พอกินข้าวเสร็จ ทั้งสองกลับเข้าไปในสำนัก ปรากฏว่ามีคนแจ้งว่าห้องพักของพวกเขาเกิดถล่มลงมา
“ถล่มไปตอนไหนรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
หนึ่งในนักเรียนเอ่ยตอบ “หลังจากที่พวกเจ้าออกไปไม่นาน ห้องนั้นก็เกิดถล่มลงมา มีหลายคนเห็นว่าพวกเจ้าเดินไปทางห้องนั้น เลยนึกห่วงว่าพวกเจ้าจะติดอยู่ในนั้น”
เดิมทีพวกเขาก็จะไปที่ห้องนั้นแหละ เพียงแต่…
เซียวลิ่วหลังทำหน้าฉงน
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นวิ่งไปดูหน้างาน ก็พบเจอแต่ซากปรักหังพังลงมาจากฝ้าเพดานและกำแพง ส่วนพื้นก็ทะลุลงไป
ลองคิดดูถ้าของพวกนี้ตกใส่บนหัวใครเข้าละก็ กู้เสี่ยวซุ่นเอามือทาบอกอย่างอดไม่ได้ “ยังดีที่พี่สาวข้าชวนข้าออกไปกินข้าว! ไม่งั้นพวกเราได้กลายเป็นศพอยู่ในนี้แน่นอน!”
นอกจากที่โรงหมอเมื่อครั้งก่อนแล้ว พอรวมกับครั้งนี้ ก็นับว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่นางช่วยให้เขาพ้นเรื่องอันตรายมาได้
เซียวลิ่วหลังหันไปทางที่กู้เจียวเดินออกไปด้วยสายตาครุ่นคิด
หอพักของบัณฑิตแต่ไหนแต่ไรมีห้องจำกัด แถมครั้งนี้พวกเขารับนักเรียนมาจำนวนหนึ่งร้อยหนึ่งคน
นับว่าเป็นหนึ่งในครั้งที่เยอะที่สุดตั้งแต่มีการเปิดรับมา ทางสำนักไม่มีหอพักเหลือแล้ว จึงต้องให้ทั้งสองคนเดินทางไปกลับมาเรียน
เนื่องจากค่าหอพักรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายทั้งหมด ต่อให้นักเรียนไม่เข้าพัก สำนักก็จะไม่คืนเงินส่วนนี้ให้
แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเนื่องจากไม่ใช่ความผิดของนักเรียน ดังนั้นทางสำนักจึงออกค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ทั้งหมด
ผลจะเป็นอย่างไร กู้เสี่ยวซุ่นไม่สนใจอยู่แล้ว เขาไม่ชอบคนของตระกูลกู้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ชอบสำนักบัณฑิตนี้เท่าไหร่หรอก ที่ไหนก็เหมือนๆ กันหมด
“พี่เขยคงดีใจไม่น้อยเลยสิ” ระหว่างทางกลับห้องเรียน กู้เสี่ยวซุ่นแอบกระซิบเอ่ยถามเซียวลิ่วหลัง
“เหตุใดข้าต้องดีใจด้วย” เซียวลิ่วหลังถามย้อน
“ก็พี่เขยจะได้กลับเรือนไปนอนกับพี่สาวข้ายังไงล่ะ!” กู้เสี่ยวซุ่นเป็นคนพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะมาแต่ไหนแต่ไร
ปีนี้เขาก็อายุย่างสิบสามแล้ว จะว่าไม่รู้เรื่องก็กระไรอยู่ แต่จะให้บอกว่าเขาเป็นเด็กที่พูดจารู้เรื่องก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
ในสายตาของเขา มองว่าคู่สามีภรรยาแต่งงานกันย่อมต้องนอนด้วยกัน ส่วนเรื่องบนเตียงนั้นเขาเองยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาได้โดยที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
เซียวลิ่วหลังจุปากให้ “อย่าพูดจาเหลวไหลน่า”
“อ้่อ” เขาไม่ได้พูดจาเหลวไหลเสียหน่อย ก็ในเมื่อพี่เขยจะได้กลับไปนอนด้วยกันกับพี่สาวของตนแล้วนี่!
