“หมอบอกแล้วว่าห้ามนายกินของมันและของเผ็ด แล้วก็ห้ามดื่มเหล้าด้วย” เซี่ยเจิงกำลังประคองรถ แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาตรงที่ชวีเสี่ยวปอตีลงไปเมื่อครู่นี้ เขาจึงยกมือขึ้นมาดึงคอเสื้อ เพื่อปกปิดความไม่เป็นตัวของตัวเองนี้เอาไว้

 

        “เดี๋ยวฉันดูนายกิน” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้สนใจ แต่กลับก้าวเดินไปข้างหน้าและหันกลับมาโบกมือ “เร็วเข้าๆ อย่ามั่วชักช้าอยู่สิ”

 

        แต่แล้วชวีเสี่ยวปอก็ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเป็นจำนวนมากจากคำพูดที่เขาพูดไว้

 

        เขามองไปด้านหน้าของเซี่ยเจิงที่มีเนื้อย่างเสียบไม้ที่ทั้งหอมทั้งร้อนวางอยู่ ทั้งยังมองดูซุปไข่ผักรวมที่วางอยู่ด้านหน้าของตน ปู่อู่ที่เป็นเจ้าของร้านก็ดูแลเป็นอย่างดี ยังทำไข่ลวกให้เขาฟองหนึ่งด้วย…แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่

 

        “นายกินสิ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงที่ตั้งนานก็ยังไม่ยอมกินสักที จึงพูดเร่งเขาออกไป “สามชั้นย่างร้านนี้อร่อยที่หนึ่งเลยนะ”

 

        “ฉันรู้สึกตลอดเลยว่าถ้าฉันกินไปคำหนึ่ง นายก็จะเอาซุปไข่ผักรวมนั่นมาราดใส่หัวฉัน” เซี่ยเจิงยกโค้กขึ้นดื่ม แล้วจึงหัวเราะออกมา

 

        “ไม่เลย ไม่เลย” ชวีเสี่ยงปอกลืนน้ำลายเมื่อเห็นเซี่ยเจิงหยิบเนื้อย่างขี้นมาแล้วกัดไปคำหนึ่ง เขาก็ฝืนกินซุปไข่ผักรวมนั้นไปหนึ่งคำเช่นกัน

 

        “ถ้างั้นนายกินสักหนึ่งไม้เถอะ” เซี่ยเจิงดันจานเหล็กไปตรงหน้าเขา “ไม่ทุกข์ทรมานมากหรอก”

 

        “เอาออกไปๆ เอาความเลวร้ายนี้ออกไปเลย อย่าคิดที่จะเอามาล่อฉันนะ” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปาก แล้วยื่นนิ้วเขี่ยจานออกไป พลางแกล้งพูดออกไปอย่างรังเกียจ “ฉันคนนี้นี่นะเชื่อฟังคำพูดหมอเป็นที่สุด”

 

        “ได้” เซี่ยเจิงจึงไม่เกรงใจแล้ว ทั้งสองคนคุยกันไปตั้งหลายประโยค จึงค่อยพูดขึ้นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เซี่ยเจิงถามไปว่า : “นี่พวกเขาออกหน้าแทนต้วนเหล่ยเหรอ? ”

 

        “น่าจะใช่มั้ง” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาเท้าคาง รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย “พวกเขาเข้าใจว่าฉันเป็นคนทำ ไม่เสียเปล่าเลยที่วันๆ เอาแต่หลับตาตามต้วนเหล่ยต้อยๆ ไม่มีสมองทั้งแก๊ง”

 

        “เดาว่าน่าจะไม่จบแค่นี้น่ะสิ” เซี่ยเจิงบีบมือตัวเองไปมา

 

        ไม่จบแค่นี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ในคืนนี้พวกนายผมเหลืองนั่นไม่เพียงแต่ยังไม่ได้ “สั่งสอน” ชวีเสี่ยวปอ ทั้งยังถูกกระบองของเซี่ยเจิงฟาดเข้าไปไม่ใช่เบา ถ้าดูจากท่าทีของพวกนั้นแล้ว คงจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เป็นแน่

 

        “อืม” ชวีเสี่ยวปอทำได้เพียงยอมรับออกไป แต่ก็รีบพูดเสริมออกไปว่า : “พวกเขาน่าจะจำนายได้แล้วเหมือนกัน”

 

        พูดตามตรง พอดึงเซี่ยเจิงเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกผิดไม่น้อยเลย ถึงยังไงซะความขัดแย้งระหว่างเขากับต้วนเหล่ยก็ผูกติดกันมาตั้งนานแล้ว และเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเซี่ยเจิงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เซี่ยเจิงกลับออกหน้ามาช่วยตัวเองไว้ถึงสองครั้งสองครา เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงพูดโพล่งออกไปว่า “เดี๋ยวฉันเพิ่มหมูสามชั้นให้นายอีกสองกำมือ? ”

