บทที่ 22 – มิวเองก็หงุดหงิดเป็นนะ

 

“พวกเจ้า….เป็นใคร…”

ในบ้านหลังหนึ่ง.. ซึ่งเดิมทีแล้วไม่มีคนอยู่ตอนนี้กลับมีคนคนหนึ่งที่สภาพเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในหนังอยู่

เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาว สวดแว่นตาร่างกายค่อนข้างผอมเพราะไม่น่าจะได้กินอะไรมานานแล้วนั่นแหละ

และแน่นอนว่าที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือมิว รินนะและเอริเนียสามคนที่ได้ที่อยู่ของคนคนนี้มา..

“จะว่าไงดี.. พวกเราเป็นคนที่ต้องมาปกป้องคุณระหว่างที่คุณทำงานละมั้ง?”

“ปกป้องฉัน…?”

“ใช่”

มิวตอบออกไปตามตรงเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีว่าโลกนี้คือโลกที่อยู่ในหอคอยและหอคอยก็บอกให้มาปกป้องนายก็คงจะแปลกๆ

ดังนั้นเธอจึงบอกไปแค่นั้น ส่วนทางด้านรินนะเหมือนกำลังสนใจของอย่างอื่นที่อยู่ในห้องมากกว่า เพราะมันเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแปลกๆ

แทนที่จะบอกว่าเป็นห้องของนักวิทยาศาสตร์ มันเหมือนกับเป็นห้องของแม่มดหรือพ่อมดในโลกแฟนตาซีมากกว่า

เพราะมีกระทั่งขวดแก้วที่เก็บดวงตาอะไรเอาไว้ก็ไม่รู้ .. เมื่อชายคนนั้นได้ยินสิ่งที่มิวบอกก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ

“ฮ่าๆ.. ปกป้องฉันเหรอ?อย่ามาล้อเล่นนะ”

“ยังไงซะไอ้พวกโบสถ์ที่เหลืออยู่ก็ส่งพวกแกมาเพื่อจัดการกับฉันละสิ”

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างสมเพชและดูถูกพวกมิว แน่นอนว่าสำหรับเขาเองก็หลบให้พ้นจากพวกโบสถ์ที่เหลืออยู่เหมือนกัน

กล่าวคือเขากำลังซ่อนตัวนั่นเอง ไม่แปลกที่คนอื่นจะตามหาเขาแล้วไม่เจอ.. อันที่จริงที่มิวเจอก็เพราะใช้ทักษะโกงของมังกรด้วย

แน่นอนว่าทางมิวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเท่าไหร่ หมายความว่าไง.. ทำไมถึงหลบหน้าพวกโบสถ์

และโบสถ์ที่ว่านี่หมายถึงโบสถ์ที่พึ่งล่มสลายไปใช่ไหม .. เหมือนเป็นครั้งแรกที่มิวเหมือนจับทางเรื่องราวของโลกในหอคอยได้

“กะแล้วเชียว.. มันไม่ใช่แค่เรื่องราวที่ปูโลกเท่านั้น”

มิวคิดในใจ.. อันที่จริงที่เนื้อเรื่องในหอคอยนั้นมีบอกแค่สองชั้นเท่านั้นคือชั้นหนึ่งกับชั้นที่สองนั่นแหละ

ส่วนชั้นสามไม่มีใครสามารถระบุเนื้อเรื่องได้.. อันที่จริงเนื้อเรื่องที่ว่าก็เกิดจากการมีบันทึกในแต่ละชั้นตกอยู่ตามบ้านบางหลัง

และคนที่เข้ามาก็ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ.. แต่นับตั้งแต่ชั้นสามเป็นต้นไปก็ไม่มีคนเจอบันทึกที่ว่าเป็นเหมือนเนื้อเรื่องแล้ว

แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน.. เพราะอีกฝ่าย นักวิทยาศาสตร์แห่งโลกแหนตาซีเหมือนกำลังตั้งท่าเตรียมจะหาของมาปาใส่พวกมิวแล้ว

“เดี๋ยวก่อนๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะ.. ฉันไม่ใช่พวกคนที่นายต้องกังวลหรอก ฉันไม่ใช่ศัตรูของนายนะ”

มิวรีบอธิบาย

“เหอะๆ.. ไร้สาระ พวกแกมันก็เป็นแค่ลิงไร้ขนที่ไม่เข้าใจอะไรในแผนการวิวัฒนาการของข้า”

ยิ่งคุยยิ่งงงเข้าไปใหญ่.. แต่ในตอนนั้นเองชายคนนั้นก็หยิบขวดแก้วขวดหนึ่งออกมาปาลงพื้นและวินาทีนั้นเอง..

