เมื่อมีร้านปู่อู่ปิ้งย่างรอเขาอยู่ ชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้ใส่ใจการเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำสักเท่าไหร่ แต่เขากลับกระซิบพูดเบาๆ กับตัวเองว่า “เนื้อแกะย่าง เนื้อวัวย่าง ปีกไก่ย่าง เอ็นแผ่นย่าง……”

 

        “นี่นายกำลัง…ไล่รายชื่ออาหารอยู่เหรอ? ” เซี่ยเจิงได้ยินอย่างชัดเจน ตลอดทั้งช่วงเย็นมานี้เขาก็ถูกชวีเสี่ยวปอทำให้หิวจากการที่ท่องรายชื่ออาหารอย่างไม่จบไม่สิ้นสักที “รายงานฉบับใหม่รายงานเรื่องปิ้งย่างหรือยังไง? ”

 

        “ฉันกำลังท่องเมนูอาหารเย็นอยู่” ชวีเสี่ยวปอพูดไปพลางลูบท้องไป “ฉันหิวมากเลยอะ นายมีอะไรกินบ้างไหม? ”

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรต่อ และคลำไปในลิ้นชักของตัวเอง หลังจากนั้นก็หยิบของบางอย่างออกมา

 

        “มีอันนี้ กินไหม? ”

 

        ขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายเหรอ?

 

        “นายกินอันนี้เนี่ยนะ? ” ชวีเสี่ยวปอยิ้มแห้งออกมาอย่างไม่ค่อยชอบ ในสายตาของเขาขนมแบบนี้มันมีไว้สำหรับให้เด็กน้อยที่เพิ่งเดินกินกัน

 

        “ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต” เซี่ยเจิงเขย่าถุงขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่าย “กินไหม? ไม่กินก็ไม่เป็นไร” เขาทำท่าเหมือนจะวางเก็บเข้าไปในลิ้นชัก

 

        “ฉันบอกแล้วเหรอว่าไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอรีบแย่งขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายมาจากมือของเซี่ยเจิง “ขี้งกจริง” หลังจากนั้นก็รีบฉีกปากถุงออกแล้วหยิบใส่ปากไปสองชิ้น

 

        น่าจะนานมากแล้วที่ไม่ได้กินขนมแบบนี้ ทันทีที่รสนมหอมหวานละลายในปาก ชวีเสี่ยวปอจึงคิดว่ารสชาติของมันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ เขาเลยหยิบขนมยัดใส่ปากไปอีกสองชิ้นพลางถามออกไปเบาๆ ว่า : “แล้วนี่นายกำลังทำอะไรอยู่อ่ะ? ”

 

        เซี่ยเจิงกำลังดูรูปรูปหนึ่งในมือถืออยู่ แล้วเขาก็นำมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ ชวีเสี่ยวปอกระโงกหัวไปดูแล้วก็พบว่าตัวเองเข้าใจมันด้วย เซี่ยเจิงกำลังทำโจทย์เลขของเด็กประถมอยู่เหรอเนี่ย?

 

        “นายมีน้องชายหรือน้องสาว? ” ชวีเสี่ยวปอคิดขึ้นมาโดยใช้หลักเหตุผลว่าเซี่ยเจิงต้องกำลังสอนการบ้านให้กับน้องชายหรือไม่ก็น้องสาวของตัวเองอยู่แน่ๆ

 

        “ไม่ใช่ เป็นของนักเรียน” หลังจากที่เซี่ยเจิงเขียนวิธีแก้โจทย์อย่างละเอียดเสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปส่งไปให้อีกฝ่าย ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนนี้ เขาเข้ากับลูกชายของเถ้าแก่เนี้ยร้านขายผลไม้ได้เป็นอย่างดี สองวันก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็ส่งข้อความมาบอกเขาว่า ที่ครั้งก่อนลูกชายของเขาสอบเลื่อนขึ้นมาได้สิบอันดับนั้น ล้วนเป็นเพราะความสามารถของเซี่ยเจิงล้วนๆ เลย

 

        “นักเรียนของนายงั้นเหรอ? ” ปากของชวีเสี่ยวปออัดแน่นเต็มไปด้วยขนมหมั่นโถวน้อย แก้มที่พองขึ้นมาของเขาทำให้เขาดูเหมือนกับหนูแฮมเตอร์ที่ไม่ค่อยฉลาดตัวหนึ่ง

 

        “ฉันไปเป็นครูสอนพิเศษช่วงปิดเทอมมา” เซี่ยเจิงอธิบาย “สอนเด็กน่ะ”

 

        “นายทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วยังไปสอนพิเศษอีกเหรอเนี่ย? ” แล้วชวีเสี่ยวปอก็พูดโพล่งออกมาโดยไม่ได้คิด “นายขาดเงินขนาดนั้นเลยเหรอ? ”