 

        “ฟุ่มเฟือย” เซี่ยเจิงส่ายหน้า

 

        แล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทั้งคู่จึงเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ทว่าเป็นความเงียบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะชวีเสี่ยวปอ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกผ่อนคลายมาก แต่ที่จริงก็ยังรู้สึกประหลาดอยู่นิดหน่อย ถึงไงซะตอนแรกเขาเองก็ไม่ค่อยชอบหน้าเซี่ยเจิงสักเท่าไหร่ แต่ในตอนนี้เมื่อมองไปยังคนที่อยู่ตรงข้าม ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่า หรือว่าในตอนแรกเขาจะมองอีกฝ่ายโดยเอาความคิดตัวเองเป็นหลัก ที่จริงแล้วเซี่ยเจิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักเท่าไหร่

 

        เห้ย คิดอะไรเลอะเทอะมั่วซั่วไปหมด

 

        ชวีเสี่ยวปอสรุปความคิดที่เกิดขึ้นมาในหัวสมองของเขาทั้งหมดนี้ว่าอาจจะเป็นเพราะซุปไข่ผักรวมของคืนนี้ที่ร้อนจนขึ้นสมองไปหน่อย

 

        ตอนกลางคืนในปลายเดือนกันยายนถือว่าไม่ค่อยร้อนแล้ว ทว่าเมื่อลมพัดเข้ามาโดนตัวก็ไม่ได้รู้สึกหนาวเช่นกัน ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเย็นสบาย ทั้งสองคนเดินไปอย่างช้าๆ เซี่ยเจิงจุดบุหรี่และสูบอย่างเงียบๆ

 

        เมื่อถึงทางแยกทั้งคู่จึงหยุดเดินพร้อมกันราวกับใจตรงกัน ชวีเสี่ยวปอพูดออกมาก่อนว่า : “สองวันนี้นายก็ระวังตัวด้วยนะ”

 

        “รู้แล้ว” เซี่ยเจิงเป่าควันบุหรี่ออกมา แล้วพยักหน้า “แล้วนายกลับยังไง? ”

 

        “เรียกรถมั้ง” ชวีเสี่ยวปอยักไหล่ แล้วยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นเขี้ยวของเขา “ยังไงก็แล้วแต่ คืนนี้ขอบคุณนายมากนะ”

 

        “ฉันก็ขอบคุณสำหรับปิ้งย่างเหมือนกัน อร่อยมากจริงๆ ”

 

        “งั้นฉันไปก่อนนะ? ” ชวีเสี่ยวปอยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรให้พูดแล้ว เขาโบกมือให้เซี่ยเจิงและกำลังจะเดินไปเรียกรถด้านหน้า

 

        “เดี๋ยว นายรอก่อน” เซี่ยเจิงเรียกเขาไว้

 

        ชวีเสี่ยวปอที่เพิ่งจะเดินออกไปได้เพียงสองก้าว จึงถอยหลังกลับมา “มีอะไรเหรอ? ”

 

        “นายจะกลับไปแบบนี้เลยเหรอ? ” เซี่ยเจิงชี้ไปยังแขนของชวีเสี่ยวปอ ถึงแม้ว่าบาดแผลจะถูกพันด้วยผ้าพันแผลเอาไว้แล้ว แต่ว่าเสื้อของเขาก็ยังคงขาดรุ่งริ่ง อีกทั้งยังมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย

 

        “เอ่อ” ชวีเสี่ยวปอผงะไป ถ้าไม่ได้เซี่ยเจิงเตือนเอาไว้เขาเองก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ชวีเสี่ยวปอมองซ้ายมองขวา “ตรงนี้มีร้านขายเสื้อด้วยไหม”

 

        “ไม่เกินความสามารถ” เซี่ยเจิงพูดด้วยเสียงต่ำ “นายมานี่”

 

        ชวีเสี่ยวปอเชื่อฟังที่เขาพูดและเดินขยับเข้าไป

       

        วินาทีถัดมาเซี่ยเจิงจึงโยนก้นบุหรี่ทิ้งไป ดึงคอปกเสื้อของตัวเอง แล้วถอดเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ออกมา ทุกท่าทางดำเนินต่อไปและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

 

        จนกระทั่งเมื่อเสื้อถูกโยนลงบนหน้าอกของชวีเสี่ยวปอ ชวีเสี่ยวปอจึงผงะไปเมื่อเซี่ยเจิงที่เขามองอยู่ จู่ๆ ท่อนบนก็เปลือยเปล่า

 

        “ใส่อันนี้เถอะ”

 

