บทที่ 14 สำนักฟ้าประทาน (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 14 สำนักฟ้าประทาน (ต้น)

บทที่ 14 สำนักฟ้าประทาน (ต้น)

หมัวเทียนผู้คว้าสมบัติลับไม่ได้เดินทางกลับไปยังสำนักฟ้าประทาน แต่มองหาสถานที่ใกล้เคียงเพื่อหยุดพักและจะเดินทางกลับหลังบ่มเพาะมรดกเหล่านี้จนหมด

ยามเคลื่อนไหวด้วยกระบี่ เขารับรู้ความรู้สึกสดชื่นได้ท่ามกลางเมฆหมอกบนท้องนภา

ครั้งนี้ตนได้รับมากมายหลายสิ่งจากซากมังกรสถิต ไม่เพียงได้รับมรดกแห่งกระบี่จากปรมาจารย์กระบี่เท่านั้น แต่การฝึกฝนยังได้รับการพัฒนาจนก้าวออกจากขั้นราชันไปอีกครึ่งก้าวแล้ว

หลังทำการฝึกกระบี่ผ่านไปสามวัน ในที่สุดหมัวเทียนก็กลับมายังสำนักฟ้าประทาน

เมื่อกลับไปยังสำนัก เขาได้ยินศิษย์สำนักคนหนึ่งบอกว่าเจ้าสำนักสั่งให้เข้าไปยังห้องโถงใหญ่ทันทีที่กลับมา

หมัวเทียนไปยังห้องโถงใหญ่ทันที หลังก้าวเข้าไปในห้องนั้นเข้าก็พบชายชราเครายาวกำลังเล่นหมากรุก

นี่คือเจ้าสำนักฟ้าประทาน ตู้เหิง

ผู้เฒ่าลูบเครา ก่อนจะวางหมากรุกในมือลง และเอ่ยโดยไม่เงยหน้า “กลับมาแล้วหรือ?”

หมัวเทียนประสานมือทำความเคารพ “ขอรับ”

เจ้าสำนักถามต่อทันที “ได้รับสิ่งใดจากการเดินทางในครั้งนี้บ้าง?”

ขณะบุตรแห่งโชคชะตากำลังจะกล่าว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสิ่งของที่ได้มาจะต้องถูกแบ่งปันกับศิษย์ในสำนักคนอื่น เพราะเขาเดินทางไปที่นั่นกับศิษย์สำนักอีกคน

แต่หลังจากได้รับสมบัติลับ หมัวเทียนยังคงอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน จนเจ้าสำนักรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่เชื่อฟังคำสั่งและกลับไปยังซากมังกรสถิตโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อเห็นว่าศิษย์ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ตู้เหิงจึงพึมพำกับตนเอง “ดูเหมือนว่าจะได้รับมามากมาย และตอนนี้ก็ได้ก้าวออกจากขั้นราชันไปอีกครึ่งก้าวแล้ว”

หมัวเทียนเพียงลดสายตาลงและตอบกลับ “ขอรับ”

“อืม” ต้าเหิงไม่ต้องการถามสิ่งใดอีกต่อไป “เจ้ากลับไปเสีย”

หมัวเทียนโค้งคำนับและเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง

เสียงของเหยียนโจวดังขึ้นในหูของหมัวเทียน “เจ้าหนู เนื่องจากเจ้าทะลวงขั้นราชันไปครึ่งก้าวแล้ว ไปยังภูเขาด้านหลังเพื่อรับเอากระบี่รุ้งครามในคืนนี้ด้วย”

“วันนี้หรือ?” หมัวเทียนเลียริมฝีปากของเขาอย่างกระตือรือร้นด้วยความปรารถนาที่จะลอง

กระบี่รุ้งครามถูกบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักฟ้าประทานทิ้งไว้ แม้จะเป็นกระบี่หัก แต่ก็มีเจตจำนงสูงสุด! เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ศิษย์สำนักมากมายของสำนักฟ้าประทานพยายามเข้าใจเจตจำนงกระบี่นั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จเลย

หมัวเทียนเองก็พยายามเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังไม่อาจทำได้

