พวกเขาวางร่างหญิงชราไว้บนเสื่อฟางที่อยู่ตรงลานหลังเรือน
ยังดีที่พื้นที่เรือนของพวกเขามีขนาดใหญ่พอตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถรักษาระยะห่างกับคนป่วยได้
“ทำเช่นไรต่อล่ะต่อทีนี้” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถาม
“ก่อนอื่นต้องล้างมือก่อน” กู้เจียวเอ่ย
พวกเขาล้างมือโดยใช้สบู่ถูจนสะอาดดี
จากนั้นเซียวลิ่วหลังเข้าไปในห้องของตนแล้วร่างแนวทางรักษาออกมา
กู้เจียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม “อะไรรึ”
แม้ว่ากู้เจียวยังรับรู้ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่กู้เจียวร่างเดิมนั้นเป็นคนไม่รู้หนังสือ ดังนั้นนางจึงไม่รู้
ตัวอักษรบนนั้นเลยสักตัว
“ตำรับยาน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“ตัวนี้อ่านว่าอะไร” กู้ เจียวชี้นิ้วไปที่อักษรตัวแรกบนกระดาษ
“เปลือกน่ะ” เซียวลิ่วหลังอ่านให้นางฟัง “เปลือกเก๋ากี้”
“แล้วคำนี้ล่ะ” กู้เจียวถามต่อ
“โสม ใบตำแย กระทือ…” เซียวลิ่วหลังค่อยๆ อ่านไล่ไปทีละคำให้กู้เจียวฟัง
สายตาของนางจดจ่ออย่างตั้งใจ แม้จะไม่ค่อยถูกเวลานัก แต่เซียวลิ่วหลังก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
“เจ้ารู้ตำรับยาพวกนี้ได้อย่างไร” กู้เจียวเอ่ยถามอย่างสงสัย
เซียวลิ่วหลังนิ่งไปสักพักแล้วเอ่ยตอบ “พี่ชายข้าเคยเป็นโรคเรื้อน จากนั้นก็มีหมอพเนจรคนหนึ่งจ่ายยาให้
บอกว่าเป็นตำรับยาที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าพอเขาทานยานั่นก็เริ่มมีอาการดีขึ้น”
ร่างเดิมของกู้เจียวนั้นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกันโดยบังเอิญ เนื่องด้วยตอนนั้นนางยังเป็นคนบ้าอยู่
จึงไม่เข้าใจว่าโรคเรื้อนคืออะไร เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และไม่ได้บอกให้คนอื่นได้ล่วงรู้
แต่เรื่องนี้เฝิงหลินรู้อยู่แล้ว และเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาถูกคนในบ้านเกิดรังเกียจเดียดฉันท์
จึงจำต้องพลัดถิ่นฐิ่นเข้ามาเรียนหนังสือที่เมืองชิงเฉวียนแห่งนี้
ระหว่างเดินทางพวกเขาได้พบกันโดยบังเอิญ เขากับเฝิงหลินนั้นเคยเป็นเพื่อนบ้านกันมาก่อน เพียงแต่เฝิงหลิน
ย้ายออกไปก่อน เลยไม่ได้เจอกันนานหลายปีจนแทบจะจำหน้าไม่ได้ หากไม่ได้ถามไถ่ชื่อและภูมิลำเนาละก็คงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“ในเมื่อดีขึ้นแล้ว เหตุใดสุดท้ายเขาถึงตายล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เซียวลิ่วหลังย่นคิ้ว “ก็เพราะเรื่องราวถูกแพร่สะพัดไปถึงหูของพวกนายทหาร จนเขาถูกจับไปอยู่ที่เขาโรคเรื้อน
เลยป่วยแล้วล้มตายที่นั่นยังไงล่ะ”
ที่แท้เรื่องราวเป็นแบบนี้นี่เอง
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “อาการของนางถือว่ายังไม่หนักมาก พอๆ กับพี่ชายของข้าในตอนนั้น หากดูแลดีๆ ก็อาจรักษาให้หายได้”
กู้เจียวเข้าใจในตำรับยาแล้ว แต่ด้วยความที่ยานั่นออกฤทธิ์ค่อนข้างเบา ทำได้แค่ไม่ให้เชื้อลุกลามเท่านั้น
คงเป็นเรื่องยากหากจะรักษาให้หายขาด
เจียวเหนียงไม่เอ่ยอะไรต่อ
เฝิงหลินหยิบกระดาษตำรับยามาพลันเอ่ย “ข้าจะไปหายามาให้!”
