ มันก็น่าจะเป็นของอะไรซักอย่างที่เธอทำหายมากกว่านะ”
ฉันกับท่านโนอะคุยกันพลางขำกันคิกคัก ลืมเรื่องความเหนื่อยล้าของเรากันไปเลย
แล้วพอดูจะได้เวลาแล้ว เราก็ยืนขึ้นเตรียมจะกลับ―――
*―――แกร็ก*
ตอนที่พวกเราหันไปตามเสียงนั้น เราก็เห็นเด็ก 2 คนแบกป้ายรายการออกมาวางข้างหน้าร้านกันอย่างทุลักทุเล
ดูเหมือนร้านเหล้าชนชั้นแรงงานในสลัมนี่จะเปิดตอนกลางคืนสินะ
แต่เด็กคนนึงที่แบกป้ายอยู่นั่น เป็นเด็กที่หน้าตาสวยเลยนะ
ถึงเนื้อตัวจะมอมแมม แต่ก็มีดวงตาเป็นประกาย ทั้งๆ ที่ยังเด็ก แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าวันข้างหน้าเธอต้องโตมาสวยแน่
แถมผมสีฟ้านั่นก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ความน่ารักเข้าไปอีก
ขนาดในสลัมก็ยังมีเพชรเนื้องามแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วยสินะ
หืม?
…หืม?
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ คุโระ”
“…”
“ทำไมเอาแต่ยืนเงียบเล่า? ฉันจำทางกลับออกไปไม่ได้หรอกนะ แต่คุโระไม่มีทางลืมอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?”
“…เออ ท่าน”
“เอ๊ะ? เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ?”
“ท- ท่านโนอะคะ”
“มีอะไรเล่า?”
“น- นั่น”
“นั่นมันทำไมล่ะ?”
“น- นั่นไงคะ! นั่นไง! นั่นน่ะ!”
“ก็ฉันถามอยู่นี่ไงว่า ‘นั่น’ มันอะไร? แล้วเธอชี้อะไรของเธอเนี่ย? การชี้นิ้วใส่คนอื่นน่ะมัน… เสีย… มารยาท… นะ…”
ใช่ เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนึงที่แบกป้ายออกมานั่นแหละ
เด็กคนนั้นมีผมสีฟ้า
“ย- อยู่นั่นเอง!? จริงด้วยค่ะท่านโนอะ!”
“เยี่ยมมากเลยคุโระ!”
เด็กสาวคนนั้นที่สีหน้าเหน็ดเหนื่อยเข้าไปในร้านพร้อมกับเด็กคนนั้นที่ออกมาพร้อมกับเธอ
“ถ้าอย่างนั้น ไปหาเด็กคนนั้นกันเถอะค่ะ!”
“ได้ ไปกันเลย… ก็อยากจะพูดแบบนั้นนะ แต่ยังก่อน”
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะคะ?”
