บทที่ 20 ตัดสินใจ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

หญิงชราที่มาล้มอยู่หน้าเรือนสภาพเนื้อตัวแลดูสกปรกซกมก ผมเผ้าเพ่ายุ่งเหยิงจนบดบังใบหน้า สวมชุดผ้าบางๆ

แวบแรกกู้เจียวเข้าใจว่าคงเป็นคนของหมู่บ้านนี้ที่เพิ่งกลับมาจากไร่นา แต่ไฉนถึงได้มาล้มลงที่หน้าบ้านของนางกันได้ล่ะ

เสียงดังเมื่อครู่ คือเสียงของศีรษะที่กระแทกเข้ากับบานประตู กู้เจียวสังเกตที่หน้าผากของหญิงชรา มีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

กู้เจียวใช่ว่าไม่เคยพบเจอกับเรื่องหัวกระแทกต่างๆ แต่บอกตรงๆ ว่าถ้าเอาหัวไปกระแทกเองแล้วก็นางยังไม่เคย

ดูเหมือนหญิงชราจะเป็นลมหมดสติไป

กู้เจียวย่อตัวลงเพื่อจะดูว่าหญิงชราเป็นคนของบ้านไหน จะได้พาส่งกลับบ้านถูก แต่พอหลังจากช่วยพลิกตัวร่าง

หญิงชราให้อยู่ในท่านอนราบ กลับพบว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เรือนร่างของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยแผลสีอ่อนสีเข้มสลับไปมา ซ้ำยังมีรอยแดงเหลือบๆ บนใบหน้าไปจนถึง

หลังมือทั้งสองข้าง

กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น อย่าบอกนะว่านี่เป็น…

“พี่สาว! พวกเราถึงเรือนแล้ว!”

ในตอนนั้นเอง กู้เสี่ยวซุ่นที่สะพายย่ามหนังสือเก่าๆ กำลังพุ่งตัวเข้าไปหานาง

กู้เจียวพลันหันไปทางเขา จากนั้นตะโกนห้าม “อย่าเข้ามา!”

กู้เสี่ยวซุ่นไม่เคยได้ยินพี่สาวของตนใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยกับเขามาก่อน จึงเกิดอาการชะงักงัน

“ท่านพี่…” กู้เสี่ยวซุ่นยังคงก้าวเท้าเข้ามาสองก้าว

“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา!” น้ำเสียงกู้เจียวดุดันและเย็นชากว่าเดิม

ครั้งนี้กู้เสี่ยวซุ่นถึงได้ยอมหยุดฝีเท้าของตน ซึ่งห่างออกไปจากกู้เจียวเพียงแค่สิบก้าวกว่าเท่านั้น

เขามองไปทางกู้เจียว และพลันสังเกตหญิงชราที่นอนอยู่ตรงหน้ากู้เจียว

สัญชาติญาณของเขาบอกได้ว่า ที่นางไม่ให้เขาเข้าใกล้เป็นเพราะหญิงชราคนนั้นแน่ๆ

“เขาคือใครรึ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้ากลับไปที่เรือนกู้ก่อนเถิด”

เดินทีนางตั้งใจจะกินข้าวเย็นกับกู้เสี่ยวซุ่น แต่พอมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยของทุกคน แน่นอนว่านางไม่อยากให้กู้เสี่ยวซุ่นต้องเดือดร้อนไปด้วย

กู้เสี่ยวซุ่นทำท่าไม่พอใจ แต่ทำอย่างไรได้ละ ในเมื่อพี่สาวตนพูดเช่นนี้แล้ว เขาจึงต้องทำตาม

“ถ้าเช่นนั้น พี่เขย ข้าขอตัวก่อนล่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยกับพี่เขย

เซียวลิ่วหลังก็กลับมาแล้วรึ กู้เจียวทำหน้าตกใจ

ไม่เพียงแต่เซียวลิ่วหลังเท่านั้น ครั้งนี้เฝิงหลินก็ตามมาด้วย

เนื่องด้วยเฝิงหลินช่วยเพื่อนร่วมโต๊ะทำการบ้าน เพื่อนร่วมโต๊ะคนนั้นจึงมอบตะกร้าส้มโอให้เป็นการขอบคุณ