        “แล้วนายล่ะ? นาย…จะเปลือยกลับไปเหรอ? ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็รู้สึกว่าคำพูดของเขาดูจะคลุมเครือไปหน่อย “จะเปลือยไหล่กลับไปเหรอ? ”

 

        “อืม” เซี่ยเจิงไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า

 

        แต่ในสายตาของชวีเสี่ยวปอแล้ว บนหน้าของเซี่ยเจิงต้องมีคำว่าสุดยอดเขียนไว้เต็มหน้าอย่างแน่นอน

 

        “ไม่ใช่อะไร ไม่ใส่เสื้อขี่จักรยานมันจะหนาวมากเลยนะ” ชวีเสี่ยวปอที่ถือเสื้ออยู่ในมือจู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเริ่มพูดไร้สาระออกไปว่า : “เห้ย นี่นายก็มีซิกซ์แพ็กด้วยเหรอเนี่ย”

 

        “อืม…ก็พอได้อยู่” เซี่ยเจิงเอามือมาจับที่หน้าท้อง แล้วขึ้นจักรยานไป “บ้านฉันใกล้ ขี่เร็วหน่อยสิบนาทีก็ถึงแล้ว ยังไงก็ดีกว่าใส่เสื้อที่มีเลือดทั่วตัวกลับบ้าน นายใส่เถอะ ฉันไปละ”

 

        “ได้”

 

        ชวีเสี่ยวปอมองหลังของเซี่ยเจิงจนหายเข้าไปในปากซอยหนึ่ง เขาจึงค่อยใส่เสื้ออย่างเงียบๆ เซี่ยเจิงสูงกว่าเขานิดหน่อย แต่เสื้อกับพอดีตัวเขาเลย ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าจมูกไป ก็ยังได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ของเซี่ยเจิงบนเสื้อของเขาอยู่

 

        หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเรียกรถกลับบ้าน เขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วงนอน จึงหลับไปบนรถแท็กซี่ และเมื่อถึงที่หมายคุณลุงคนขับก็เป็นคนปลุกเขาให้ตื่น เขาจ่ายเงินออกไปด้วยความมึนงง ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองขยับตัวมาจนถึงประตูบ้านได้อย่างไร เขาคิดว่าในเวลานี้เวินลี่และชวีอี้เจี๋ยก็คงจะนอนหลับกันแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาเข้าบ้านไปและเห็นว่าไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่ ความง่วงนอนของชวีเสี่ยวปอจึงหายไปในทันที

 

        ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกที ครั้งนี้เวินที่ไม่ได้ถามว่า “จะดื่มอะไรไหมลูก หิวไหม” เหมือนอย่างทุกครั้ง แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยคำพูดอันเคร่งขรึมและแข็งกระด้างของชวีอี้เจี๋ย :

 

        “กลับมาแล้วเหรอ”

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกได้ทันทีเลยว่าบรรยากาศไม่ค่อยจะดีแล้ว เวินลี่นั่งอยู่บนโซฟา แต่กลับหันหลังให้เขา ไหล่ของเธอสั่นไหวเห็นได้ชัดว่ากำลังร้องไห้

 

        “แม่ครับ แม่เป็นอะไรครับ? ” ชวีเสี่ยวปอรีบเดินเข้าไปคุกเขาลงตรงหน้าเวินลี่

 

        “ยังจะมาถามอีก? ” เวินลี่เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาบวมแดงที่มีผมยาวมาปกปิดไว้ “ลูกจะให้แม่เลิกกังวลหน่อยไม่ได้เลยหรือไง !” เวินลี่พูดพลางร้องไห้ออกมาหนักยิ่งกว่าเดิม น้ำตาก็ร่วงหล่นออกมาเป็นสาย

 

        “พอแล้ว พอแล้ว” ชวีอี้เจี๋ยลูบไปที่หลังของเขา “คุณขึ้นข้างบนไปก่อน เดี๋ยวผมจะค่อยๆ คุยกับลูกเอง”

 

        ชวีอี้เจี๋ยชอบดื่มชามาก แต่ชวีเสี่ยวปอไม่ชอบเลยสักนิด ชาอะไรก็ไม่รู้พออยู่ในปากก็มักจะมีกลิ่นเหมือนกับต้นไม้ใบไม้ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วชวีอี้เจี๋ยยังจะดื่มชาอยู่อีก ทั้งยังไม่กลัวว่าจะนอนไม่หลับด้วย แต่เมื่อเขาเทออกมาแก้วหนึ่ง ดันไปตรงหน้าชวีเสี่ยวปอแล้วพูดว่า “ลูกก็ชิมดูด้วยสิ” ชวีเสี่ยวปอจำต้องยกขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำอย่างไว้หน้าเขา หลังจากนั้นจึงฝืนใจพูดไปว่า :

 

        “ดีมากเลยครับ”