บทที่ 23 – เควสง่ายๆ

 

“อ่ะแฮ่ม.. อืม ดูจากความแข็งแกร่งของเจ้าแล้วคงไม่ได้มาเพื่อทำร้ายข้าจริงๆ เพราะถ้าเจ้าต้องการข้าคงตายไปแล้ว”

หลังจากแสดงความขี้ขลาดของเขาออกมา ก็เหมือนพึ่งนึกได้จึงรีบดึงความลึกลับตัวเองกลับมาด้วยการกระแอมไอหนึ่งครั้งพร้อมกับตีหน้าเข็ม

มิวที่พอเห็นอีกฝ่ายฟังตัวเองแล้วจึงสงบสติอารมณ์ลงมาได้นิดหน่อย.. ก่อนที่ชายนักวิทยาศาสตร์บ้านั่นจะแนะนำตัว

“ข้ามีชื่อว่า ทราฟ.. อย่างที่เห็นข้ากำลังทดลองวิวัฒนาการระดับชั้นมนุษยชาติเพื่อช่วยมนุษยชาติอยู่..”

“หือ เอาเรื่องพวกนั้นมาบอกฉันจะไม่เป็นไรเหรอ?”

มิวถามออกไปแบบนั้น แต่แน่นอนมิวรู้ว่านี่เป็นเหมือนเควสพิเศษที่หอคอยเตรียมไว้ให้บางทีการเล่าก็คงเป็นเซตติ้งหนึ่งของหอคอย

แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่อยากรู้เกี่ยวกับหอคอย.. เพราะหอคอยนี้มันลึกลับมากมันสามารถสร้างโลกใบหนึ่งขึ้นมาและกำกับได้ว่าโลกนั้นต้องเป็นแบบไหนหรือยังไงเลยงั้นเหรอ

แบบนั้นมันก็อาจจะเหมือนพระเจ้าที่มิวพึ่งพูดถึงจริงๆ.. ดังนั้นมิวจึงถามเหมือนว่าเรื่องสำคัญขนาดนั้นมาบอกคนแปลดหน้าที่พึ่งเจอมันจะดีเหรอ

แน่นอนว่าทราฟไม่เข้าใจเจตนาของผู้มาจากนอกหอคอยคนนี้

“แน่นอน เจ้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ถึงความจริงแท้ที่ข้าทำ เพราะพวกโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์บัดซบนั่นมันไม่เชื่อในตัวข้าและหาว่าข้าทำไปเพราะจำทลายมนุษยชาติ”

“หือ หมายความว่าโบสถ์นั่นไม่เห็นด้วยกับนายที่ทดลองอะไรแบบนี้ ก็เลยตามล่านายอยู่ใช่ไหม”

“ใช่แล้ว.. ทั้งที่การทดลองของข้ามันสามารถช่วยโลกใบนี้ อ้ากกก ทำไมคนบนโลกนี้มีแต่คนโง่เง่าเต็มไปหมด ข้าละอยากจะฆ่าพวกโง่แม่งให้หมด อ้ากกก!”

ทราฟยิ่งพูดเหมือนยิ่งหงุดหงิด เขากรีดร้องด้วยความโกรธพร้อมกับบิดตัวไปมา จนแม้แต่มิวที่โกรธอยู่ยังหายโกรธไปเลย

เธอถอยหลังพร้อมคิดในใจ ‘เจอโรคจิตตัวตึงอีกตัวแล้ว’ เธอคิดแบบนั้นก่อนจะหันมองไปที่รินนะ

พอรินนะเห็นมิวหันมาเธอก็ถามด้วยความสงสัยว่า

“มีอะไรเหรอคะ?”

ความตื่นเต้นในดวงตายของรินนะหายไปแล้ว ไม่สิ มันแทนที่ด้วยความคิดที่บอกว่าเมื่อไหร่จะจบสักทีนะ

พออยู่ด้วยกันมาสักพักมิวถึงได้เข้าใจว่ายัยเด็กนี่มันเหมือนจะแค่ชอบความตื่นเต้น การเสี่ยงตายแต่ตัวเองไม่เคยเสี่ยงตายมาก่อน

“เปล่า..”

