TN: สำหรับคนที่อ่านมังงะ นิยายสั้นท้ายเล่ม 3 “บทคั่น ราตรีที่นกจนตรอกมาเยือน” จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของทางฝั่งโทริโกะกับโคซากุระ เมื่อ 3 วันก่อนจะเริ่มตอนนี้นะครับ
‘นี่พวกเธอ 2 คนทะเลาะกันหรืออะไรแบบนั้นรึไง’
นี่คือคำแรกที่คุณโคซากุระพูดกับฉันหลังจากที่รับสาย ทำเอาอ้ำอึ้งไปเลยว่าจะพูดตอบยังไงดี
“…ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ?”
‘ก็ยัยนั่นมาหาฉันที่บ้านเมื่อวันก่อนคนเดียว ทุกที ยัยนั่นจะทำตัวโหวกเหวกยังกะเด็กประถม น่ารำคาญสุดๆ แต่รอบนี้ที่มาแบบหน้าซังกะตายเนี่ย มันน่ารำคาญในอีกทางน่ะสิ ช่วยอย่าลากฉันไปยุ่งกับเรื่องแฟนตีกันจะได้มั้ย? มันน่ารำคาญ’
“ข- ขอโทษค่ะ”
ฉันขอโทษออกไปแบบไม่ทันตั้งใจ แต่แล้วก็ฉุนขึ้นมาเลย หมายความว่าไงนะที่มาเรียกว่าเรื่องแฟนตีกันน่ะ?
“อืม นั่นเมื่อไหร่เหรอคะ?”
‘3 วันมาแล้ว’
“ยังงี้เอง…”
‘พวกเธอติดต่อกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?’
“5 วันก่อนค่ะ”
‘หืม แสดงว่ายัยนั่นอ่อนไหวเธอซะอีกเหรอเนี่ย ก็นะ ถึงฉันจะคิดอยู่แล้วก็เถอะ’
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
‘พวกเธอ 2 คนทะเลาะกัน แล้วก็ขอโทษกันไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าติดต่อไปหาอีกฝ่ายซักคน เพราะงั้น ก็เลยติดต่อหาฉันเป็นคนกลาง หาข้ออ้างจะคุยกัน ของโทริโกะน่ะ ยัยนั่นทนไหวแค่ 2 วัน ส่วนของเธอน่ะ 5 วันไงล่ะ’
“อึก…”
ได้ยินเสียงคุณโคซากุระพ่นลม หึ ทางจมูกดังมาจากปลายสายเลย
“ค- แค่อยากบอกเฉยๆ นะคะ แต่ฉันลองติดต่อไปหาเธอดูแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับเลย”
‘อ๊า น่ารำคาญจริงๆ เลย น่าหงุดหงิดที่ปอดแหกกันทั้งคู่นี่แหละ’
“อือ…”
ฉันครางอยู่ในลำคอ คุณโคซากุระก็พูดต่อเพื่อตัดรำคาญ
‘เฮ้อ… อยากได้ข้อมูลส่วนตัวของยัยนั่นมั้ย?’
“อะไรนะคะ?”
‘ที่อยู่บ้านโทริโกะไง ทำไมไม่ไปเจอหน้ากันซะเลยล่ะ?’
ไม่ต้องรอเลย
“ย- อยากค่ะ ขอหน่อยนะคะ”
‘เดี๋ยวฉันส่งไปให้’
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ…”
‘ไม่ต้องขอบคุณหรอก ตอนหน้าร้อน แค่ส่งของขวัญมาช่วงงานโอบงก็พอ’
ที่อยู่ที่ฉันได้มาจากคุณโคซากุระเป็นอพาร์ทเม้นตรงสถานีนิปโปริ ชั้นบนสุดของตึก 4 ชั้น เหมือนว่าเธอจะอยู่คนเดียวด้วย
ฉันตรงไปที่นั่นในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ไม่ได้เป็นตึกที่ดูใหม่อะไรหรอก แต่ก็ยังดูแพงอยู่ดี เกลียดความรู้สึกตัวเองที่มันเด้งขึ้นมานี่ชะมัด―คุณหนูกระเป๋าตุงก็ต้องอยู่ในที่ดีๆ อยู่แล้วสิ จริงมั้ย?
