ตอนที่ 23 ดึงพวก

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 23 ดึงพวก

อากาศราวกับถูกผนึก!

สีหน้าขององค์หญิงเฉิงหยางดำทะมึน สายตาราวกับจะกินคน

เซียวฮูหยินไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

ฝ่ายหนึ่งเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ อีกฝ่ายเป็นท่านหญิงประจำท้องถิ่น ทั้งสองปะทะกัน

ราวกับเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจาก ‘คดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้’ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิง หรือฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นโอรสคนที่เจ็ดของฮ่องเต้จงจ้ง พี่น้องต่างมารดากับองค์รัชทายาทจางอี้ ตอนนั้นไม่มีผู้ใดคาดถึงว่า องค์ชายเจ็ดที่เก็บอาการเก่งนั้นจะมีความโดดเด่นกว่าผู้อื่น อีกทั้งยังสามารถสืบทอดราชบัลลังก์หลังจากที่องค์รัชทายาทจางอี้สิ้นพระชนม์ได้

เสียดายที่ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงขึ้นครองราชย์ไม่ถึงสิบปีก็สวรรคตเสียก่อน

หลังจากฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงสวรรคต โอรสคนโตหรือฮ่องเต้หย่งไท่ ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็สืบทอดราชบัลลังก์ต่อ

ฮ่องเต้จงจ้ง ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิง ฮ่องเต้หย่งไท่ ความแค้นในระหว่างสามยุคสามสมัย ผู้ใดจะรู้

‘คดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้’ ในเวลานั้นดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ที่ปลูกฝังในวันนั้นจะบังเกิดเป็นผลในวันนี้

องค์หญิงเฉิงหยางไม่กลัว เสด็จพ่อของนาง พี่ชายของนางล้วนเป็นฮ่องเต้

เซียวฮูหยินก็ไม่กลัวเช่นเดียวกัน

ถึงแม้สถานการณ์ของนางน่ากระอักกระอ่วน แต่นางก็มีความมั่นใจ รวมทั้งมีกลอุบายในการปกป้องชีวิตของตนเอง

องค์หญิงเฉิงหยางสูงส่งมายี่สิบปี ไม่เคยคิดว่าจะพ่ายแพ้ในมือของเด็กหญิงผู้หนึ่ง ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะต้องมีวันที่เกรงกลัวเซียวฮูหยิน

เพียงเพราะว่าอำนาจบนแผ่นดินเปลี่ยนผันไปอย่างยากที่จะคาดเดา…

ราชวงศ์แม้จะอยู่สูง แต่ก็ต้องประสบกับภัยคุกคามจากทุกทิศทาง

ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับตระกูลเถา ส่งผลให้เกิดข้อพิพาทบนแผ่นดิน ตระกูลใหญ่แต่ละพื้นที่บ้างคัดค้านอย่างเปิดเผย บ้างคัดค้านอย่างลับๆ

สถานการณ์ของราชสำนักไม่ดีนัก

เชื้อสายราชวงศ์ เหล่าท่านอ๋องต่างเตรียมเคลื่อนไหว

แผ่นดินนี้ราวกับน้ำที่กำลังจะเดือด ทุกคนไม่ต้องคิดจะตีตัวออกห่าง

องค์หญิงเฉิงหยางสูดลมหายใจเข้า พยายามตักเตือนตนเองว่าอย่าได้ใช้อารมณ์

เพียงแต่ความโกรธนี้ยากที่จะกล้ำกลืนลงไป

ให้ตายเถิด นางต้องถูกหญิงสาวที่มาจากแถบชายแดนตบหน้าอย่างนั้นหรือ

หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป นางผู้เป็นองค์หญิงจะเสียเกียรติถึงเพียงใด

“พี่จู้หยางจะทูลฟ้องฝ่าบาทหรือ ก็ดี จะได้ให้เสด็จพี่ทอดพระเนตรความเหิมเกริมของครอบครัวของแม่ทัพประจำชายแดน คนในครอบครัวยังเหิมเกริมเพียงนี้ เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่าในใจของท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านไร้ราชสำนัก ไร้ฝ่าบาท”

เซียวฮูหยินหัวเราะเย้ยหยัน “องค์หญิง ข้าวกินมั่วซั่วได้ แต่วาจาไม่อาจกล่าวมั่วได้ ท่านไม่เคยพบท่านโหว ท่านกล้าตัดสินว่าภายในใจของท่านโหวไร้ราชสำนัก ไร้ฝ่าบาทได้อย่างไร แม้ว่าท่านเป็นผู้ทำนายดวงชะตา แต่หากพูดจาเหลวไหลเพียงนี้ก็อาจจะถูกผู้อื่นตีเอาได้”

องค์หญิงเฉิงหยางหัวเราะเสียงเย็น “มีบิดาแบบใดย่อมมีบุตรสาวแบบนั้น เยียนอวิ๋นเกอยังเหิมเกริม บังอาจสร้างความวุ่นวายในจวนองค์หญิงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นนี้ เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่าท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านหยิ่งยโสเพียงใด!”