มิวดึงสายตากลับมา.. พร้อมคิดในใจว่าสอนความกลัวให้เด็กคนนี้แล้วเจ้าตัวจะเลิกทำนิสัยแบบนั้นไหมนะ

“เออๆ รู้แล้ว แล้วนายทำไปถึงขั้นไหนแล้ว”

มิวทำท่าทางเหมือนรำคาญทราฟเลยทำให้ทราฟรีบกลับมาเป็นปกติทันที

“อะแฮ่ม.. แน่นอนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าได้พยายามอยู่หลายวิธีจนกระทั่งได้—”

“ทฤษฎีไม่ต้อง ฉันฟังไปก็ไม่เข้าใจหรอก ที่ฉันอยากรู้คือพวกเราต้องทำอะไรเพื่อช่วยนายดี?”

“เจ้า…!!”

ทราฟรู้สึกเดือดดาลเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังที่ตัวเองพูดให้จบ อย่างน้อยมันก็เป็นความภาคภูมิใจของเข้าเลยนะ

แต่ก็อย่างที่มิวพูด.. พูดมามิวก็ไม่เข้าใจอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวทมนตร์หรือเรื่องของฟิสิกส์ก็ตามที

แม้ทราฟจะหงุดหงิดแต่เขาก็ได้แต่อธิบายต่อ

“ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ มันใกล้จะเสร็จแล้วยังขาดแรงบันดาลใจบางอย่างอยู่ ในระหว่างนี้ที่ข้าหาแรงบันดาลใจขอให้พวกเจ้าปกป้องบ้านของข้าที”

เมื่อสิ้นสุดคำ หน้าจอโฮโลแกรมก็โผล่พรวดออกมาด้านหน้าของรินนะและเอริเนียอีกครั้ง แน่นอนว่ามิวเองก็เห็น

[แจ้งเตือนเควส]

ปกป้องบ้านของทราฟเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน โดยระหว่างนี้ในศัตรูจะบุกเข้ามาเป็นคลื่นทุกครั้งที่จัดการหมด [0/…?]

[ของรางวัล]

ขึ้นอยู่กับจำนวนศัตรูที่สังหาร [???]

มิวที่เห็นว่าต้องกำจัดศัตรูอีกเธอก็ได้แต่ถอนหายใจพลางพึมพำกับตัวเองว่า “แต่ก็นั่นสินะ.. นี่มันหอคอยที่ต้องสู้นี่นะ เพราะมีเนื้อเรื่องให้อ่านก็เลยสนใจแต่เนื้อเรื่องไปหน่อย เดิมทีที่แห่งนี้ก็ต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้น”

“แต่จะน่าเบื่อไปไหมเนี่ย!”

ในขณะที่มิวบ่นนั้นเอง..

“จะว่าไปมีของรางวัลด้วยแฮะ”

รินนะพูดขึ้น มิวเองก็พยักหน้าเพาะเธอเองก็ไม่เคยอ่านเจอเหมือนกันว่ามีรางวัลแบบนี้ด้วย.. แต่ก็น่าจะเพราะไม่มีใครเคยได้รับเควสจากหอคอยนั่นแหละ

แต่ก็นะปกติแค่เอาแก่นบางอย่างที่อยู่ในตัวสัตว์ประหลาดไปขายก็ได้ของตอบแทนสูงลิ่วเกินพอแล้วล่ะ มิวหันไปตอบทราฟ

“เข้าใจแล้วๆ”

“งั้นตกลงตามนี้”

เมื่อสิ้นสุดคำนั้นหน้าจอแจ้งเตือนเควสก็บอกกับเอริเนียและรินนะว่าจะเริ่มในอีกสิบนาทีกรุณาเตรียมตัว

ทราฟก็เดินเข้าห้องส่วนตัวไปทันที โดยไม่ขออนุญาตมิวก็พาเอริเนียและรินนะเดินเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นและพักรอสิบนาที

การจัดการศัตรูนั้นไม่เป็นปัญหากับมิวเลย แต่ที่ทำให้เป็นปัญหาก็ต้องมีวิธีรับมือเนื่องจากต้องปกป้องที่แห่งนี้ด้วยเลยต้องคิดสักหน่อย

ในขณะที่มิวใช้ความคิด รินนะก็พูดขึ้น

“ว่างั้นว่างี้เลยก็เหอะพี่ ฉันรู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่อทราฟอะไรนั่นดูไม่น่าจะใช่คนดีอะไรเลยนะ ดูน่ากลัวด้วย”

มิวอยากจะพูดว่า “หล่อนเองก็ไม่ต่างจากมันนักหรอก” แต่น่าเสียดายที่มิวไม่ใช่คนใจจืดใจดำขนาดนั้น

“ก็นะ.. แต่มันเป็นเควสนี่น่า”

“ก็นั่นสิคะ….”

