“จะทำยังไงดีล่ะคะท่านโนอะ? เด็กคนนั้นไปไหนแล้วก็ไม่รู้นะคะตอนนี้”
“งั้น ลองออกตามหาดูดีมั้ย?”
“แบบนั้นจะดีจริงๆ เหรอคะ? ยกเงินให้ไปอย่างเอื้อเฟื้อแบบนั้นแล้วไปถามขอคืนทีหลัง แบบนั้นมันน่าขายหน้ามากเลยนะคะ”
ท่านโนอะยกมือขึ้นมายีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
ก็ยังไม่แน่หรอกว่าเงินในกระเป๋าจะมีพอซื้อตัวทาสคนนึงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยที่สุดเนี่ย เงินประมาณนั้นก็ยังใช้รวบรวมข้อมูลได้บ้างนะ อย่างการให้เป็นค่าข้อมูลตอบแทนน่ะ
เล่นใช้เงินแบบนั้น มันก็ออกมาเป็นซะแบบนี้ล่ะนะ
‘คนที่ปล่อยตัวไปกับความตื่นเต้นชั่วครู่ จะมุ่งไปสู่ความพินาศ’ คำพูดนี้มันเป็นของใครกันหนอ
“เอาไงดีล่ะคะ?”
“อ- เอาเป็นว่าตอนนี้ ไปสำรวจสถานการณ์ดูก่อนแล้วกันนะ”
“ยังไงเหรอคะ?”
“ก็ต้องใช้เวทมนตร์อยู่แล้วสิ เธอว่า 3 ปีที่ผ่านมานี่มันเพื่ออะไรกันล่ะ?”
“อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองหุนหันพลันแล่นทำให้เงินของตัวเองหายไปราวกับเวทมนตร์ ระหว่างที่ตามหาคนอยู่ล่ะมั้งคะ”
“คุโระ เธออยากจะลองดูหน่อยมั้ยว่าเธอจะร่ายเวทความมืดออกมาได้ก่อน หรือเวทแสงสว่างของฉันจะวิ่งทะลุหัวสูงแสนเย่อหยิ่งของเธอได้ก่อนกันดีล่ะ?”
“ขอโทษค่ะ”
ท่านโนอะที่เริ่มพูดท้าทายขึ้นมาแล้วก็ร่ายเวทออกมาก่อนหน้าฉันเลย
“{โฟตอนรีเฟลค (บิดเบือนแสงสว่าง)}”
แล้วร่างของท่านโนอะก็หายวับไปในพริบตาเลย
{โฟตอนรีเฟลค} เป็นเวทมนตร์สายแสงสว่างที่ควบคุมกับหักเหแสงได้ตามชื่อของมันเลย
การทำแบบนี้จะเป็นการสร้างภาพลวงตาขึ้น ด้วยการสร้างภาพขึ้นในสถานที่อื่น หรือทำให้ตัวผู้ร่ายเสมือนว่าล่องหนหายไปเลย
“{ดีลีทไซน์ (ลบล้างตัวตน)}”
กลับกัน เวทมนตร์สายความมืดของฉัน {ดีลีทไซน์} จะไม่ได้ทำให้ร่างของฉันหายไป แต่เป็นการลบตัวตนให้หายไปเลยแทน
เป็นเวทมนตร์สายความมืดที่แทรกแซงเหตุผล บิดเบือนทุกสิ่งทุกอย่าง และมีพลังในการลบล้าง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ว่าเวทมนตร์นี้สามารถร่ายได้กับแค่ตัวเองเท่านั้น
เพราะเวทมนตร์สายความมืดน่ะ หลังจากที่ลบสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวผู้ร่ายเองไปแล้ว มันจะย้อนคืนกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้น่ะสิ