“ตู้ม!!!”

เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นควันสีเทาพวยพุ่งออกมาและพุ่งโจมตีใส่มิวอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามิวไม่เป็นอะไรเพียงแต่สองคนด้านหลังนั้นไม่ใช่

ทำให้เธอต้องโดดถอยหลังออกไปด้านหลังพร้อมกับค้าแขนของเอริเนียและรินนะถอยหลังออกไปจากบ้านหลังนี้

“ฮ่าๆ.. ตายซะไอ้พวกลิงไร้ขนหน้าโง่ นี่คือผลลัพธ์ของการวิจัยฉันยังไงล่ะ พวกแกไม่มีทางรอดแล้ว ฮ่าๆ”

เสียงผู้ชายบ้าคนนั้นดังตามมาติดๆ พร้อมกับหมอกควันสีเทาที่ค่อยๆ เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนที่มีความหนาแน่นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตขึ้นมา

“ต้องสู้อีกแล้วเหรอ?”

มิวรู้สึกท้อกับสิ่งที่ต้องเจอ อันที่จริงการสู้สำหรับเธอมันไม่เรียกสู้ด้วยซ้ำ มันเรียกกวาดล้างซะมากกว่า เพราะระหว่างทางที่มาหาไอ้บ้านี่

เธอเจอศัตรูอยู่เยอะพอสมควร และก็ต้องจัดการโดยการใช้พลังของเธอ และแน่นอนว่ามันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก..

ไม่สิ มันง่ายยิ่งกว่านั้นหลายร้อยเท่าด้วยซ้ำ ถ้าถามว่าทำไมในเมืองถึงมีสัตว์ประหลาด เพราะว่าพวกมิวไม่ได้ไปปกป้องที่หน้ากำแพงเลยทำให้สัตว์ประหลาดบุกเข้ามาในเมืองนั่นเอง

แน่นอนว่าผู้ใช้อารยธรรมคนอื่นก็สถานการณ์คล้ายๆ มิวก็คือตามหาไอ้บ้านี่ ทำให้เมืองนี้เลยมีสัตว์ประหลาดอยู่เยอะในตอนนี้

ซึ่งแน่นอนว่าถ้าฆ่าศัตรูง่ายเกินไปมันเลยเบื่อมาก.. เหมือนกับการที่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ไม่จบไม่สิ้น

พอมาเจออีกฝ่ายมิวเลยรู้สึกว่าจบสักที.. แต่ก็ยังต้องมาต่อสู้อีกทำให้มิวท้ออย่างแรง เหมือนเล่นเกมเนื้อเรื่องอยู่ดีๆ ก็ตัดเข้าซีนต่อสู้

“ตายซะ”

“ก็บอกว่าฉันมาช่วยแกไงโว้ย”

มิวรู้สึกหัวร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้กับทุกอย่างในวันนี้ โดนป้าคนหนึ่งหลอกให้ทำสัญญาด้วย เข้าหอคอยมาก็ยังมาเจอคนชั่วอีก

พอช่วยคนหนึ่งที่ตามหาน้องชายอยู่ก็พบว่ายัยนี่มันโรคจิตชอบความตื่นเต้น สัตว์ประหลาดกากๆ ก็บุกเข้ามาไม่ให้พัก

ทุกอย่างในวันนี้มันทำให้มิวรู้สึกเบื่อหน่ายจนอยากจะยกมือขึ้น.. และตบแม่งให้เกลี้ยง อสูรที่เกิดจากควันพุ่งดิ่งใส่มิวอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่พริบตาต่อมา

ฝ่ามือแห่งความโกรธของมิวก็ตบออกไป..