“อย่าลืมว่าต้องไปร้านโอสถหลายๆ ที่ล่ะ” เซียวลิ่วหลังกำชับ
เฝิงหลินครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ทำท่านึกขึ้นได้ พลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้วน่า!”
ตำรับยานี้ต้องไม่ให้คนจ่ายยาดูออกว่าเป็นยาสำหรับรักษาโรคเรื้อน ไม่อย่างนั้นความแตกแน่นอน
“ข้าไปด้วย!” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย
“เจ้าจะไปทำไม” เฝิงหลินไม่อยากไปกับเขา
กู้เสี่ยวซุ่นทำหน้าจับพิรุธ พลางเอ่ย “ข้ากลัวว่าเจ้าจะไปแจ้งนายทหารน่ะสิ!”
กู้เสี่ยวซุ่นจำได้ว่าเจ้าบ้านี่วางอุบายจะจับพี่สาวตนส่งเขาโรคเรื้อน หึ คิดหรือว่าเขาไม่ได้ยินน่ะ!
เฝิงหลินกลอกตามองบนใส่
ก็ถ้าเซียวลิ่วหลังไม่ได้แตะตัวหญิงชรานั่น เขาก็คงทำตามแผนที่วางไว้ แต่เซียวลิ่วหลังดันแตะตัวเข้าให้แล้ว
จะกลายเป็นว่าเขาลากสหายของตนไปซวยด้วยน่ะสิ
แต่ดูเหมือนกู้เสี่ยวซุ่นมีท่าทีตั้งใจจะตามตนไปร้านยาจริงๆ เลยจำต้องพาเขาไปด้วย
พวกเขาเลือกเดินเท้ากันไปแทนการนั่งรถเกวียนเพื่อหลีกหนีผู้คน ทั้งสองคนใช้เวลาไปซื้อโอสถอยู่ประมาณ
หนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็เดินทางกลับพร้อมกับยาและขวดยาที่ได้มา
กู้เจียวนำยาเข้าไปในครัวแล้วจัดแจงเคี่ยวตุ๋นในหม้อ
ระหว่างรอต้ม กู้เจียวเอ่ยถามเซียวลิ่วหลัง “พวกเจ้ากลับมาได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่ากู้ต้าซุ่นไปอยู่ที่หอพักแล้ว”
เซียวลิ่วหลังจึงเล่าเรื่องที่ห้องถล่มให้นางฟัง
กู้เจียวคิดในใจ กะแล้วเชียว แต่ก็พยายามแสดงสีหน้าตกใจ “ดีแล้วที่พวกเจ้าไม่เป็นอะไร”
เซียวลิ่วหลังพยายามสังเกตท่าทีของนาง
ลานหลังเรือนเริ่มมีลมหนาวโชย กู้เจียวจึงนำข้าวเปลือกออกมา จากนั้นนำเตียงไม่ไผ่ออกมา
แล้วปูด้วยฝ้าย จนได้มาเป็นที่นอน
“พวกเจ้าออกไปก่อน เดี๋ยวข้าป้อนยานางเอง” กู้เจียวเอ่ย
“ท่านพี่ต้องระวังให้มากนะ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยด้วยความกังวล
“วางใจเถอะน่า ข้าระวังตัวอยู่แล้ว” หลังจากที่กู้เจียวต้อนพวกเขาออกไป กู้เจียวก็แอบหยิบกล่องยาที่ซ่อนไว้ขึ้นมา
เซียวลิ่วหลังพูดถูก นี่เป็นอาการป่วยระยะเริ่มต้น เรื้อนที่ปะทุบนผิวเป็นเพียงแค่รอยเล็กๆ เท่านั้น ยังไม่ลามขนาดว่าเกิดเป็นรอยแผลเหวอะ มีโอกาสน้อยในการแพร่กระจายเชื้อ หากรักษาให้ถูกวิธีก็สามารถหายเป็นปกติได้โดยที่ไม่มีอาการตามมาทีหลัง
ส่วนที่นางล้มลงไปมิได้เกิดจากโรคเรื้อน แต่เป็นเพราะร่างกายอ่อนแรง ซ้ำเสื้อผ้ารองเท้าของนางยังขาดวิ่น
อีกด้วย…
กู้เจียวพลันนึกถึงพวกทหารที่เจอตอนกลางวัน หรือว่า…คนที่พวกเขาตามหาอยู่ก็คือหญิงชราผู้นี้
