คนที่ดวงซวยจริงๆ ต่อให้ดื่มแค่เพียงแค่น้ำก็สามารถประทังความหิวโหยได้

 

        ชวีเสี่ยวปอเชื่อคำพูดประโยคนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมวิ่งอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าอาจจะวิ่งเข้าสู่ซอยของความตายได้

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอเห็นว่าสุดซอยข้างหน้าเป็นเพียงกำแพงมืดสนิทบานหนึ่ง ในหัวของเขาจึงทิ้งคำพูดไว้เพียงสองคำ : “บ้าเอ๊ย” เขาหอบหายใจจนรู้สึกเจ็บหน้าอก สุนัขบ้าข้างหลังที่เมื่อครู่ไม่ให้โอกาสเขาได้หยุดพักเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อหลังจากที่เห็นสถานการณ์ในตอนนี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดวิ่งลงในที่สุด

 

        “วิ่งต่อสิ” คนที่พูดใช้หลังมือมาถูเลือดที่มุมปากออก เมื่อครู่ตอนที่ชวีเสี่ยวปอปล่อยหมัดใส่เขาไปก็ร้องออกมาซะไม่เป็นเสียงเลย แต่ตอนนี้กลับมีแรงพูดขึ้นมาแล้ว “นายบอกว่ามีฝีมือไม่ใช่ไง? เก่งมากไม่ใช่เหรอ? ”

 

        “ฉันเหนื่อยแล้ว ขอพักก่อน” ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องไม่เสียอาการโดยเด็ดขาด ทว่าทางด้านหลังนั้นก็ไม่มีทางออกแล้วด้วย ฉะนั้นคงจะเหลือเพียงวิธีเดียวซึ่งก็คือ ลุยเข้าไป หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงลุกขึ้นมา แล้วเดินตรงไปข้างหน้าสองก้าว “ตอนนี้ได้แล้ว เข้ามาเลย ใครก่อนดี หรือว่าพร้อมกัน? ”

 

        “เดี๋ยวจะให้แกพักให้พอเลย !”

 

        พวกนั้นวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ชวีเสี่ยวปอจึงยื่นมือออกไปคว้าแขนของคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมาก่อน แล้วใช้แรงทั้งตัวเหวี่ยงเขาให้พุ่งเขาไปยังกำแพง ทว่าตัวเขาเองก็โดนคนที่อยู่ด้านหน้าต่อยเข้าไปที่กลางท้องหนึ่งหมัด ซึ่งเป็นหนึ่งหมัดที่เกือบจะทำให้ชวีเสี่ยวปออาเจียนออกมา สุดท้ายแล้วเขาก็ทนไม่ไว้อาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง ในขณะนั้นเขาเหมือนจะได้ยินคนตะโกนขึ้นมาว่า “เห้ยรออะไรกัน เร็วดิ !”

 

        ชวีเสี่ยวปอแทบจะกระโจนตัวหลบออกไปทั้งตัว ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาถือว่าคล่องแคล่วพอตัวแต่ก็ยังช้าไปหลายวินาทีอยู่ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นมาทันที มีดกรีดเข้าไปยังแขนเสื้อข้างซ้ายของเขา เลือดที่ไหลออกมาก็อาบไปบนเสื้อที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

 

         หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงยกขาขึ้นมาแล้วเตะเข้าไปที่หัวเข่าของอีกฝ่าย ทว่าเขาเตะออกไปได้ไม่แรงพอเนื่องจากขาข้างนั้นของเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ เลยทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกกระทบกระเทือนอะไร และกลับใช้มีดเล็งมาที่เขาอีกครั้ง

 

        แต่ในวินาทีถัดมาชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงคนเป่านกหวีดขึ้นอย่างดังกังวาน

 

        ทันใดนั้นก็มีรถจักรยานขี่พุ่งเข้ามาในซอยอย่างรวดเร็ว เมื่อสายตาของทุกคนตรงนั้นมองไปยังคนที่อยู่บนจักรยาน เซี่ยเจิงจึงรีบดึงไม้กระบองจากกระเป๋าหนังสือที่อยู่ด้านหลังออกมา แล้วกวัดแกว่งตีไปยังขาของคนที่อยู่ข้างๆ

 

        “เห้ย !” อีกฝ่ายจึงล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น

 

        แล้วเซี่ยเจิงก็ใช้วิธีเดียวกันนี้รีบจัดการกับอีกสามคนให้ล้มไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อคนที่เหลือรู้สึกตัว เซี่ยเจิงจึงใช้ไม้กระบองตีไหล่ของคนที่ถือมีดอยู่ไปหนึ่งที ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกแตกออกเป็นสองส่วน

 

        “ขึ้นมา”

 

