บทที่ 18 หน้าแดง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เซียวลิ่วหลังเดินทำหน้าเลิ่กลั่กออกไป

ในเรือนไม่มีน้ำตาลแดงตุนไว้ จะออกไปซื้อที่ตลาดก็ดึกแล้วร้านค้าปิดหมด จะเหลือก็แต่ต้องไปขอจากเพื่อนบ้าน

เซียวลิ่วหลังไม่เคยขอยืมของจากใครมาก่อน ยิ่งของอย่างน้ำตาลแดงยิ่งแล้วใหญ่

เขายืนอยู่ตรงใต้ชายคาเรือน รับรู้ความร้อนผ่าวที่พวงแก้ม

จากนั้นสูดหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน

“แม่เฒ่าจาง” เขาไปเคาะประตูเรือนตระกูลจาง

แม่เฒ่าจางเปิดประตูออก จากนั้นยิ้มให้แล้วเอ่ยถาม “ลิ่วหลังเองหรือ ดึกป่านนี้มีธุระอันใดรึ”

“ข้า…จะมาขอน้ำตาลแดงหน่อยน่ะ” เขาพยามปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด

น้ำตาลแดงจัดว่าเป็นของหายากในชนบท คนส่วนใหญ่จะไม่มีติดบ้าน เซียวลิ่วหลังเคยได้ยินมาว่าลูกสะใภ้ของนางเพิ่งคลอดลูก กำลังอยู่ไฟ แม่เฒ่าจางจึงวานให้หลัวเอ้อซูเข้าเมืองไปซื้อน้ำตาลแดงมาให้

“จะเอาไปใช้อะไรล่ะ หรือว่าแม่นางกู้ท้องแล้ว” แม่เฒ่าจางเอ่ยถาม

เซียวลิ่วหลังมีอาการใบหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง “ไม่ ไม่ใช่นะ!”

“อ้อ หรือว่ามีระดูแล้ว แล้วอย่างไรล่ะ ครั้งแรกรึ” แม่เฒ่าจางผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ก็คิดไม่ถึงว่าลิ่วหลังจะเป็นคนที่เอาใจใส่ขนาดนี้

แม่เฒ่าจางเดินเข้าไปในเรือนแล้วหยิบชามออกมาใส่น้ำตาลแดง จากนั้นยื่นให้เขา พลางเอ่ยแซว “ผู้หญิงมีระดู

ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะแปลว่านางจะมีลูกให้เจ้าได้ยังไงล่ะ!”

เซียวลิ่วหลังนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองผ่านเรื่องเมื่อกี้มาได้อย่างไร

เขานำน้ำตาลแดงที่ต้มเสร็จแล้วไปให้กู้เจียวในห้อง เซวียหนิงเซียงกลับไปแล้ว ส่วนกู้เจียวกำลังนอนขดอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง

เขาพุ่งตรงเขาไปในห้อง จากนั้นวางถ้วยน้ำตาลแดงลงบนโต๊ะ “เจ้าดื่มสิ ไม่พอบอกข้าได้”

พูดจบก็หันกายเดินม้วนตัวออกไป

แม้เขาจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็หลบไม่พ้นสายตาของกู้เจียวที่สังเกตเห็นว่าใบหูของเขานั้นแดงก่ำแค่ไหน

กู้เจียวหัวเราะหนึ่งที จากนั้นดื่มน้ำตาลแดงในถ้วยจนหมดเกลี้ยง

คาดไม่ถึงเลยว่าน้ำตาลแดงจะออกฤทธิ์ได้ดีขนาดนี้ ร่างกายของนางเริ่มอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สบายตัวขึ้น จากนั้นนางเข้านอนอย่างรวดเร็ว

และในคืนนี้ นางก็ฝันอีกแล้ว

นางฝันว่าวันรุ่งขึ้นนางตื่นสาย เซียวลิ่วหลังออกจากเรือนคนเดียว แล้วเจอกับกู้เสี่ยวซุ่นที่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน

ทั้งสองเดินทางไปสำนักบัณฑิตด้วยกัน เข้าเรียนชั้นเดียวกัน

กู้เสี่ยวซุ่นเป็นเด็กเถลไถล คาบเรียนช่วงเช้าเขาเผลอหลับไปทั้งคาบ ใครๆ ต่างก็มองเขาไม่ดี พอถึงคราวต้องแบ่งหอพัก ไม่มีใครยอมอยู่กับเขา จะมีก็แต่เซียวลิ่วหลัง