พอหญิงชราค่อยๆ ได้สติแล้ว กู้เจียวก็คว้ายาปฏิชีวินะและยาต้านวัณโรคจากกล่องยาออกมาแล้วป้อนนาง
รวมถึงยาสูตรพิเศษที่คิดค้นขึ้นในห้องปฏิบัติการด้วย
ส่วนยาต้มนั่น กู้เจียวเองก็ให้หญิงชราดื่มแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่ชอบรถขมของยาเสียเท่าไหร่
พอดื่มเข้าไปก็ทำหน้ายี้แล้วบ้วนออกมา
“ท่านเป็นคนที่ใดรึ” กู้เจียวเอ่ยถามลองเชิง เผื่อว่าจะได้ส่งนางกลับถูก
หญิงชราเหลือบไปมองกู้เจียวสักพัก แล้วจู่ๆ ก็ผล็อยหลับไป
“…”
กู้เจียวเก็บของเสร็จก็รีบพุ่งตัวไปล้างมือให้เรียบร้อย
“ท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นที่ยืนรออยู่ตลอดก็ปรากฏตัว “เหตุใดถึงได้ใช้เวลานานขนาดนั้น”
“คนชราดื่มยาต้องใช้เวลาน่ะ ข้าเลยให้เขาดื่มเยอะๆ หน่อย” กู้เจียวเอ่ยตอบ
“เอ่อ” กู้เสี่ยวซุ่นสำรวจร่างกายผู้เป็นพี่ จากนั้นเอ่ยถาม “นางจะหายจริงๆ หรือ ข้าได้ยินมาว่าโรคนี้รักษาไม่หาย”
กู้เจียวยิ้มอ่อนให้ พลางเอ่ย “รักษาได้สิ วางใจเถอะน่า”
กู้เสี่ยวซุ่นไม่ยักกะเคยได้ยินมาก่อนว่าโรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงรู้สึกเชื่อมั่นในพี่สาวของตนขนาดนี้
ในเมื่อนางบอกว่ารักษาได้ ก็ต้องได้สิ!
ฟ้ามืดแล้ว ถึงเวลาที่กู้เสี่ยวซุ่นและเฝิงหลินต้องแยกย้ายกลับเรือน
ก่อนจะออกไป เฝิงหลินแอบกระซิบกับเซียวลิ่วหลัง “ท่านพี่เซียว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนรักความยุติธรรม
มิอาจทนเห็นคนลำบากแล้วไม่ยื่นมือช่วย แต่ข้าขอเตือนเจ้านะ โรคนี้น่ะรักษาไม่หายหรอก เจ้ารีบพานางออกไปในก่อนที่พวกชาวบ้านจะมารู้เรื่องเข้าดีกว่า”
เขาไม่มีสิทธิ์ไปชี้แจงว่าสิ่งที่เซียวลิ่วหลังทำนั้นผิด ก็เพราะว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนแบบนี้ ตอนนั้นเขาถึงได้รอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้ตรงที่พักม้า
สมกับเป็นท่านพี่เซียววีรบุรุษผู้กล้าหาญ
“ไม่พอนะ เจ้าต้องระวังนางไว้ให้ดีๆ ล่ะ นางน่ะสัมผัสกับคนป่วยมาแล้ว หาก…”
“นางเป็นคนมีชื่อแซ่นะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยแทรก
เฝิงหลินชะงักไปสักพัก พลันทำหน้างุนงงแกมไม่พอใจใส่คนตรงหน้า
หากว่ากันตามจริงแล้ว เซียวลิ่วหลังนับว่าเป็นคนที่มีกำแพงในใจสูง แม้ว่ากับคนที่รู้จักกันมานานเขาก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าถึงเขาได้ หากวันนั้นไม่ได้เขาช่วยชีวิตไว้ละก็ เฝิงหลินอาจมองเขาเป็นแค่ชายหนุ่มหยิ่งยโสคนหนึ่ง
พักหลังนี้เขาเริ่มจับทางได้ว่าเซียวลิ่วหลังมีท่าทีต่อกู้เจียวเปลี่ยนไป
ท่านพี่เซียว…ท่านเปลี่ยนไป!!!