ฉันสะดุดไปซักพักพอประตูทางเข้าตึกมันไม่ยอมเปิด ใช้ไปตั้ง 5 นาทีแน่ะกว่ารู้ตัวว่ามีแผงปุ่มตัวเลขอยู่ เป็นที่แบบที่ต้องกดเลขห้องก่อน แล้วรอให้เขาเปิดให้เข้าไปงั้นสินะ
ฉันนึกว่าแค่ไปหน้าประตูบ้าน แล้วก็กดกริ่งก็พอ เจอแบบนี้เข้าไปก็เป๋เลยเหมือนกัน หลังจากที่จ้องแผงตัวเลขนั่นอยู่ซักพัก ฉันก็ตัดสินใจ แล้วก็ยื่นมือไปกดปุ่ม
4-0-4 นี่ก็น่าจะเป็นกริ่งไปดังที่ห้องของโทริโกะแล้วนะ ฉันยืนอยู่ รู้สึกโมโหนิดหน่อย แล้วก็มีเสียงช็อตดังขึ้นมาจากลำโพง
‘…ค่ะ’
“อ- เออ โทริโกะ? นี่ฉันเองนะ”
‘คะ?’
“คามิโคชิ…”
‘ค่ะ’
ไม่สิ อย่าพูดแค่ คะ-ค่ะ สิตอนนี้น่ะ
ฉันกดความหงุดหงิดที่มีกับการตอบรับห้วนๆ ของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อ
“ขอโทษที่จู่ๆ ก็มานะ ฉันได้ที่อยู่เธอมาจากคุณโคซากุระน่ะ ขอเข้าไปหน่อยแป๊บนึงได้หรือเปล่า?”
‘…’
ลำโพงไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย แล้วซักพักก็ตัดไปเป็นเสียงช็อตมากกว่าเดิมอีก
แล้วตอนนั้น ประตูโถงด้านหน้าก็เปิดออก
เป็นอะไรของเธอเนี่ย? จะพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง?
ฉันโกรธอยู่เงียบๆ พลางเดินเข้าไปในตึกอพาร์ทเม้น เข้าลิฟต์ กดชั้น 4 ระหว่างที่ฉันดูป้ายประกาศเรื่องการทำความสะอาดแท็งก์เก็บน้ำที่แปะอยู่ตรงกำแพงลิฟต์แบบผ่านๆ ลิฟต์ก็มาถึงพอดี
ห้อง 404 อยู่สุดทางเดินของชั้น 4 เลย ฉันเดินไปตามโถงทางเดินเงียบๆ อีกด้านของกำแพงที่สูงระดับอกนี่ก็จะเห็นถนนขยายออกไปอยู่ที่พื้นข้างล่าง ใต้ท้องฟ้าที่แจ่มใส ผู้คนกับรถราวิ่งขึ้นๆ ลงๆ ถนนชันๆ ที่วิ่งเข้าไปในสถานี ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันของวันหยุด พื้นที่แถวนี้ก็คึกคักเลยล่ะ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงประกาศจากสถานีรถไฟกับเสียงรถไฟวิ่งผ่านมาจากที่ไกลๆ เลย