จากนั้นเฝิงหลินแบ่งให้เซียวลิ่วหลัง ครั้นเกรงว่าเซียวลิ่วหลังคนเดียวแบกส้มโอกลับมาไม่ไหวก็เลยช่วยเขา

ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นนั้นเอาแต่คอยแกล้งเซียวลิ่วหลัง เฝิงหลินเลยรู้สึกไม่ไว้ใจที่เซียวลิ่วหลังต้องกลับกับเขา

เลยถือโอกาสขอติดมาด้วย

ส่วนตอนนี้ ทั้งเซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินต่างเห็นร่างของหญิงชราที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว

“พวกเจ้าเองก็อย่าเพิ่งเข้ามา” กู้เจียวย้ำอีกครั้ง

เฝิงหลินขมวดคิ้วสงสัย “ตายแล้วหรือยัง หรือว่าเจ้าเป็นคนทำ”

“เฮ้ย! พูดจาซี้ซั้วอะไรของเจ้า!” กู้เสี่ยวซุ่นเหม็นขี้หน้าเฝิงหลินที่คอยเอาแต่ถากถางพี่สาวของตน

เฝิงหลินย้อนถาม “ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ ต้องเกิดเรื่องกับหญิงชราคนนั้นแน่นอน ไม่เช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปล่ะ”

เซียวลิ่วหลังทำหน้านิ่งแล้วก้าวเท้าเดินต่อ

“เจ้า….อย่าเข้ามา” กู้เจียวเอ่ย

แต่เซียวลิ่วหลังกลับไม่ฟัง

เขาเห็นตั้งแต่กะแวบแรกแล้วว่ามีบางอย่างผิดแปลก พอเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ถึงได้เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า

และทลายความสงสัยในใจ

เฝิงหลินเองก็เดินตามเขาไป

“ เฮ้ย! พวกเจ้าเดินเข้าไปกันหมดเลยเหรอ! พี่สาว คือข้า…ข้า…” กู้เสี่ยวซุ่นเกิดร้อนใจ

เฝิงหลินหยุดยืนที่ด้านข้างเซียวลิ่วหลัง เขาสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของหญิงชรา ลางสังหรณ์ชักไม่ค่อยดี “ท่านพี่เซียว หรือว่าจะเป็น…”

“โรคเรื้อนสินะ” เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วเอ่ย

เฝิงหลินเนื้อตัวเริ่มสั่น เข่าเริ่มทรุด!

“น่ะ น่ะ นี่ นี่ นี่ นี่มัน…หญิงชราคนนี้เป็นโรคเรื้อน…” เฝิงหลินตกใจจนพูดติดอ่าง

ใครๆ ต่างก็รู้ว่านี่เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดที่ระบาดอยู่ในตอนนี้ และหากมีหนึ่งคนในหมู่บ้านเกิดเป็นขึ้นมา ก็จะลามไปทั้งหมู่บ้าน ซ้ำร้ายโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษา หากเป็นแล้วต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว

ในยุคก่อนเคยเกิดเหตุการณ์ที่ว่ามีคนเป็นโรคนี้ขึ้นมาแต่กลับไม่มีคนให้ความสำคัญ ผลลัพธ์คือเกิดโศกนาฏกรรมคนล้มตายเป็นหมื่นๆ คน

พอมาถึงยุคนี้ ฮ่องเต้จึงได้สั่งให้สร้างภูเขาโรคเรื้อนไวเพื่อรองรับคนที่ติดเชื้อเพื่อได้รับการดูแลที่นั่น

“เจ้าถูกตัวนางแล้วใช่ไหม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามอย่างใจเย็น

กู้เจียวพยักหน้าให้เขา

นางแค่แตะนิดเดียวเท่านั้น อีกทั้งเนื้อตัวนางไม่ได้มีรอยบาดแผลใดๆ ที่เปิดทางให้เชื้อโรคเข้าไปได้