ถ้าแค่ฉันเองล่ะก็ ฉันสามารถลบตัวตน ดวงตา หรือแขนขาของตัวเองไป จากนั้นก็ฟื้นคืนพวกมันกลับมา แต่สำหรับสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หลังจากที่ถูกลบไปแล้ว มันก็จะไม่มีทางกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่ 2
จะให้คำจำกัดความว่าเป็นเวทมนตร์ที่ไม่สามารถย้อนคืนได้เลยก็ได้
จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้พวกเราทั้ง 2 คนก็หายตัวกันแล้วเรียบร้อย
ทีนี้ ต่อให้จะมีเด็กเข้าไปในร้านเหล้า ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้แล้ว
“คุโระ ถึงเธอจะมองไม่เห็นฉัน แต่เธอยังได้ยินฉันอยู่ใช่มั้ย? ฉันแค่ล่องหนเฉยๆ แต่เธอน่ะจะไม่มีใครรับรู้ตัวตนของเธอได้เลย ไม่มีใครรู้ตัวหรอกนอกจากว่าจะมีเหตุรุนแรงอะไรเกิดขึ้น เพราะงั้น ฉันจะลองสืบเรื่องเด็กสาวผมฟ้าคนนั้นจากข้างนอกนี่ ส่วนเธอก็เข้าไปดูสังเกตเจ้านายของเด็กคนนั้นกับการดูแลทาสของเขาข้างในร้านนะ”
ฉันตอบกลับไปว่ารับทราบค่ะ แต่ก็ไม่มีการตอบรับอะไรกลับมาเลย
ด้วยการลบตัวตนให้หายไปแบบนี้ ถึงฉันจะตอบรับแล้ว ท่านโนอะก็ไม่รู้ตัวอยู่ดีสินะ
ฉันเข้าไปในร้านเหล้าตามคำสั่งของท่านโนอะ
ทันทีที่เข้ามาข้างใน ฉันก็สังเกตเห็นได้เลย
‘แปลกจัง’
ร้านเหล้านี้ก็มีพื้นที่กว้างขวางใช้ได้อยู่นะ แต่ทั้งผนังทั้งโต๊ะที่ทรุดโทรมไปหมดนั่นกลับทำขึ้นมาด้วยวัสดุแบบตามมีตามเกิด
ข้างในก็มีลูกค้าอยู่แล้ว 2-3 คนได้นะ แต่ละคนนี่แผ่บรรยากาศที่ยากจะบอกได้ว่าพวกนี้คือสุภาพชนออกมาซะคละคลุ้งเลย
“เห้ย! เอาเหล้ามาเร็วๆ สิวะ!”
“ค- ค่ะ…”
“อย่ามัวแต่อ้อยอิ่งเซ่!”
“ข- ขอโทษค่ะ!”
แล้วที่สะดุดตาที่สุดเลยคือ
พนักงานเสิร์ฟทั้งหมดในร้านน่ะ เป็นเด็กทั้งหมดเลย
ถึงอายุจะหลากหลาย แต่ต่อให้จะเป็นเด็กที่โตสุดก็เหมือนจะอายุพอๆ กับฉันเลย ไม่ก็อาจจะโตกว่าฉันนิดหน่อยเท่านั้นเอง
จากที่แค่มองผ่านๆ มีเด็กอยู่ 7 คนนะ แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานกันด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ แล้วในบรรดาเด็กพวกนั้น ฉันก็เห็นร่างของเด็กผู้หญิงผมสีฟ้าคนนั้นที่ตามหาตัวอยู่แล้ว
และเด็กทุกคนก็มีปลอกคอใส่เอาไว้รอบคอเลยด้วย
“เป็นทาสหมดเลยงั้นเหรอ? แถมยังเยอะขนาดนี้อีก?”
นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย
ต่อให้จะเป็นพื้นราคาต่ำสุดของราคาตลาดก็ตาม ทาสแต่ละคนก็ไม่ได้มีราคาถูกๆ อยู่ดี แต่นี่ในสลัมกลับมีตั้ง 7 คน… ไม่สิ ข้างหลังร้านนั่นอีก 3 ด้วย
จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าพวกคนที่อาศัยในย่านแบบนี้จะมีทรัพย์สินพอมาซื้อทาสตั้ง 10 คนได้ยังไง
ไม่สิ เรื่องนั้นเอาไว้คิดทีหลังก็ได้ งานของฉันคือสำรวจเรื่องหลังร้านต่างหาก
ฉันเดินผ่านเด็ก 3 คนในห้องครัวไป ตรงไปเปิดประตูที่หลังร้าน
สะดวกดีจังที่ขนาดฉันทำเรื่องประเจิดประเจ้อขนาดนี้ก็กลับไม่มีใครสังเกตเห็นฉันเลยซักคน เวทมนตร์ของฉันนี่มีประโยชน์กับสถานการณ์แบบนี้จริงๆ เลย
ที่ข้างหลังร้าน มีผู้ชายยืนอยู่คนเดียว
ถ้าให้สรุปเป็นคำพูดล่ะก็ เขาเป็นชายรูปร่างเหมือนหมี โครงร่างใหญ่ ผมสีเกาลัด ขนตามตัวหนารุงรัง ร่างกายดูบึกบึนแข็งแรงเลย
แถมดูเหมือนจะไม่อาบน้ำมาหลายวันแล้วด้วย กลิ่นตัวนี่ขมคอจนฉันเผลอทำปากบิดเลย
ชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก แค่เอกเขนกไปเรื่อยเท่านั้นเอง
(เป็นเจ้าของร้านงั้นเหรอ? ดูไม่เหมือนคนประเภทที่จะซื้อทาสเอาไว้ใช้งานเลยนะ)
ถึงมันจะทำให้ฉันสงสัยมากๆ เลยก็ตามที แต่ฉันต้องทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง
ฉันลงมือคุ้ยสำรวจในห้องที่กว้างพอประมาณนี้อย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าถ้าเกิดว่าฉันทำเสียงดังหรือทำอะไรที่มันสะดุดตาเกินไปก็อาจจะโดนรู้ตัวเข้าก็ได้
ฉันรื้อไปทีละนิดๆ ไล่ไปตามลิ้นชัก ต่อด้วยที่ใต้เตียง
และแล้ว―――
ผ่านไปราว 30 นาที ฉันก็เดินออกมานอกร้าน ก่อนจะคลายเวทมนตร์ออก
ในเวลาเดียวกัน ร่างของท่านโนอะก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นด้วยเหมือนกัน
“เจออะไรบ้างมั้ย คุโระ?”
“เจอค่ะ ทางท่านโนอะล่ะคะ?”
“ก็พอได้อะไรอยู่นะ ฉันอยากจะฟังเรื่องนี้โดยละเอียดซักหน่อย แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินเลย จะคุยเรื่องนี้ ดีที่สุดก็กลับไปคุยที่ที่พักกันดีกว่า กลับกันเถอะ ไว้เราค่อยคุยกันระหว่างทางก็ได้”
ฉันเห็นด้วยกับคำของท่านโนอะ ก่อนที่เราจะเดินไปตามทางที่ฉันจำได้เพื่อกลับไปตามทางที่เราเข้ามากัน
“แล้ว ได้เรื่องยังไงบ้าง?”
“นอกจากเด็ก 7 คน รวมเด็กผมสีฟ้าคนนั้นที่อยู่ตรงส่วนหน้าร้านแล้ว ที่หลังร้านก็ยังมีเด็กอีก 3 คนทำงานในครัวค่ะ ส่วนที่อยู่ข้างหลังเข้าไปอีกก็ยังมีประตูอีกบานนึง ในนั้นมีผู้ชายอยู่ 1 คน เป็นชายร่างบึกผมสีเกาลัดค่ะ น่าจะชื่อไบรอนนะคะ”
“น่าจะชื่องั้นเหรอ?”
“ในลิ้นชักที่ห้องชายคนนั้น มีรายชื่อทาสทั้ง 10 คนอยู่ค่ะ ตรงส่วนชื่อของผู้รับผิดชอบ มันเขียนเอาไว้ว่า [ไบรอน]”
“ผู้รับผิดชอบ? ไม่ใช่เจ้าของเหรอ?”