ตั้งแต่ฉันเริ่มออกไปที่โลกเบื้องหลัง ก็มีช่วงเวลาแบบนี้อยู่นะ เสียงของการใช้ชีวิตของผู้คนที่ครั้งนึงมันกวนใจฉันตลอก จะกลับทำให้ฉันรู้สึกสงบใจได้ขนาดนี้น่ะ ก่อนหน้านี้ ฉันเคยคิดว่า โอ่ย น่ารำคาญ ตายๆ ไปให้หมดซักที ทุกวันนี้ ฉันก็ยังคิดแบบนั้นอยู่บ้างบางครั้งนะ แต่ก็บอกได้เลยว่านี่ก็เบาลงแล้ว เทียบกับสมัยตอนที่ฉันยังอยู่ในชีวิตมัธยมปลายแสนตรากตรำน่ะ ส่วนนึงก็เพราะว่าผ่านความเงียบสงัดที่น่ากลัวของโลกเบื้องหลังมานั่นแหละ อีกส่วนนึง―ถึงจะน่าโมโหที่ต้องยอมรับก็เถอะ―ก็เพราะฉันได้เจอกับโทริโกะนั่นแหละ
ฉันยืนอยู่หน้าประตูห้อง 404 ก่อนจะลองมองผ่านรูตาแมวเข้าไป
เอาล่ะ โทริโกะ ฉันมาที่นี่ มาขอคืนดีแล้วนะ ทีนี้ก็ยอมแพ้ แล้วออกมาตรงนี้ได้แล้ว
พอฉันกดกริ่งหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากข้างใน
นี่มาลนลานอะไรเอาตอนนี้เนี่ย… ระหว่างที่ฉันยิ้มอยู่พลางคิดว่า ต่อให้เป็นคนง่ายๆ สบายๆ อย่างโทริโกะก็คงหงุดหงิดได้เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าจู่ๆ ก็มาโผล่ที่หน้าประตูแบบนี้ เสียงย่ำเท้ายิ่งดังขึ้น แรงขึ้น เสียงตึงตังเริ่มเหมือนกับว่าเธอวิ่งวนอยู่ในบ้านยังไงยังงั้นแหละ
เอาล่ะ นี่ชักจะลนลานเกินไปแล้วมั้ง
“โทริโกะ? ใจเย็นก็ได้นะ”
พอฉันตะโกนผ่านประตูเข้าไป เสียงย่ำเท้าก็หยุดไปแป๊บนึง ก็จะรีบวิ่งเข้ามาใกล้หน้าประตูเลย
*ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้งตึ้งตึ้งตึ้ง! ต-ต-ต-ต-ต-ต-ต-ต-ตึ้ง!*
“อุหวา!?”
เสียงวิ่งที่พุ่งเข้ามาที่ประตูทำฉันตกใจเลย
พอฉันถอยหลังออกมาโดยอัตโนมัติ ประตูก็… ไม่เปิด
เสียงย่ำเท้านั่นเหมือนกับว่าเธอวิ่งพุ่งเข้ามาที่ประตูแบบเต็มแรงเลยนะ แต่ตอนนี้ มันเงียบสนิทไปหมดเลย
“โทริ… โกะ?”
ฉันเอามือกุมหน้าอกของตัวเองเพื่อให้หัวใจที่เต้นระรัวนี่สงบลงหน่อย ก่อนจะเรียกเธอด้วยเสียงแหบๆ ไม่มีการตอบรับกลับมาเลย ถ้าประเมินจากเสียงอย่างเดียว เธอก็น่าจะยืนอยู่อีกฟากของประตูนี่แล้วก็เถอะนะ
ไม่สิ เธออาจจะมาเป็นลมอยู่ตรงนั้นก็ได้มั้ง?
ฉันเป็นห่วงเธอขึ้นมานิดหน่อย เอื้อมมือเข้าไปจับลูกบิดประตู มันขยับได้ด้วย ไม่ได้ล็อกนี่นา
“โทริโกะ? เป็นอะไรหรือเปล่า? ฉันจะเปิดประตูล่ะนะ…?”