ทั้งสองถูกจัดให้อยู่ในห้องทางทิศตะวันตกที่ไกลที่สุด ซึ่งเป็นห้องที่ไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมานานหลายปี

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ฝ้าเพดานก็ทรุดตัวลงมา ทำให้เซียวลิ่วหลังบาดเจ็บสาหัส ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นบาดเจ็บ

เพียงเล็กน้อย

วันต่อมา นางพบว่าตนตื่นสายจริงๆ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันได้บอกเรื่องราวแก่นางแล้ว ทำให้นางสงบจิตสงบใจลงไปได้เยอะ

เซียวลิ่วหลังออกไปเรียนหนังสือแล้ว

รถเกวียนของหลัวเอ้อซูออกตัวไปแล้ว นางจึงต้องเดินเท้าเข้าเมือง มาถึงหน้าสำนักบัณฑิตก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี

กู้เสี่ยวซุ่นหลับคาโต๊ะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนกระทั่งเพื่อนนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาใช้พู่กันสะกิดเรียกเขาให้ตื่น “เฮ้ย ถึงเวลากินข้าวแล้ว!”

กู้เสี่ยวซุ่นขยี้ตาแล้วค่อยๆ นั่งตัวตรง “อ๋า ต้องกินข้าวแล้วหรือ”

พวกนักเรียนมองเข้าไปที่ใบหน้าเขาที่มีรอยยับจากการนอนทับหนังสือ จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา

ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็รู้ว่ากู้เสี่ยวซุ่นเป็นเด็กเส้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนทำตัวไม่เอาไหนขนาดนี้

ต่อให้เขาอยู่ในห้องอ่อนที่สุด ก็ไม่เคยพบเจอใครที่มีพฤติกรรมเช่นเขามาก่อน

ทุกคนต่างมองกู้เสี่ยวซุ่นด้วยสายตาไม่ยอมรับ

ไม่นาน อาจารย์จางผู้เป็นอาจารย์ประจำชั้นก็เดินเขามาในห้อง จากนั้นประกาศ

“วันนี้จะมีการแบ่งหอพักเกิดขึ้น สี่คนต่อหนึ่งห้อง พวกเจ้าไปตกลงกันเองว่าจะอยู่กับใคร จากนั้นมารับกุญแจที่อาจารย์นี่นะ”

ห้องสองตี้จื้อมีนักเรียนทั้งหมดยี่สิบหกคน ดังนั้นจะต้องเหลือเศษสองคน

ทุกคนนัดแนะจับกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว เพื่อนร่วมโต๊ะของเซียวลิ่วหลังมีเพื่อนที่รู้จักกันมานานอีกสองคน จึงลากเซียวลิ่วหลังเข้ากลุ่มด้วย

ขณะที่กู้เสี่ยวซุ่นเองนั้นไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ไม่มีใครยอมอยู่ห้องเดียวกับเขา มีนักเรียนอยู่คนหนึ่งที่เมื่อวานลาเรียนไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่งเข้าเรียนพร้อมกับกู้เสี่ยวซุ่นและยังไม่รู้จักใคร

แต่เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจที่จะอยู่ห้องเดียวกันกับกู้เสี่ยวซุ่น พลันเอ่ย “ข้า…ข้าไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเขา!”

“”หึ! ถ้าอย่างนั้น ข้าอยู่คนเดียวก็ได้!” กู้เสี่ยวซุ่นยืนกอดอกไม่พอใจพลางมองบนใส่

แน่นอนว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แล้วนักเรียนอีกคนล่ะ จะให้เขาไปนอนที่ฝาผนังห้องหรืออย่างไร

แต่จู่ๆ เซียวลิ่วหลังกลับเอ่ยขึ้น “ข้าแลกกับเจ้าเอง”

นักเรียนคนนั้นขอบคุณเขาจนนับไม่ถ้วนจนแทบจะเรียกเขาว่าพ่อแล้ว

กู้เสี่ยวซุ่นเบะปาก พลางเอ่ย “พี่เขย ไม่ต้องมาอยู่กับข้าหรอก! ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากนอนห้องเดียวกับท่านนะ

แต่ข้าแค่…”