“ค่ะ แต่ในเอกสารแผ่นเดียวกันนั่น ก็มีชื่อเดียวกันเขียนเอาไว้ตรงส่วนเจ้าของด้วย บางที ชายคนนั้นอาจจะเป็น-”
“อย่าบอกนะว่า พ่อค้าทาสงั้นเหรอ?”
“ยังยืนยันแน่นอนไม่ได้ค่ะ”
หลังจากที่เดินกันมาซักพัก พวกเราก็ทิ้งสลัมเอาไว้ข้างหลัง ออกมาเจอภาพข้างหน้าเป็นถนนในเมืองที่ส่วนใหญ่ก็มืดลงไปตามอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว
“แต่ก็จริงนะ ถ้าชายคนนั้นเป็นพ่อค้าทาสล่ะก็ เรื่องนั้นก็ฟังดูเข้าเค้าอยู่ การจะรวมตัวทาสมาได้จำนวนขนาดนั้น แถมยังเป็นเด็กๆ ด้วยอีก ก็ดูเป็นหัวคิดแบบพวกพ่อค้าทาสดี แต่ ถ้าเกิดไบรอนเป็นนายทาสด้วยล่ะก็ จะหมายความว่ายังไงล่ะ?”
“หมายความว่าชายคนนั้นไม่มีความคิดที่จะขายทาสของเขาสินะคะ เขาอ้างว่าทุกคนเป็นของของเขาได้เลย”
“เราอาจจะต้องลองค้นดูข้อมูลของชายที่ชื่อไบรอนคนนี้ซักหน่อยแล้วสิ”
“เดี๋ยวฉันจัดการให้ค่ะ”
หลังจากที่เดินกันมาอีกไม่ไกลนัก ไม่นานเราก็เห็นโรงแรมที่พวกเราพักกันแล้ว
เราเข้าไปในโรงแรมนั้นกัน แล้วฉันก็เดินตามท่านโนอะเข้าลิฟต์ไป
“แล้วทางท่านล่ะคะ ท่านโนอะ?”
“ฉันสังเกตพฤติกรรมของพวกทาสน่ะ ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงผมสีฟ้าคนนั้นคนเดียวนะ แต่ดูเหมือนทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างโหดร้ายทารุณกันหมดเลย พวกนั้นถูกกลุ่มที่เหมือนจะเป็นลูกค้าประจำใช้ความรุนแรงใส่กันหมด แค่ทำเครื่องดื่มในแก้วกระชอกนิดหน่อยก็โดนทุบโดนถีบแล้ว แต่เด็กคนนั้น เด็กสาวผมสีฟ้าคนนั้นน่ะ ดูเหมือนจะโดนหนักสุดนะ ตามเนื้อตามตัวเธอมีแผลฟกช้ำเต็มทั่วตัวไปหมดเลย”
ดูเหมือนการเหยียดพวกเส้นผมชั้นต่ำจะเป็นเหมือนกันทุกที่เลยสินะ
ถ้าท่านโนอะไม่เอาตัวฉันมา ฉันก็อาจจะต้องทนผ่านแต่ละวันที่เหมือนกับนรกแบบนี้ก็ได้ เผลอๆ อาจจะหนักกว่านั้นอีกด้วยซ้ำไป
“อ๊ะ พูดถึงน้องผมฟ้าจังคนนั้นแล้ว ฉันนึกชื่อของเธอออกพอดีเลยค่ะ”
“อาระ? แปลกจังเลยนะที่ทาสอายุประมาณเด็กคนนั้นจะมีชื่อด้วยน่ะ จริงมั้ย?”
“ค่ะ พ่อแม่ของเด็กคนนั้นอาจจะผูกพันพอที่จะตั้งชื่อให้ก็ได้ อาจจะจำใจขายเด็กคนนั้นออกไปเพื่อลดภาระในครัวเรือนก็ได้นะคะ”
“แบบนี้เอง แล้ว เธอชื่ออะไรล่ะ?”
“สแตค่ะ”