พอฉันพูดแบบนั้น ฉันก็บิดลูกบิดประตูลง แล้วก็ดึงเข้ามา
ฉันมองลอดผ่านช่องว่างประตูเข้าไปอย่างหวั่นๆ―แล้วก็หายใจหอบอย่างดังเลย
อีกฝั่งของประตู เป็นแสงสีฟ้าอยู่เต็มไปหมด ฟ้า แล้วก็ทึบด้วย ยังกับว่าตัวเองรับรู้ระยะทางไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนกับว่าสีฟ้านั่นอาจจะดูดฉันเข้าไปก็ได้ เลยจากตรงนั้นไป ก็มีอะไรไม่รู้ส่องแสงออกมา แสงระยิบระยับที่ส่องสว่างเหมือนเวลาที่เรามองดวงอาทิตย์จากใต้น้ำทำให้ฉันกลัวจนตัวแข็งค้าง พอมันเริ่มที่จะค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้น ฉันก็ปิดประตูปังเหมือนกับเป็นประสาทอัตโนมัติของร่างกายยังไงยังงั้น
ฉันถอยหลังมา 1 ก้าว 2 ก้าว จ้องไปที่ประตูไม่ละสายตาเลย
ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือสีฟ้านั่นแน่ๆ สีฟ้าแบบที่เราเห็นในวันแรกที่ได้เจอกับโทริโกะ ที่ตึกร้างในโอมิยะ สีฟ้าแบบที่เราเห็นเหนือโครงเหล็กรูปทรงคล้ายเสาโทริอิที่ปลอมตัวเองเป็นท่านฮัชชาคุ แล้วก็สีฟ้าที่อยู่เหนือหัวเจ้าสัตว์ประหลาดที่พวกเราไปเจอที่สถานีคิซารากิ มันเป็นสีฟ้าแบบเดียวกันหมดเลย
ตัวฉันเกร็งไปอีกพักใหญ่ กลัวว่าแสงสีฟ้านั่นจะพังประตูที่ไม่ได้ล็อกนั่นจนรั่วออกมาข้างนอก แต่ก็มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวอะไรเลย เสียงก็เงียบสนิทไปแล้ว
ยังกับตึกร้างที่โอมิยะเลยนี่
เมื่อตอนนั้น พวกเราก็ตกใจกันเพราะเสียงกระแทกที่ประตูด้วย แล้วพอมองผ่านรูตาแมว ก็เป็นโลกที่มีแต่สีฟ้าเลย
ถ้าเป็นแบบเดียวกันล่ะก็ เปิดประตูรอบต่อไปก็อาจจะกลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้
ฉันเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูอีกรอบนึง แล้วก็บิดเปิดมันช้าๆ
อีกฝั่ง ยังเป็นสีฟ้าอยู่เลย
“เอาจริง…?”
ฉันพึมพำกับตัวเองแบบไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะปิดประตูลงช้าๆ
ทำไมห้องของโทริโกะที่มีแสงสีฟ้าจากโลกเบื้องหลังอยู่เต็มห้องแบบนี้ล่ะ?
แล้ว… เกิดอะไรขึ้นกับโทริโกะกันแน่เนี่ย?
เธอยังอยู่ในนั้นเหรอ?
หรือหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้? แบบคุณอาบาระโตะ
ขาเริ่มสั่นผับๆ แล้ว ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี
พอฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง ฉันก็มองออกไปที่ทางเดิน แล้วก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ
นี่มันเงียบเกินไป เสียงรถไฟวิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้นี้ก็ไม่ได้ยินแล้ว
ฉันเอามือจับกับกำแพงแล้วยื่นหน้าออกไปดูทั่วๆ ก็ไม่เห็นใครเดินไปเดินมาเลยซักคน รถซักคันก็ไม่มีให้เห็น
“เดี๋ยวนะ…”
เสียงกระซิบของฉันที่หลุดออกมา จางหายไปในอากาศอย่างเปล่าประโยชน์
พอถูกความตระหนกที่หนักหน่วงที่ซัดเข้าใส่แบบนี้ ฉันก็ออกวิ่งเลย พอฉันกดปุ่มเรียกลิฟต์―โล่งอกไปที มันยังทำงานอยู่ ฉันพุ่งเข้าไปในลิฟต์ที่มาถึงซักที อึดอัดเกินกว่าจะรอไหวแล้ว พอเข้ามาได้ ฉันก็กดปุ่มชั้น 1 ย้ำๆ เลย ประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
ระหว่างลิฟต์กำลังลง สายตาของฉันมันก็ไปหยุดอยู่ที่กระดาษแผ่นนึงที่ติดอยู่ตรงนั้น
แจ้งเรื่องการทำความสะอาดแท็งก์เก็บน้ำ
เรียนผู้อยู่อาศัยทุกท่าน
เนื่องจากได้รับการร้องทุกข์มามากว่ามีเส้นผมออกมาจากก็อกน้ำ ทางเราจึงได้ทำการตรวจสอบ แต่ทว่า ผู้ดูแลหายสาบสูญไป จึงดำเนินการรับมือได้ช้า
สิ่งแปลกปลอมที่คาดว่าเป็นสาเหตุของเส้นผมนั้นถูกพอเจออยู่ภายในแท็งก์ ทางเราจะจัดการอย่างเหมาะสม
ขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้
…ก่อนหน้านี้ที่ฉันดู ป้ายมันเขียนแบบนี้เหรอ?
ก่อนที่ฉันจะทันประมวลความรู้สึกที่มันผิดไปหมดที่พุ่งทะยานนี่ได้ ลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้น 1 แล้ว ฉันรีบวิ่งออกไปที่โถงทางเข้า ออกจากอาคารอพาร์ทเม้น ยืนอยู่กลางถนน หันมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยซักคน!
สุดสายตาที่ฉันมองเห็น สิ่งที่ขยับได้แถวนี้ก็มีแค่ฉัอย่างเดียวเลย ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดจนน่ากลัวของโลกเบื้องหลัง ยังกับว่าทั้งโลก มีแค่ฉันคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ยังงั้นแหละ
ฉันยืนแข็งนิ่งอยู่ตรงนั้น จนจู่ๆ เสียงเรียกเข้าก็ดัง ทำเอาฉันตกใจจนกระโดดโหยงเลย ฉันควานในกระเป๋าแล้วก็หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมา โทริโกะเหรอ? หรือว่าคุณโคซากุระ? จะใครก็ช่าง ขอแค่ได้ยินเสียงใครซักคนนอกจากเสียงของตัวฉันเองในตอนนี้ก็ทำให้ฉันสบายใจแล้ว
แต่ พอฉันพลิกหน้าจอมาดูชื่อคนโทรเข้า มันก็ยิ่งเท่าฉันต้องขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมอีก
ชื่อผู้โทร มันเขียนว่า [ル〇及〇丗了]
ตัวอักษรเพี้ยนไปอีกแล้วเหรอ? ตั้งแต่ที่มันไปจุ่มน้ำที่โลกเบื้องหลังมา สมาร์ทโฟนเครื่องนี้มันก็ทำงานแปลกๆ ไป แต่ก็น่าจะซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่…
ถึงยังงั้น ฉันก็กดปุ่มตอบรับ แล้วก็รับสายนั่น
“…ฮัลโหล?”
‘อะ! โทรติดซักที’
เป็นเสียงผู้ชายที่ฉันไม่คุ้นเลย ตอนที่ฉันยังยืนงงๆ อยู่ ผู้ชายคนนั้นก็เรียกชื่อฉัน
‘คามิโคชิ โซราโอะสินะ’
“ค่ะ”
ฉันตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไร แล้วก็ต้องรู้สึกผิดเลย อ๊ะ แย่ล่ะสิ ฉันประมาทไป
ตอนที่ฉันรอดู มันก็สายไปแล้ว ชายคนนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลทีเดียวล่ะ
‘โอ้ ฉันจะไปที่นั่นแล้ว รออยู่ตรงที่ที่เธออยู่นะ!’