เซียวฮูหยินยิ้มเย้ยหยัน “องค์หญิงอุตสาหะในการคาดโทษท่านโหว ข้าขอถามด้วยความสงสัย ท่านมีจุดประสงค์ใด”

“ข้าต้องการทวงความยุติธรรมให้ตนเอง”

“องค์หญิงอายุมากเพียงนี้ ถือสาเด็กหญิงเพียงผู้เดียว ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะหรือ”

องค์หญิงเฉิงหยางโกรธเรื่องนี้มากที่สุด

เยียนอวิ๋นเกออายุน้อย เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นใบ้

ผู้อื่นอาจมองว่าเป็นข้อเสียเปรียบ แต่เมื่ออยู่บนตัวของเยียนอวิ๋นเกอ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นข้อได้เปรียบ กลายเป็นที่พึ่งของนาง

นางฉวยโอกาสที่ตนเองพูดไม่ได้ กำเริบเสิบสาน ลงไม้ลงมือต่อผู้อื่น

ผู้ใดเอาผิดนาง อาจทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ

ทุกคนล้วนต้องการรักษาเกียรติ แม้จะได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้

รังแกกันยิ่งนัก ไร้ยางอาย!

เยียนอวิ๋นเกออกผายไหล่ผึ่ง เกียรติยศมีมูลค่าเพียงใดกัน เวลานี้ยังต้องการเกียรติยศอันใดกัน

หากสร้างผืนแผ่นดินของตนเองได้ เกียรติยศย่อมตามมา

คงจะมีเพียงเยียนโส่วจ้าน ผู้ที่ไร้ยางอายยิ่งกว่าถึงจะข่มความไร้ยางอายของเยียนอวิ๋นเกอได้

เมื่อเทียบความไร้ยางอายกับเยียนโส่วจ้าน เยียนอวิ๋นเกอยังต้องยอมแพ้

องค์หญิงเฉิงหยางโกรธอย่างมากกับท่าทางผ่าเผยของเยียนอวิ๋นเกอ

นางกุมหน้าอกเอาไว้ ความโกรธที่เกิดขึ้นในอดีตยังไม่มากเท่าวันนี้

“เยียนอวิ๋นเกอเจ้าทำท่าทีเช่นนี้ พี่จู้หยางสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ”

เซียวฮูหยินหันกลับไปกวาดตามองเยียนอวิ๋นเกอ “องค์หญิงอ่อนไหวเกินไปหรือไม่ อวิ๋นเกอไม่อาจพูดได้ จิตใจไร้เดียงสา องค์หญิงอย่าถือสานางเลย”

องค์หญิงเฉิงหยางหัวเราะเย้ยหยันระรัว

นางไม่เชื่อว่าจะจัดการเด็กอย่างเยียนอวิ๋นเกอไม่ได้

ในขณะที่ความโกรธกำลังจะปะทุ ไม่คิดว่าท่าทางของเซียวฮูหยินจะเปลี่ยนไปกะทันหัน เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา

“ตระกูลเถามีอำนาจมาก! หลายปีก่อนองค์หญิงต้องการหมั้นหมายกับตระกูลเถา แต่กลับถูกปฏิเสธ”

องค์หญิงเฉิงหยางหรี่ตาลง “พี่จู้หยางเอ่ยถึงตระกูลเถากะทันหัน ต้องการสิ่งใด”

เซียวฮูหยินจิบชาคำหนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ตระกูลเยียนสามารถช่วยองค์หญิงได้”

องค์หญิงเฉิงหยางหัวเราะเยาะระรัว “คิดว่าเมืองหลวงไม่รู้สถานการณ์ของพี่จู้หยางในตระกูลเยียนหรือ ท่านเป็นตัวแทนของตระกูลเยียนหรือ อย่าได้พูดเรื่องน่าขันไปเลย”

เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย “หากข้าไม่อาจเป็นตัวแทนของตระกูลเยียนได้ ท่านโหวจะให้ข้ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแทนหรือ”

สีหน้าขององค์หญิงเฉิงหยางเปลี่ยนไป นางพินิจเซียวฮูหยินอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

“ข้าดูถูกพี่จู้หยางเกินไป! เพียงแต่ท่านสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเยียนได้แล้วอย่างไร ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่รัฐโยวโจว ท่านจะช่วยข้าได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินหัวเราะเสียงเบา “องค์หญิงพูดได้ไม่ถูกต้อง! เมืองหลวงที่กว้างใหญ่เพียงนี้ ถึงแม้ตระกูลเยียนจะไม่โดดเด่น แต่ท่าทีของตระกูลเยียนก็คือท่าทีของทหารทั้งแผ่นดิน จากสถานการณ์ของเมืองหลวงในเวลานี้ ทหารคือกลุ่มคนที่องค์หญิงต้องสานสัมพันธ์เอาไว้ เรื่องนี้องค์หญิงออกหน้าเองย่อมสร้างความสงสัย หากให้ข้าออกหน้า ย่อมเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง”