        ชวีเสี่ยวปอได้ยินเซี่ยเจิงพูด

 

        เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากราวกับพายุทอร์นาโด

 

        ชวีเสี่ยวปอนั่งอยู่บนหลังจักรยานคันซอมซ่อของเซี่ยเจิงมาตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกตัวว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เซี่ยเจิงขี่ออกไปเร็วมากจนลมพัดเสื้อกล้ามข้างในของเขาขึ้นมา เผยให้เห็นเส้นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลัง เงาของต้นไม้ภายใต้แสงไฟเลื่อนผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว ความสว่างและเงาที่สลับกันไปมาอย่างต่อเนื่องทำให้เขารู้สึกราวกับว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง

 

        ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา อีกทั้งเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

 

       ในที่สุดเซี่ยเจิงก็หยุดรถอย่างกะทันหัน

 

        “เป็นบ้าไปแล้ว? ” เซี่ยเจิงหันศีรษะกลับมามองชวีเสี่ยวปอด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย

 

        “เมื่อกี้ที่นายทำแบบนี้” ชวีเสี่ยวปอเลียนแบบท่าทางตอนที่เซี่ยเจิงดึงไม้กระบองออกมาจากกระเป๋า “มันเหมือนกับจอมยุทธ์ในสมัยโบราณเลย” หลังจากพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

 

        เซี่ยเจิงรออยู่อย่างเงียบๆ และในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะเสร็จสักทีเขาจึงค่อยๆ เงียบลง : “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน? ”

 

        เซี่ยเจิงจ้องหน้าชวีเสี่ยวปอ บนแก้มซ้ายของเขามีเลือดเปื้อนอยู่นิดหน่อย แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็ยื่นมือออกไปและใช้นิ้วของเขาเช็ดเลือดตรงนั้นออกจนสะอาด พลางพูดออกไปเบาๆ ว่า “ถ้าฉันบอกว่าผ่านทางมา นายเชื่อไหม? ”

 

        มันค่อนข้างที่จะแปลกอยู่ไม่น้อย

 

        เหมือนกับว่ามีอะไรผิดปกติไป

 

        ชวีเสี่ยวปอยากที่จะพูดว่าที่เซี่ยเจิงยื่นมืออกมานั้นมันผิดปกติ หรือว่าน้ำเสียงของเขากันแน่ที่มันผิดปกติ ยังไงซะเขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติไปสักอย่างนั้นแหละ

 

        ทว่าเขาก็ได้แค่สงสัยจุดที่มันดูแปลกๆ นี้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะว่าเซี่ยเจิงพูดต่อขึ้นมาว่า : “ต้องรีบทำแผลสักหน่อยนะ”

 

        เมื่อครู่ไม่ทันได้สนใจ นึกไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเสื้อแขนสั้นของชวีเสี่ยวปอจะแดงไปหมดทั้งแขนเสื้อแล้ว มันทำให้ดูน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว เซี่ยเจิงมองดูบาดแผลไปรอบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพูดออกมาว่า : “ลึกมากเลย คิดว่าน่าจะต้องเย็บ”

 

        “แถวนี้…” ชวีเสี่ยวปอกำลังจะพูดขึ้น แต่มือถือก็ดังขึ้นมาก่อน

 

        ซือจวิ้นโทรมา

 

        “เห้ย ลืมเขาไปเลย” ชวีเสี่ยวปอรีบรับโทรศัพท์

 

        “ฮัลโหล ! ปอเอ๋อร์นายไปไหนของนายเนี่ย ! ฉันโทรหานายต้องหลายรอบนายก็ไม่รับ” เสียงตะโกนของซือจวิ้นดังทะลุออกมาจากโทรศัพท์ จึงทำให้เซี่ยเจิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างชัดเจน

 

        “ตอนนี้นายรีบเรียกรถกลับบ้านไปเลยนะ” แล้วชวีเสี่ยวปอก็อธิบายต่อว่า “เมื่อกี้ตอนที่ฉันอยู่ตรงนั้น ฉันบังเอิญไปเจอกับนายผมเหลืองเข้า แล้วก็มีเรื่องต่อยกับแก๊งพวกมันไปทีหนึ่ง คิดว่าพวกมันน่าจะยังไม่ไป แล้วก็อย่าให้พวกมันเห็นนายเข้านะ”

 

        “บ้าเอ๊ย แล้วนายล่ะ? นายไม่เป็นไรใช่ไหม? ” ซือจวิ้นร้อนรน

 

        “นิดหน่อย แต่เรื่องไม่ใหญ่มาก โดนมีดปาดเข้าที่แขนนิดหน่อย” ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอพูดอยู่ก็มองเซี่ยเจิงไปด้วยครั้งหนึ่ง เซี่ยเจิงจึงเลิกคิ้วขึ้น ชวีเสี่ยวปอจึงตวัดสายตาไปมองอีกครั้ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า : “ตอนนี้ฉันก็อยู่กับเซี่ยเจิง”