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียน คาบบ่ายเป็นวิชาคำนวณ ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในข้อสอบตอนสอบเข้า จะคัดก็แต่คนที่มีความสามารถด้านการเขียนเท่านั้น ดังนั้นราชสำนักจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิชานี้ แต่ที่มีวิชานี้เกิดขึ้นนั้นเป็น
ความต้องการของอาจารย์ใหญ่ที่อยากให้ผลิตคนคุณภาพที่รอบรู้ทุกด้านออกมา
ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังจะหย่อนก้นนั่งลง อาจารย์จางกลับขานเรียกชื่อเขา “อาจารย์ใหญ่เรียกเจ้าให้ไปพบ”
เซียวลิ่วหลังจึงมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลัก
พอมาถึงหน้าประตู ก็พบกู้ต้าซุ่นเดินออกมาจากด้านใน
ใบหน้าของกู้ต้าซุ่นยังคงแขวนความรู้สึกเชิดหน้าชูตาอยู่ พอเขาเห็นว่าเป็นเซียวลิ่วหลัง พลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดพี่เขยถึงมาอยู่ตรงนี้”
เซียวลิ่วหลังไม่สนใจเขา จากนั้นคว้าไม้เท้าแล้วค่อยๆ เดินผ่านเขาไป
กู้ต้าซุ่นเลิกคิ้วสงสัย
หรือว่าเซียวลิ่วหลังจะมาหาอาจารย์ใหญ่ด้วยเหมือนกันรึ
ในวันแรกของการเรียน ท่านอาจารย์เฉินบอกเขาว่าอาจารย์ใหญ่ชื่นชมเขามาก แล้วบอกใบ้กับเขาอย่างเงียบๆ ว่าคณบดีวางแผนที่จะเลือกศิษย์สายตรงจากนักเรียนทั้งหมด และเตือนให้เขาพยายามตั้งใจเรียน
แน่นอนว่าเขาต้องตั้งใจเรียนอยู่แล้ว
คนอย่างเขามีพรสวรรค์ขนาดนี้ ถ้ามีคนที่คอยสามารถชี้ทางให้เขาได้อย่างอาจารย์ใหญ่มาอยู่ข้างๆ ละก็
การคว้าชื่อนักเรียนดีเด่นก็คงไม่ยากไกลเกินเอื้อมหรอก
เมื่อคืนเขาแทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะต้องเขียนบทความส่งให้อาจารย์เฉิน พออาจารย์เห็นบทความของเขาก็นำไปส่งให้อาจารย์ใหญ่ได้ดู เลยเรียกเขาไปถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเขียน ซึ่งเขาเขียนออกมาได้ดีเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์พึงพอใจมาก
เขาคิดในใจ เรื่องลูกศิษย์นี่ดูท่าจะแน่นอนแล้ว แต่ที่เขาสงสัยก็คือ เหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ
หรือจะมาคุยเรื่องหอพักนะ
เขาได้ยินว่าห้องพักของเซียวลิ่วหลังและกู้เสี่ยวซุ่นพังถล่มลงมา หรือจะเป็นเพราะเรื่องนี้ถึงได้มาเข้าพบอาจารย์ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคนอย่างเขาดวงกุดแค่ไหน
พอคิดถึงตรงนี้ กู้ต้าซุ่นก็เค้นเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นออกมา จากนั้นเดินเข้าห้องไปอย่างคนภาคภูมิ
ขณะเดียวกันเองที่ห้องโถงใหญ่ อาจารย์ใหญ่กำลังชี้นิ้วไปทางปากู่เหวินที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นคนเขียนเองรึ”
“ขอรับ” เซียวลิ่วหลังขานตอบ
อาจารย์ใหญ่ค่อยๆ ใช้สายตาอันเฉียบแหลมชำเลืองสำรวจเซียวลิ่วหลัง เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะอายุอานามสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่กลับมีรูปลักษณ์สุขุมเยือกเย็น
ไหนจะขาที่พิการ และไม้เท้านั่น ที่ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ดูโดดเด้งและสง่ากว่านักเรียนคนอื่นๆ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เขียนคำตอบในข้อสองวิชาก่อนหน้า”