แม้เขาจะไม่เข้าใจเจตจำนงแห่งกระบี่ ทว่าอาจารย์เหยียนโจวก็พบวิธีซ่อมแซมมันแล้ว ดังนั้นหลังรวบรวมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เขาก็ขอให้หมัวเทียนนำกระบี่รุ้งครามออกไปและหาสถานที่ซ่อมมัน

กระบี่รุ้งครามเป็นอาวุธชั้นสูง ชนิดที่ทั้งในดินแดนทางเหนือมีไม่เกินยี่สิบชิ้น

หมัวเทียนหลงใหลในอาวุธดังกล่าวเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่อาจารย์บอกว่าสามารถซ่อมแซมได้

หลังจากวันนี้เป็นต้นไป… กระบี่เล่มนี้ก็จะกลายเป็นของเขา

ยิ่งหมัวเทียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ด้วยกระบี่รุ้งคราม เขาไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะเผชิญหน้ากับลู่หยวนในอนาคต

กลางดึกของวันนั้น หมัวเทียนปกคลุมร่างกายของตนด้วยเสื้อคลุมสีดำและเดินทางไปยังภูเขาด้านหลัง

หมัวเทียนเข้าไปในห้องใต้หลังคา หยิบกระบี่รุ้งครามซึ่งถูกวางอยู่ขึ้นอย่างง่ายดาย

เขาชักมันออกจากฝักอย่างระมัดระวัง ยามถือกระบี่รุ้งคราม ส่วนคมที่หักก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

ส่วนของกระบี่หักปกคลุมไปด้วยสนิม แต่ด้ามจับยังคงไร้ที่ติ ในขณะที่มีเจตจำนงกระบี่แผ่ซ่านอยู่อย่างเลือนราง

อีกด้านหนึ่ง สำนักฟ้าประทานไม่เงียบสงบเหมือนที่เคย ศิษย์สำนักทุกคนรีบไปยังจัตุรัสหน้าห้องโถงใหญ่เพื่อทำความเคารพ!

ณ ด้านหน้าจัตุรัส ผู้อาวุโสมากมายแต่งกายอย่างเรียบร้อย พวกเขาต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียด พลางจ้องมองไปเบื้องหน้าราวกับรอคอยบุคคลสำคัญ

ยอดฝีมือแปลกหน้ามากมายเดินทางมาจากทุกสารทิศพร้อมกับศิษย์ร่วมสำนัก พวกเขาก้มหน้าลงและพูดคุย

“คืนนี้มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดพวกเราจึงถูกเรียกตัวมาที่นี่?”

“ไม่อาจรู้ได้! แต่ท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่!”

“ข้าได้ยินมาว่ามีคนใหญ่คนโตจะเดินทางมาที่นี่!”

เมื่อฝูงชนได้ยินประโยคนี้ พวกเขาทั้งหมดก็จ้องไปยังชายผู้เอ่ย “ใหญ่โตเพียงใดกัน?”

ชายผู้นั้นตอบกลับทันที “ข้าได้ยินมาจากพี่ชายว่า บุคคลที่เดินทางมาในคืนนี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ ทายาทแห่งตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนทางเหนือ ลู่หยวน!”

“หา!”

ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็อ้าปากค้าง เหล่าศิษย์อยู่ในสำนักฟ้าประทานตลอดทั้งปี แม้จะเคยออกไปข้างนอกบ้าง แต่ก็แทบไม่ได้พบปะผู้มีชื่อเสียงเลย พวกเขาเพียงเคยได้ยินเรื่องราวของตระกูลผู้ทรงอำนาจสองสามตระกูลในดินแดนทางเหนือเท่านั้น

แน่นอนว่าไม่เคยเจอบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่จากดินแดนทางเหนือ!

ความคิดสับสนมากมายของทุกคนถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้น และเริ่มจ้องมองไปข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

หลายคนยืดคอสูงเพื่อเพ่งมองไปยังทางเข้าภูเขา

เปรี้ยง!

ไม่นานนัก เสียงกัมปนาทก็ดังก้องขึ้นบนท้องนภา..

เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นกิเลนอสรพิษฟ้าราวสองสามตัวกำลังโบยบินมา ลากรถเทียมสัตว์อสูรเหยียบเมฆา ตามมาด้วยบุรุษผู้แข็งแกร่งอีกหลายคน พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือ

กรร!

กิเลนอสรพิษฟ้าคำรามด้วยเสียงต่ำ หยุดกีบเท้าของมันลงชั่วคราว ก่อนจะยืนอย่างมั่นคงบนลานกว้าง

ต้าเหิงนำผู้อาวุโสสองสามคนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินไปยังรถเทียมสัตว์อสูรและทำความเคารพ

“ถวายความเคารพแด่บุตรศักดิ์สิทธิ์!”

ลู่หยวนก้าวออกมาจากรถเทียมสัตว์อสูร ตามมาด้วยซวี่รั่วหลิง

“ลุกขึ้นเถิด”

ลู่หยวนกล่าวอย่างเฉยเมย ต้าเหิงและคนอื่น ๆ ต่างลุกขึ้น โค้งคำนับและเดินออกไป “เชิญบุตรศักดิ์สิทธิ์ทางนี้เถิด”

ลู่หยวนจับมือซวี่รั่วหลิงและเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตรงหน้า

หลายคนในจัตุรัสจ้องมองอดีตหญิงสาวจากตำหนักฟ้าประทานซึ่งอยู่เคียงข้างชายหนุ่ม

“เหตุใดพี่หญิงซวี่รั่วหลิงจึงอยู่เคียงข้างบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ได้?”

“นั่นสิ ว่ากันว่าพี่หญิงซวี่รั่วหลิงเดินทางไกลไม่ใช่หรือ? อีกทั้งนางยังบอกว่าจะไม่กลับมาหลังจากสิบปี!”

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่จับมือพี่หญิง ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่!”

แน่นอนว่าลู่หยวนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งสงบและเริ่มนึกถึงอดีตในใจอย่างระมัดระวัง

ในวันที่เจ้าของร่างเดิมลักพาตัวซวี่รั่วหลิง ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น และดูเหมือนว่าศิษย์สำนักธรรมดาเหล่านี้จะไม่รู้ว่าศิษย์พี่หญิงซวี่รั่วหลิงถูกลักพาตัวไป

ต้องขอบคุณเจ้าสำนักที่สร้างข้ออ้างในการเดินทาง เพื่ออธิบายความเป็นอยู่ของนาง

ลู่หยวนนั่งลงบนที่นั่งหลัก ส่วนซวี่รั่วหลิงยืนอยู่ข้างเขาอย่างเชื่อฟัง

ต้าเหิงยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้อาวุโสและสมาชิกคนอื่น ๆ ของสำนักเพื่อรอคอยคำสั่ง

ลู่หยวนจิบชาพลางกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านมีศิษย์ชื่อหมัวเทียน”

หัวใจของตู้เหิงเต้นไม่เป็นจังหวะทันที อันที่จริงเมื่อครั้งที่เขาได้รับรายงานจากตระกูลลู่ว่า บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่กำลังเดินทางมา เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าจุดประสงค์ในการมาถึงของลู่หยวนต้องเกี่ยวข้องกับหมัวเทียนแน่

เมื่อฉีเฟิงน้องชายของเขาส่งจดหมายกลับมา เจ้าสำนักฟ้าประทานก็ได้รับรายงานว่าลู่หยวนและหมัวเทียนมีความขัดแย้งกัน

หลังผ่านไปหลายวัน หมัวเทียนยังคงไม่เดินทางกลับมา ดังนั้นต้าเหิงจึงคาดเดาว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องลักลอบเข้าไปในเขตแดนลับเป็นแน่

เมื่อหมัวเทียนเดินทางกลับมา เขาจึงเรียกศิษย์ผู้นั้นเข้าพบเพื่อตรวจสอบ เมื่อเห็นรากฐานการบ่มเพาะที่ดีขึ้นนี้ ก็รับรู้ได้ทันทีว่า เขาจะต้องได้รับสมบัติจากซากมังกรสถิตเป็นแน่