องค์หญิงเฉิงหยางได้ยินจึงเงียบไปเป็นเวลานาน

หลังจากนั้น นางจึงเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นน้องสาวร่วมมารดากับฝ่าบาท มั่งคั่งร่ำรวย อำนาจฐานะล้วนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเอื้อมถึง เหตุใดข้าจึงต้องสานสัมพันธมิตรกับท่าน”

เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย “หากองค์หญิงอดทนกับตระกูลเถาได้ ไม่สนใจที่จะถูกตระกูลเถาข่มเหงรังแก เช่นนั้นก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ส่วนในอนาคต องค์หญิงจะเป็นอย่างไรก็คงโทษผู้อื่นไม่ได้”

“พี่จู้หยางกำลังสาปแช่งให้ข้าไม่มีจุดจบที่ดีอย่างนั้นหรือ”

“ระหว่างฮองเฮาและองค์หญิง ฝ่าบาทจะทรงเลือกอย่างไร ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ”

สีหน้าขององค์หญิงเฉิงหยางเปลี่ยนไปทันที นางเผยสีหน้าดำทะมึน “พี่จู้หยางไร้ซึ่งความเกรงกลัวเสียจริง ท่านไม่กลัวข้านำคำพูดของท่านไปทูลต่อเสด็จพี่ตามจริงหรือ”

เซียวฮูหยินทำหน้ามั่นใจ “ท่านทูลฝ่าบาทได้เลย! พวกเราลองดูกันว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร จะคิดว่าองค์หญิงกำลังพยายามลองเชิง สร้างความบาดหมางระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาหรือไม่”

“ท่าน…”

หน้าอกขององค์หญิงเฉิงหยางหายใจเข้าออกอย่างแรง สายตาของนางแปรเปลี่่ยนไป

ในไม่ช้า นางก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ …พี่จู้หยางยังคงเหมือนในความทรงจำ หากพูดถึงเรื่องการเดาใจคน ข้ายอมแพ้ท่าน”

“องค์หญิงเกรงใจเกินไปแล้ว!”

องค์หญิงเฉิงหยางยิ้มอย่างมีนัย “เพียงแต่ ข้ามีทางเลือกมากมาย เหตุใดจึงต้องร่วมมือกับท่าน”

เซียวฮูหยินหัวเราะเสียงเบา “เหตุผลเผยให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ความสามารถของตระกูลเยียนมีจำกัด ภัยคุกคามไม่มาก องค์หญิงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตระกูลเยียนทำให้เดือดร้อน หากเปลี่ยนเป็นตระกูลหลิงหรือตระกูลสือ องค์หญิงคงเป็นกังวลจนยากที่จะนอนหลับ กังวลว่าวันใดจะถูกพวกเขาผลักออกมาเป็นแพะรับบาป”

องค์หญิงเฉิงหยางเงียบ

เซียวฮูหยินพูดต่อ “อีกทั้งอวิ๋นเกอของข้าเป็นแค่เด็กที่อารมณ์ร้อนไปบ้าง นางสามารถลองเชิงท่าทีของแต่ละตระกูลแทนพวกเรา อีกทั้งยังสามารถสั่นคลอนตระกูลเถาได้บ้าง”

เมื่อได้ยินดังนี้ องค์หญิงเฉิงหยางอดที่จะมองไปยังเยียนอวิ๋นเกอไม่ได้

“นางหรือ”

เซียวฮูหยินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถึงแม้อวิ๋นเกอของข้าอายุน้อย แต่เรื่องที่มอบหมายให้นางทำ องค์หญิงสามารถวางใจได้ นางพึ่งพาได้เสมอ!”

องค์หญิงเฉิงหยางมองเยียนอวิ๋นเกอขึ้นลง พิจารณาข้อเสนอของเซียวฮูหยินขึ้นมา

หากร่วมมือกับตระกูลเยียนจะสามารถถอนรากถอนโคนตระกูลเถาได้…

เพียงแค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกสาแก่ใจจนตัวลอย

เพียงแต่…

เซียวฮูหยินแม่ลูกสามคนจะมีความสามารถนี้หรือ

ตระกูลเถาเป็นตระกูลใหญ่โตเพียงใด แผนการหรือกลอุบายใดล้วนไม่อาจสั่นคลอนตระกูลเถาได้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำให้ตระกูลเถาแข็งแกร่งขึ้น

แต่ว่า…

ในเมื่อตระกูลเยียนยอมเป็นทหารหน้าม้า ยอมเป็นเถ้าระเบิด นางมีเหตุผลอันใดต้องปฏิเสธ

องค์หญิงเฉิงหยางมีคำตอบภายในใจ “ข้าจะรอข่าวดีของพี่จู้หยาง!”