คนภายนอกอาจรับรู้แค่เพียงว่าเขาสอบได้ที่รองโหล่ แต่หารู้ไม่ว่าเขาส่งกระดาษคำตอบไปแค่วิชาเดียวจากทั้งหมดสามวิชา
ที่จริงเขาเกือบจะไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว แต่เรียงความของเขาเขียนออกมาได้น่าประทับใจมาก
ที่จริงนักเรียนที่ชื่อว่ากู้ต้าซุ่นก็เขียนเรียงความได้ดีเช่นกัน แต่ดีแค่ในระดับนักเรียนเท่านั้น เมื่อเทียบกับของ
เซียวลิ่วหลังแล้วแน่นอนว่าต่างกันลิบลับ
เซียวลิ่วหลังมิได้ตอบคำถามแต่อย่างใด
อาจารย์ใหญ่นึกในใจ ช่างเป็นเด็กหัวรั้นเสียจริงหนอ จากนั้นโบกมือปัดแล้วเอ่ย “เอาละ เจ้าไปเรียนต่อเถิด”
เซียวลิ่วหลังทำท่าคารวะ จากนั้นม้วนตัวเดินออกไป
จู่ๆ มีบุรุษชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากทางหลังม่าน
“ท่านอาจารย์” อาจารย์ใหญ่โค้งคำนับให้บุรษชราผู้นั้น
บุรุษชราคว้ากระดาษปากู่เหวินขึ้นมาอ่าน พลางส่ายหัว “นักเรียนคนนี้ของเจ้า ดูแล้วเป็นเด็กสุดโต่งใช่ย่อยเลย”
ขณะเดียวกัน ตัดภาพไปที่กู้เจียว หลังจากแยกกับเด็กหนุ่มทั้งสองแล้ว นางก็มุ่งหน้าไปที่ตลาด
ตลาดฝั่งตะวันออกกับตลาดฝั่งตะวันตกมีของขายพอๆ กัน แต่ภาพรวมฝั่งตะวันออกจะดูโอ่อ่ากว่า แน่นอนว่าราคาที่นี่ก็แพงกว่าเช่นกัน แต่นางกลับพบว่าตลาดเริ่มวายแล้ว เลยต้องไปซื้อของที่ร้านค้าหรือไม่ก็ตลาดอื่นแทน
กู้เจียวซื้อแป้งขาวมาสองกิโลครึ่ง หมูสามชั้นอีกหนึ่งกิโล จากนั้นเกลืออีกหนึ่งกิโล หมดนี่จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยสลึงทองแดงกว่า
จากนั้น นางเดินผ่านร้านขายผ้า พลันนึกถึงวันก่อนที่กำลังเก็บผ้าของเซียวลิ่วหลังอยู่นั้น ก็พบว่าเสื้อทับและเสื้อในของเขาขาดเป็นรู
กู้เจียวเดินเข้าไปในร้านแล้วซื้อใหม่อย่างละชุด จากนั้นก็ขอเศษผ้ามาจากเถ้าแก่ร้านเพื่อเอาไปเย็บปะกับของเก่า
แม้นางจะไม่เคยซ่อมเสื้อมาก่อน แต่นางเคยเย็บปิดแผลหัวใจ คิดเสียซะว่าเนื้อผ้าก็เหมือนกับเนื้อหนังคนนั่นแหละ!
กู้เจียวนำของที่ได้มายัดใส่ตะกร้าพร้อมเดินทางกลับหมู่บ้าน ขณะที่นางกำลังเดินออกจากร้านนั้น
ก็พบว่ามีนายทหารกระจายอยู่เต็มไปหมด
เหล่าผู้คนต่างพากันซุบซิบ
“เกิดเรื่องอันใดอะไรขึ้นน่ะ”
“ได้ยินว่ามีคนป่วยเป็นโรคเรื้อนหนีออกมาน่ะสิ พวกนายทหารกำลังตามหากันให้วุ่นเชียว!”
“ไอ้่หยา โรคเรื้อนงั้นหรือ แย่เลยสิ”
“ใช่ไหมล่ะ ช่วงนี้สงสัยคงต้องงดออกจากเรือนไปก่อน หากเจอกับตัวแล้วละก็! มีหวังได้แพร่เชื้อจนป่วยหนักไปตามๆ กันแน่นอน!”
ในสมัยก่อน ยังไม่มียารักษาโรคเรื้อน หากถูกเชื้อจะต้องถูกส่งไปที่บนเขาเรื้อนเพื่อรอวันตายเท่านั้น
กู้เจียวจู่ๆ พลันนึกถึงพี่ชายของเซียวลิ่วหลังที่ด่วนจากไปด้วยโรคเรื้อน
พวกนายทหารพอเดินตรวจที่ถนนเส้นนี้เสร็จก็มุ่งหน้าไปถนนเส้นถัดไป
กู้เจียวกลับมาถึงเรือนเรียบร้อย
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ นางไม่คิดเอามาใส่ใจ จากนั้นก็เข้าครัวขะมักเขม้นทำบะหมี่หยางชุน
ขณะที่นางกำลังนวดแป้งอยู่นั้น ด้านนอกจู่ๆ ก็เกิดเสียงดังปัง ราวกับมีสิ่งใดชนเข้ากับประตูเรือน
กู้เจียวหยิบไม้นวดแป้งแล้วเดินออกไปดู ก็พบหญิงชรานอนสลบอยู่หน้าประตูเรือน