 

        “เซี่ยเจิง? ” ซือจวิ้นผงะไป “ทำไมอ่ะ? ”

 

        “ไว้วันหลังค่อยอธิบาย เรื่องมันยาว แต่ตอนนี้นายต้องรีบกลับบ้านไป” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เซี่ยเจิงฟังหรอก จึงทำได้เพียงเร่งเขาออกไป “เดี๋ยวฉันต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลด้วย”

 

        “โอเคๆ งั้นนายก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวค่อยโทรกลับนะ” แม้ว่าหัวของซือจวิ้นจะยังคงมึนงงอยู่ แต่เขาก็รีบวางโทรศัพท์ไป

 

        บริเวณนี้มีโรงพยาบาลอยู่แค่แห่งเดียว ซึ่งในเวลานี้คนในโรงพยาบาลก็ไม่ค่อยจะเยอะสักเท่าไหร่แล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่เซี่ยเจิงพูดไว้ไม่มีผิด แผลของชวีเสี่ยวปอถูกเย็บไปหลายเข็ม ทั้งยังต้องฉีดยาป้องกันบาดทะยักด้วย หลังจากทำทุกอย่างเสร็จและออกจากโรงพยาบาลมาเรียบร้อยแล้ว ชวีเสี่ยวปอลูบไปยังแขนที่ถูกพันด้วยผ้าเอาไว้หลายชั้นจนหนา แล้วหันไปพูดกับเซี่ยเจิงว่า : “ฉันไม่เชื่อว่านายแค่ผ่านทางมา”

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้เพียงแค่ผ่านทางมาอย่างแน่นอน

 

        เขาออกมาจากห้องเรียนช้า ดังนั้นเมื่อเดินออกมาหน้าประตูโรงเรียนเขาจึงเห็นชวีเสี่ยวปอกำลังเดินตามคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในซอย ตอนแรกเซี่ยเจิงก็ไม่ได้คิดอะไร แต่สีผมและความสูงของนายผมเหลืองนั่นเตือนเขาได้เป็นอย่างดี

 

        เนื่องจากเขาจำได้ว่าวันนั้นคนที่อยู่แถวๆ ร้านสะดวกซื้อกับต้วนเหล่ยมีคนคนนี้อยู่ด้วย

 

        ดังนั้นเขาจึงได้ตามไป

 

        “ลูกพี่ สุดยอด” ชวีเสี่ยวปอยกนิ้วโป้งให้เขา “แล้วทำไมนายถึงมีกระบองติดตัวไว้ด้วยล่ะ เตรียมไว้พร้อมที่จะมีเรื่องตลอดเวลาเลยใช่เปล่า? ”

 

        “อันนั้นไม่ใช่กระบอง” เซี่ยเจิงพูดออกไปเสียงเรียบ “นั้นมันขาเก้าอี้ของลุงยามหน้าประตู”

 

        ตอนที่เซี่ยเจิงกำลังจะตามไป เก้าอี้ที่วางไว้อยู่หน้าป้อมยามที่โชคร้ายตัวนั้นไปเข้าตาของเขาพอดิบพอดี และเขาก็ทำตามหลักการที่ว่า “มีติดมือไว้ดีกว่าไม่มีเป็นไหนไหน” เซี่ยเจิงจึงแยกส่วนประกอบของเก้าอี้ตัวนั้นออกภายใต้สายตาของลุงยาม และแน่นอนว่าต้องขอบคุณลุงยามที่อดทนใช้เก้าอี้ตัวนี้มาหลายต่อหลายปี ไม่อย่างนั้นเซี่ยเจิงก็คงจะไม่สามารถเตะไปเพียงสองครั้งแล้วโครงเก้าอี้ก็พังทลายลงมาอย่างง่ายดาย จนทำให้เขาสามารถหยิบขาเก้าอี้ขึ้นมาและรีบขี่จักรยานออกไปได้

 

         ทั้งยังเอาคำที่คุณลุงตะโกนไล่หลังมาว่า “เจ้าหัวขโมย นายอยู่ห้องไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะไปบอกครูประจำชั้นของพวกนาย !” ทิ้งไว้ด้านหลังด้วยเช่นกัน

 

        “ลูกพี่ เจ๋งสุดๆ ไปเลย” ชวีเสี่ยวปอชื่นชมจากใจจริงออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ยื่นมือไปตีที่ไหล่ของเซี่ยเจิง “ไปกันเถอะ ร้านเหลาอู่ปิ้งย่าง ฉันเลี้ยงเอง”