 

        แต่เมื่อถามออกไปแล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย มันช่างล่วงเกินและไม่มีมารยาทเสียจริงๆ ใครมันจะยอมเอาเรื่องที่ตัวเองไม่มีเงินมาเล่าให้คนอื่นฟังกัน

 

        แต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงกลับพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วพูดว่า : “ใช่แล้ว ถ้านายรู้จักกับเด็กที่อยากเรียนพิเศษก็เอามาแนะนำให้ฉันได้นะ เดี๋ยวจะลดให้นายยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

 

        “ค่ามิตรภาพเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะ หลังจากพูดจบก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ทำไมถึงใช้คำว่า “ค่ามิตรภาพ” สามคำนี้นะ เขากับเซี่ยเจิงจะไปมีมิตรภาพต่อกันได้อย่างไร

 

        แต่ถ้าหากให้พูดตามตรงแล้ว เซี่ยเจิงเขาก็เก่งมากจริงๆ นั่นล่ะ ชวีเสี่ยวปอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่เขาโมโหเวินลี่ จึงไม่เอาเงินค่าขนม แล้วเขาก็ดื้อรั้นจะไปทำงานพาร์ไทม์ที่ร้านอาหารเพื่อหาเงินในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ให้ได้ ผลสุดท้ายแล้วไปทำได้แค่ครึ่งวันก็กลับบ้านมาแล้ว เพราะว่ามันเหนื่อยจนพูดไม่ออก ทั้งเจ้าของร้านยังไม่ชอบที่เขาทำงานไม่กระฉับกระเฉง แต่เซี่ยเจิงกลับทำสองงานในเวลาเดียวกันและตัวเขาก็ยังเรียนได้ดีขนาดนี้อีก

 

        อาจจะเป็นเพราะข้อแตกต่างของฉันกับเด็กเรียนล่ะมั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจยาวออกมาในใจ

 

        กริ่งเลิกเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำของวันศุกร์ดูเหมือนจะเร็วกว่าปกตินิดหน่อย เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ชวีเสี่ยวปอก็รีบพุ่งตัวไปโอบคอซือจวิ้นอย่างอารมณ์ดี “ไปกันๆ หมูสามชั้น ปีกไก่ย่าง ไตย่างพวกเรามาแล้ว !”

 

        แต่เมื่อเดินมาถึงประตูหน้าโรงเรียน ซือจวิ้นก็คลำไปที่กระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างตัว “แย่ละ ลืมมือถืออยู่ในห้อง”

 

        “จะได้เรื่องสักอย่างไหมนายเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอปล่อยมือออกจากเขา “กระเป๋ากางเกงข้างหลังล่ะมีไหม? ”

 

        “ไม่มีอ่ะ ในกระเป๋าสะอาดเกลี้ยงกว่าหน้าฉันอีก” ซือจวิ้นยื่นมือไปตีที่ก้นของตัวเอง “เดี๋ยวฉันกลับไปเอาก่อน ห้องเรียนน่าจะยังไม่ได้ล็อก”

 

        “เร็วๆ เถอะ” ชวีเสี่ยวปอเร่งออกไป “ฉันรอนายข้างนอกนะ !”

 

        หิวไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนมหมั่นโถวน้อยอันน้อยนิดนั้นก็ไม่สามารถประทังความหิวโหยของเขาได้เลย ในขณะที่เดินผ่านร้านเครปริมทางชวีเสี่ยวปอเกือบจะปิดปากตัวเองเอาไว้แทบไม่ทัน เขาจึงต้องพยายามกลืนน้ำลายลงคอไปเพื่ออดทนไม่ให้ตัวเองนั้นวู่วาม หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกว่าตัวเองน่าจะต้องขยับไปด้านข้างสักหน่อย เพราะว่ากินหอมนี้มันพอที่จะพรากชีวิตเขาไปได้เลยทีเดียว

 

        เมื่อชวีเสี่ยวกำลังจะดูว่าซือจวิ้นออกมาแล้วหรือยัง ทันในนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา… ราวกับว่ากำลังมีใครจ้องมองเขาอยู่

 

        ไม่ใช่ราวกับ แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

        อีกฝั่งของถนนมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองมาที่เขาพลางสูบบุหรี่ไปด้วย อยู่ในเขตโรงเรียนแล้วยังกล้าสูบบุหรี่อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ หลับตาดูก็รู้ว่าเป็นพวกไหน และคนที่ชวีเสี่ยวปอเห็นเป็นคนแรกก็คือนายผมเหลือง ที่เหลือก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเป็นคนของต้วนเหล่ยทั้งนั้น

 