“ตบเรอะ ฮ่าๆ ไม่ได้ผลหรอก การโจมตีกายภาพทุกอย่างไม่มีผลหรอก นี่คือผลงานชิ้นเอกของข้าโดยการศึกษาพื้นฐานของร่างกายมนุษย์เลยนะโว้ย”

“โดยปกติแล้วมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตประกอบขึ้นจากธาตุที่ชื่อว่าคาร์บอนและคาร์บอนก็จะสร้างพันธะต่อกันเกิดเป็นพันธะเคมีหรือ DNA”

“และเจ้าหมอกมรณะนี้ก็ใช้หลักการเดียวกันแต่สร้างพันธะโดยใช้แก๊ส ซึ่งเดิมทีเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าด้วยเวทมนตร์ทำให้สามารถแทรกแซงนิวเคลียสของอะตอมได้”

“และผลลัพธ์ก็คือ.. สร้างปีศาจที่เกิดจากหมอกได้.. ถึงจะเสียเวลามาหลายปีแต่ก็สำเร็จ.. และแน่นอนว่าแกจะไปแตะต้องแก๊สได้ไงละ”

“ตายซะ ฮ่าๆ”

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างสะใจ พูดศัพท์อะไรไม่รู้เรื่องออกมา แต่ทว่าวินาทีที่ฝ่ามือของมิวฟาดลงใส่นั้น

“เปรี้ยง”

เสียงดังกล่าวดังขึ้นตามมาด้วยสีหน้าเหวอของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง.. เพราะวินาทีที่เสียงดังขึ้นหมอกนั้นก็กระจัดกระจายหายไปในทันทีเลย

“นี่….”

“เมื่อกี้นายพูดอะไรนะ?”

มิวถามซ้ำก่อนที่จะเดินไปเตะก้นนักวิทยาศาสตร์กลับเข้าไปในบ้านด้วยความหงุดหงิดใจ

“ฉันบอกว่าฉันไม่ได้เป็นศัตรูของแกโว้ย ฉันจะช่วยปกป้องแกในระหว่างที่แกทำเองเข้าใจไหม?”

“ถามว่าใครส่งฉันมาเหรอ? พระเจ้าไง มันส่งมาเป็นข้อความเข้าหัวโดยตรงเลย แกเชื่อพระเจ้าหรือเปล่าละห้ะ ไอ้บ้าเอ้ย”

“แล้วก็เมื่อกี้แกบอกว่าโจมตีกายภาพไม่มีผลใช่ไหม บอกให้เอาบุญขอแค่ตบจนพันธะแตกมันก็พอแล้วเว้ย”

อาจจะเพราะหัวร้อนไปหน่อยมิวเลยสวดมนต์ยกใหญ่เข้าให้ ถึงปกติเธอจะเป็นคนไหลตามน้ำคนอื่นเก่ง

สังเกตได้จากการที่คุยกับคาเอะบ้าง รินนะบ้าง.. แต่ถึงแบบนั้นเธอก็หงุดหงิดเป็นเหมือนกันนี่น่า

นักวิทยาศาสตร์ที่ฟังอีกฝ่ายสวดอยู่ก็มีแต่ความงุนงงและความสับสน.. จนกระทั่งคำพูดสุดท้ายที่มิวพูดออกมาก็แทบจะทำให้เขาตาแป๋วลงทันที

ความเข็มที่เหมือนกับรู้ทุกอย่างราวกับนักปราชญ์เหมือนถูกแทนที่ด้วยความโง่เขลาที่สุดในโลก

“ไม่สิ.. แบบนั้นเป็นไปได้ด้วยเร้ออออ?”

“ก็เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่หรือไง?”

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นบัดนี้มองมิวเหมือนกับเป็นคนที่สูงใหญ่กว่าตัวเองยิ่งนัก เหมือนกับว่าตัวเขาเล็กจ้อยเพียงมดปลวกเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย

“เอ้ะ.. แบบนั้นคือหล่อนตบจนอะตอมแตกเลยเหรอคับ”