ดังนั้นโอกาสที่จะติดเชื้อนั้นค่อนข้างต่ำ

แต่คนอื่นอาจไม่ได้มองเช่นนั้น

หากใครล่วงรู้ว่านางสัมผัสกับคนป่วยโรคเรื้อนแล้วละก็ คงต้องลากนางไปส่งที่เขาโรคเรื้อนพร้อมกับหญิงชราคนนี้แน่นอน

ที่แบบนั้นหากขึ้นไปแล้วมิอาจลงมาได้อีก

เฝิงหลินลากเซียวลิ่วหลังให้ออกห่างไปสิบกว่าก้าว พลันเอ่ยอย่างตระหนก “เจ้าได้ยินที่นางพูดแล้วใช่ไหม

นางสัมผัสตัวกับคนที่เป็นโรคเรื้อนแล้ว เจ้าต้องรีบพานางออกไปนะ! มีหวังได่แพร่เชื้อกันทั้งหมู่บ้านแน่!”

เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วขึ้น

เฝิงหลินกระทืบเท้าเอ่ย “ไอ้หยา ท่านพี่เซียว ยังลังเลอะไรอยู่อีก เจ้าเองก็อยากจะกำจัดนางอยู่แล้วมิใช่หรือ

นี่ไง นางสัมผัสกับคนป่วยโรคเรื้อนแล้ว นางต้องติดเชื้อมาแล้วแน่นอน ตามกฎราชสำนักอย่างไรเสียก็ต้องส่งนางไปที่

เขาโรคเรื้อน นี่แหละโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้กำจัดนางไปให้พ้นๆ น่ะ!”

เซียวลิ่วหลังเป็นผู้มีการศึกษา แน่นอนว่าเขาไม่ทำเรื่องอย่างทิ้งลูกทิ้งเมียได้ลงคอหรอก เพราะนั่นถือเป็น

การทำลายชื่อเสียงอันดีงามของเขา เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าราวกับเป็นโชคสองชั้น นอกจากจะรักษาชื่อเสียงไว้ได้แล้ว

ยังขจัดนางออกไปได้ด้วย!

“จะไม่มีใครไปที่เขานั่น” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

เฝิงหลินทำหน้าตะลึงงึงงัน

เซียวลิ่วหลังค่อยๆ ใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเข้าไปใกล้ๆ นาง พลางเอ่ย “ไปเอาผ้าแห้งมาที”

กู้เจียวไม่เอ่ยถามสักคำ รีบเข้าไปหยิบผ้าแห้งสะอาดมาในทันใด

เซียวลิ่วหลังคว้าผ้านั้นมา จากนั้นย่อตัวลงข้างๆ ร่างของหญิงชรา

กู้เจียวรู้แล้วว่าเขาจะทำอะไร จึงรีบเอ่ย “ข้าทำเอง”

“ไม่ต้องหรอก” เซียวหลิวหลังเอาผ้าพันเข้าไปที่ใบหน้าหญิงชรา ปิดปากและจมูกไว้ “แบกนางเข้าไปด้านใน”

“ได้” กู้เจียวเอ่ยตอบ

“นี่! ท่านพี่เซียว!” เฝิงหลินพยายามตะโกนห้ามเขา

กู้เสี่ยวซุ่นเมื่อได้ยินดังนั้นก็พอจะเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง หญิงชราผู้เป็นโรคเรื้อนจู่ๆ มาจากไหนก็ไม่รู้

พี่สาวตนเห็นดังนั้นจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าใกล้เพราะกลัวเขาจะติดเชื้อไปด้วย

นี่นางเห็นเขาเป็นคนขี้ขลาดตาขาวขนาดนั้นเชียวรึ

กู้เสี่ยวซุ่นพอคิดได้ดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วยพี่สาวและพี่เขยแบกร่างหญิงชราเข้าเรือน

เฝิงหลินได้แต่ย่ำเท้าอย่างร้อนรน

บ้าไปแล้ว!

พวกเขาบ้าไปแล้ว!

แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกัดฟันเดินตามเข้าไปในเรือน!