          แต่หลังจากที่นายผมเหลืองเห็นว่าชวีเสี่ยวปอเห็นพวกเขาแล้ว จึงโยนบุหรี่ทิ้งลงไปที่พื้นแล้วใช้เท้าขยี้มันจนดับ หลายคนตรงนั้นก็มองมายังชวีเสี่ยวปอพร้อมทั้งก้าวออกมายืนข้างหน้า ราวกับกลัวว่าชวีเสี่ยวปอจะไม่รู้ว่าพวกนั้นตั้งใจมารอเขาอยู่ตรงนี้

 

        “ต้องยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย” ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย เพียงแต่เขาอยากจะรู้ว่าซือจวิ้นไปทำพิธีเปิดปากศักดิ์สิทธิ์ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพูดเรื่องใดออกมาก็ตรงไปซะหมดทุกเรื่องเลย

 

        “มีเรื่องจะถามนายนิดหน่อย” คนที่หน้าเคร่งขรึมหนึ่งในนั้นพูดออกมา แต่จริงๆ แล้วหลายคนตรงนั้นก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับว่าพวกเขามีคนมาติดหนี้อยู่สักสิบแปดล้าน “อย่าเอาแต่ยืนพูดอยู่ตรงนั้นเลย มันไม่สะดวก”

 

        สู้บอกมาตรงๆ เลยว่าอยากต่อยกับฉันก็จบเรื่อง

 

        ในใจของชวีเสี่ยวปอคิดเช่นนั้น ทั้งยังรู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นด้วยเช่นกัน ทว่าเขาก็ยังเดินตามพวกนั้นเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้าคนนั้นมายืนล้อมรอบเขาเอาไว้ทั้งหน้าหลังซ้ายขวา ไม่ให้โอกาสเขาวิ่งหนีออกไปได้เลย แต่ว่าชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้อยากจะวิ่งหนีอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีต้วนเหล่ย เขาคิดว่าตัวเขาสู้กับห้าคนนี้น่าจะฝืนทำได้แค่เพียงเสมอกัน ถ้าหากวิ่งออกไปตอนนี้ เผลอๆ อาจจะได้ไปต่อยกันที่หน้าโรงเรียน ตอนนี้ก็น่าจะยังมีคุณครูอยู่ในโรงเรียนอยู่ จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่อยากถูกไล่ออกขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้นดูจากท่าทางของคนกลุ่มนี้แล้ว ถ้าไม่ได้มีเรื่องวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องมาอีก เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องสะสาง รีบจบรีบสบายใจ

 

        “พอแล้ว ถามมาสิ” สายตาของเขามองไปยังรอบข้างที่ค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ แล้วชวีเสี่ยวปอก็หยุดเดิน ในใจก็เริ่มคิดวางแผนแล้วว่าจะเริ่มจากทางซ้ายที่ใกล้ตัวเองมากที่สุดก่อน

 

        “นายเป็นคนแทงเหล่ยจื่อใช่ไหม? ” นายผมเหลืองนั่นช่างตรงไปตรงมาเสียจริง

 

        “ถ้าพวกนายคิดว่าฉันเป็นคนแทง” ชวีเสี่ยวปอกวาดสายมองคนพวกนั้นไปหนึ่งรอบ “แล้วเรียกฉันมาถึงที่นี่ ไม่กลัวฉันจะแทงพวกนายเหมือนกันหรือไง? ”

 

        “ไอ้นี่นี่ รนหาที่ตายจริงๆ !” มีคนด่าออกมา

 

        ชวีเสี่ยวปอเพียงรู้สึกว่ามีบางอย่างส่องแสงสว่างวาบเขามาที่ตาของเขา เมื่ออีกฝ่ายพุ่งตรงเข้ามา เขาก็ยังหลบออกไปด้วยความตกใจกลัว หลังจากที่คิดได้ว่าแสงสว่างวาบนั้นคือแสงของอะไร ทั้งตัวของเขาจึงเหงื่อไหลพลักขึ้นมาทันที

 

        อีกฝ่ายกำลังถือมีดอยู่ !

 

        ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ เขาทำได้เพียงถีบคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดออกไปหนึ่งที อีกฝ่ายถูกเขาถีบเข้าไปยังกลางท้องจึงได้ตะโกนด่าออกไปแล้วล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ชวีเสี่ยวปอไม่ได้มีท่าทีที่จะเกรงใจเลย จึงถีบเข้าไปที่กลางหลังของเขาอีกหนึ่งที หลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกจากซอยนั้นอย่างสุดชีวิต อีกฝ่ายมีมีดงั้นก็จัดการได้ยากแล้ว ยังไงซะถ้าเขาโดนแทง สิ่งที่อาจจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การเข้าไปนอนโรงพยาบาลเป็นเพื่อนต้วนเหล่ย ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่เพียงยืดเวลาออกไป หลังจากนั้นจึงหาโอกาสวิ่งหนีออกมา