“ดูตรงคอของเด็กพวกนั้นสิ”
ฉันมองไปตรงคอของเด็กพวกนั้นตามที่ท่านโนอะบอกให้ทำ
“ปลอกคอเล็กๆ? งั้นเด็กพวกนั้นก็…”
“เป็นทาส ชักจะยุ่งยากซะแล้วสิ”
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“จากที่โตมากับพ่อค้าทาส เธอก็รู้ใช่มั้ย คุโระ? เรื่องสิทธิความเป็นนายทาสของประเทศนี้น่ะ”
ตอนแรกฉันก็ไม่ทันคิดถึง แต่คำพูดของท่านโนอะก็ทำให้ฉันนึกออกทันทีเลย
“แบบนี้เอง แน่นอนว่าสิทธิของนายทาสนั้นถือเป็นสิทธิเด็ดขาด―――”
“‘มันจะถูกส่งต่อให้กับผู้ซื้อทาสอย่างสมบูรณ์ และจะไม่มีใครสามารถแทรกแซงสิทธิดังกล่าวได้โดยไม่ได้รับการยินยอมจากนายทาสเสียก่อน’ กล่าวคือ ต่อให้จะเป็นขุนนางหรือแม้แต่ราชาก็ตาม หากไม่มีสัญญาที่ได้การยอมรับจากทั้ง 2 ฝ่าย และการซื้อขายกันอย่างยุติธรรม ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเอาตัวทาสไปจากนายทาสที่ซื้อตัวทาสคนนั้นเอาไว้ได้เลย ถึงจะเป็นฉันก็ต้องเข้าไปเจรจากับเจ้าของเด็กพวกนั้นซะก่อนอยู่ดี”
“ถ้าใครก็ตามที่ละเมิดสิทธินี้ ต่อให้จะเป็นขุนนาง นั่นก็ยังถือเป็นความผิดร้ายแรงอยู่ดี ถ้าเราไปเอาตัวเธอมาโดยพลการแล้วถูกแจ้งความเข้าล่ะก็ ทุกอย่างต้องจบกันแน่ๆ”
ปลอกคอทาสเป็นไอเท็มเวทมนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเครื่องมือในยุคสมัยใหม่ที่มีอยู่ไม่เท่าไหร่นัก
ด้วยการถ่ายพลังเวทของผู้ที่จะเป็นเจ้าของเข้าไปในปลอกคอ ตามด้วยการลงสลักอักขระพิเศษ ทาสก็จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ กับผู้เป็นนายได้เลยไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตาม
ยิ่งกว่านั้น ปลอกคอพวกนี้ยังจำกัดการเคลื่อนไหวของทาสเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถออกหาจากเจ้านายได้เกินกว่าระยะที่จำกัดไว้ได้เลย เป็นไอเท็มที่ไร้มนุษยธรรมสุดๆ ไปเลย แต่ในดินแดนที่การซื้อขายทาสยังถูกกฎหมาย แม้แต่ของพรรค์นี้ก็ยังถูกมองว่าถูกกฎหมายตามไปด้วยเหมือนกัน
“ถึงอย่างนั้น ด้วยความร้ายแรงขนาดนี้ จึงมีแค่ผู้ที่ผ่านการทดสอบและตรวจสอบอย่างเข้มงวดเท่านั้นถึงจะได้ใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจซื้อขายทาสสินะคะ”
“อื้อ ถ้าใครไปทำตัวเป็นพ่อค้าทาสโดยไม่มีใบอนุญาต แล้วถูกจับได้ขึ้นมาล่ะก็ นั่นเป็นโทษถึงขั้นประหารชีวิตทันทีโดยไม่ต้องทำการไต่สวนเลย เพราะความเสี่ยงถึงขนาดนั้นแหละ การทำธุรกิจซื้อขายทาสถึงได้ถือเป็นอาชีพระดับสูงอย่างนึงของประเทศนี้เลย”
“มาคิดว่าคนที่เอาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกันมาทำเป็นสินค้าซื้อขายกลับถูกมองเป็นอาชีพที่มีเกียรติแล้วนี่ โลกนี้มันบิดเบี้ยวไปแล้วนะคะ”
“ตามนั้นเลยล่ะ”
ท่านโนอะถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มออกเดินตรงไปที่ร้านนั้น
“จะทำอะไรน่ะคะ?”
“มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ การจะปลดทาสให้เป็นไทมีอยู่ 2 วิธี คือถ้าไม่ให้นายทาสประกาศให้ทาสเป็นอิสระเอง ก็คือเมื่อนายทาสเสียชีวิตไป เพราะฉะนั้น ทางเลือกเดียวก็คือการซื้อสิทธิในตัวเด็กคนนั้นมา แล้วก็ปล่อยให้เธอเป็นอิสระไงล่ะ”
ท่านโนอะเดินไปพลาง พูดอธิบายไปพลาง มือก็ล้วงไปหากระเป๋าเงินที่เอวด้วย―――
“คือว่าง ท่านโนอะคะ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้ท่านเพิ่งจะหุนหัน ยกเงินในกระเป๋าทั้งหมดให้เด็กคนนั้นไปหยกๆ หรอกเหรอคะ?”
“อ๊ะ”