ตอนที่ฉันกำลังจะถามว่า …เออ คุณเป็นใครเหรอคะ? สายมันก็ตัดไปซะก่อน
แล้ว ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง
“อืม ใช่ครับ เจอเธอแล้วครับ จะจัดการให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”
พอหันไป ก็เห็นผู้ชายคนนึงที่สวมเสื้อผ้าเหมือนสีเทาผสมน้ำเงินเดินจ้ำๆ ตรงมาหาฉันด้วยการก้าวเท้าที่ดูเหนื่อยๆ เป็นลุงวัยกลางคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เห็นแค่ตราสัญลักษณ์เหมือนกังหนลม ไม่ก็ดอกไม้น่ะ อยู่ที่เครื่องแบบของเขา
เขาเดินตรงเข้ามาหาฉัน ตอนที่ฉันรู้สึกแล้วว่ามันชักจะเป็นอันตรายกับชีวิตของฉัน แล้วกำลังจะวิ่งหนี ชายคนนั้นก็ถอยหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเลย
“จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ตัดใจเรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วก็กลับบ้านไปซะ!”
“เอ๊ะ?”
“ไม่งั้น ครั้งหน้า เธอจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
เขาพูดด้วยเสียงขู่ และจังหวะต่อมา ฉันก็ได้ยินเสียงแตรดังลั่น
ฉันกรี๊ด แล้วก็ชะงักไปตอนที่รถวิ่งผ่านฉันไป
รู้ตัวอีกที เสียงของเมืองที่วุ่นวายก็กลับมา ผู้คนเดินไปมาตามท้องถนนก็มองฉันกันอย่างสงสัย
“กลับ… มาแล้ว?”
ฉันพยายามฝืนความรู้สึกที่เหมือนจะทรุดลงเพราะความโล่งอก ลากสังขารตัวเองไปที่ทางเท้า
ตอนที่ฉันยืนเกาะเสาโทรศัพท์เอาไว้แล้วพยายามหายใจให้ทัน ในที่สุด เรื่องนั้นมันก็เข้ามาในหัวฉันซักที
เรื่องผีในอินเตอร์เน็ต ที่รู้จักกันในชื่อ [คุณลุงในห้วงมิติ (時空のおっさん : Jikuu no Ossan)] น่ะ
TN: สถานีรถไฟนิปโปริที่พูดถึงนี่ มันเป็นสถานีชุมทางรถไฟที่สำคัญ อยู่ในเขตอารากาวะ โตเกียวครับ
ถ้าใครยังจำได้ โทริโกะจะเดินทางไปที่โลกเบื้องหลังผ่านทางตึกหลังนึงในย่านจิมโบโจ ตั้งแต่ก่อนจะเจอกับโซราโอะด้วยซ้ำ ซึ่งจิมโบโจก็เป็นย่านนึงในเขตชิโยดะ โตเกียว ดูจากที่สาวๆ ขึ้นรถไฟกันเป็นประจำเลย การเดินทางนี่ก็สามารถไปได้ทางรถไฟนะครับ มีหลายวิธีเลย ผมยกตัวอย่างให้ดูแล้วกัน
– นั่งรถไฟสายยามาโนเตะจากสถานีนิปโปริไปลงที่สถานีซึกาโมะ
– แล้วก็เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดินโทเอสายมิตะ จากสถานีซึกาโมะไปลงที่สถานีชิโระกาเนะ-ทากานาวะ
ถึงแล้วครับ จิมโบโจ
ส่วนการเดินทางไปหาบ้านโคซากุระนี่ก็รถไฟเหมือนกันครับ จากที่ดูก็มีวิธีเดียวนะ
– นั่งรถไฟสายยามาโนเตะจากสถานีนิปโปริไปลงที่สถานีอิเคบุคุโระ
– แล้วก็เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายเซย์บุ อิเคบุคุโระ-ชิชิบุ จากสถานีอิเคบุคุโระไปลงที่สถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิ
ถึงบ้านโคซากุระแล้วครับ