เซียวลิ่วหลังรับกุญแจมาจากอาจจารย์จาง จากนั้นทำหน้านิ่งแล้วเดินออกไป

กู้เสี่ยวซุ่นตีปากตัวเอง แล้วเดินตามพี่เขยไป

ห้องดีๆ ถูกเอาไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ห้องที่อยู่ไกลที่สุด ทั้งสองคนแบกข้าวของตัวเองแล้วเดินเข้าไปด้านใน

ขณะที่เดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีบ่าววิ่งเข้ามาหาพวกเขา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ “พวกท่านคนไหนชื่อ

เซียวลิ่วหลังขอรับ”

เซียวลิ่วหลังหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปตอบ “ข้าเอง”

บ่าวหายใจหอบ จากนั้นเอ่ยต่อ “ผู้ปกครองของท่านมาขอพบ! กำลังยืนรออยู่ด้านนอกเลยขอรับ เห็นว่าเป็นเรื่องด่วน! ให้รีบไปหาเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

เซียวลิ่วเป็นเด็กกำพร้า คนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ปกครองเขาได้…จะมีก็แต่นาง

เซียวลิ่วหลังนิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นเอ่ยกับกู้เสี่ยวซุ่น “พี่สาวเจ้ามาน่ะ”

“พี่สาวข้ามาที่นี่งั้นรึ” พอเขารู้ว่าเป็นกู้เจียวมาหา ก็พลันเนื้อเต้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันควัน

“ช้าอยู่ใย รีบไปหานางเร็วเข้า!”

แต่เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องแล้ว เอาของไปวางก่อนแล้วค่อยออกไปหานางก็ได้นี่นา

แต่นางบอกว่าเป็นเรื่องด่วน

ทั้งสองเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังหน้าสำนักบัณฑิต ในมือของพวกเขายังคงแบกสัมภาระไว้

ตรงถนนเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมา แม้กู้เจียวจะสวมชุดที่ไม่ได้โดดเด่นมาก แต่เซียวลิ่วหลังมองแวบแรกก็เห็นว่านางยืนรออยู่ตรงไหน

นางยืนรอท่ามกลางอากาศที่หนาวจนแก้มของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง นางขมวดคิ้วอยู่เนืองๆ เนื่องจากไม่ชอบความพลุกพล่าน

“พี่สาว! พี่สาว!” กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งเข้าไปหานาง

กู้เจียวชายตามองเขา จากนั้นเบนสายตาไปยังเซียวลิ่วหลัง

เขาเองก็มองมาที่นาง ดวงตาสองคู่เกิดประสานสบกัน เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ส่วนกู้เจียวกลับหัวเราะอ่อนๆ ให้

เซียวลิ่วหลังเบือนหน้าหนี จากนั้นเดินเข้าไปหานาง

“ที่เจ้ามาหาข้าถึงนี่ มีเรื่องด่วนอันใดกันรึ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถาม

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก” กู้เจียวเอ่ยด้วยท่าทีสบายสบาย “ข้าแค่อยากมาชวนกินข้าวน่ะ”

พอเอ่ยจบ ก็เห็นว่าเซียวลิ่วหลังกำลังมองมาทางนี้ด้วยความสงสัย นางทำทีเป็นจัดปกเสื้อให้กู้เสี่ยวซุ่น แล้วเอ่ยด้วยความมั่นใจ “เจ้าเข้าเรียนวันแรก ข้าไม่วางใจน่ะ”

พวกเขาเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ชุนหยางที่อยู่ละแวกใกล้ๆ กินบะหมี่หมดไปสามชาม

และด้วยความบังเอิญ ร้านนี้เคยเป็นร้านที่เฝิงหลินพาเขาและกู้เจียวมาทานข้าวด้วยกันมาก่อน

พอนึกถึงตอนนั้น เซียวลิ่วหลังก็เริ่มไม่เจริญอาหาร

กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม “นี่เป็นบะหมี่ของบ้านเกิดเจ้านี่นา ไม่ชอบกินรึ”

“เจ้าทำอร่อยกว่า” จู่ๆ เขาก็โพล่งประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ

กู้เจียวเองก็นิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วคลี่ยิ้มออกมา พลางเอ่ย “เอาละ เดี๋ยวคืนนี้ข้าทำให้”

ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นผู้กินจุเป็นเดิมทุนอยู่แล้ว พอชามแรกหมด กะว่าจะกินต่ออีกชาม แต่ไม่รู้ทำไม

จู่ๆ ก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นี่ข้ากินอะไรเข้าไป เหตุใดถึงแน่นท้องขนาดนี้”