รินนะพยักหน้าเข้าใจมิวอย่างช่วยไม่ได้.. ก่อนที่เธอจะหันไปมองเอริเนียที่นั่งอยู่ข้างๆ มิว..

“อันที่จริงฉันมีเรื่องอยากถามพี่มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วล่ะ.. แต่ว่าถ้าถามออกไปก็อาจจะดูล่วงเกินไปหน่อยเลยไม่ได้ถาม.. แต่ว่าเด็กคนนี้คือใครอ่ะ”

“จะว่าไปฉันก็ลืมแนะนำเธอเลยสินะ เธอชื่อเอริเนียเป็นคู่หูของฉันเองน่ะ มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอเลยทำให้เป็นแบบนี้น่ะ”

“แต่ว่า..ถ้าเป็นแบบนั้นให้เข้ามาในหอคอยด้วยจะดีเหรอคะ?”

“ก็นะ ถ้าอยู่กับฉันจะดูปลอดภัยกว่าก็เลยให้มาอยู่ด้วย”

“อ้ะ.. จริงด้วย”

พอมิวพูดแบบนั้นรินนะเหมือนพึ่งนึกออกว่าคนตรงหน้าเธอคือสัตว์ประหลาดเดินดินที่ฆ่าคนโดยไม่ขยับขาสักข้าง

ทำให้เธอได้แต่หัวเราะแห้งๆ รินนะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เอริเนีย

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอริเนียจัง ฉันชื่อว่ารินนะ”

เอริเนียไม่ได้ตอบ เธอเพียงแค่เว้นระยะห่างเล็กน้อยที่ผู้หญิงคนนี้ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะจับแขนเสื้อมิวเบาๆ เหมือนบอกว่ากำลังกลัว

“อย่าสกินชิพกับคนที่พึ่งเจอขนาดนั้นสิ”

“เดี๋ยวสิพี่ แบบนี้ไม่ควรเรียกสกินชิพสักหน่อย พี่นี่อย่างกับคนแก่เลยอ่ะ ทั้งที่อายุน่าจะเยอะกว่าฉันแค่ปีสองปีแท้ๆ”

“…..”

มิวรู้สึกเจ็บแปล๊บที่กลางอก.. ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงมองว่าชอบบ่นเท่ากับคนแก่ด้วยเนี่ย มิวได้แต่รู้สึกเจ็บลึกไปถึงกลางอกทั้งที่ตัวเองอายุพึ่งยี่สิบกว่าๆ เอง

อายุด้านในอะนะ..

“ว่าแต่ พี่จะรับมือยังไง?”

“ก็พอคิดวิธีออกแล้วล่ะ…”

มิวหลับตาลง ในระหว่างที่คุยกับรินนะเมื่อกี้เธอก็วางแผนในหัวไปด้วย มังกรแม้จะมีท่าที่ทำลายล้างเยอะ

แต่ท่าที่ใช้ในการปกป้องสถานที่จากศัตรูจำนวนมากนี่แทบจะไม่มีเลย ดังนั้นมิวจึงคิดจะลองใช้อาณาเขตจิตมังกรผสมผสานกับเนตรทำลายล้างของมังกร

เนตรมังกรนั้นมีคุณสมบัติหลายอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็คือเนตรทำลายล้าง.. เนตรทำลายล้างเป็นอีกหนึ่งอย่างที่มังกรวิวัฒนาการเพื่อต่อสู้กับเวทมนตร์

โดยความสามารถของมันนั้นสามารถแยกส่วนเวทมนตร์ออกจากกันได้ เพียงแต่ข้อเสียของมันนั้นมีมากอย่างยิ่ง

หลักๆ เลยก็คือ การแยกส่วนเวทมนตร์นั้นต้องทำด้วยการโฟกัสไปที่ตรงนั้นเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วตาของเราแม้จะมีมุมมองที่กว้างก็จริง

แต่ทุกครั้งที่เรามองบางอย่างเรามักจะโฟกัสไปที่จุดเดียว สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถโฟกัสได้สองจุดพร้อมกันยกเว้นสัตว์บางชนิดที่วิวัฒนาการมาทางนั้น

กล่าวคือเนตรทำลายล้างนี้ต่อต้านได้แค่เวทมนตร์ทีละครั้ง แต่ก็นะ.. สำหรับมังกรต่อให้มีเวทมนตร์พุ่งมาสักพันอันก็ยังสลายได้ภายในไม่กี่วินาทีอยู่ดี

ช่างเรื่องนั้นไปก่อน.. จริงๆ แล้วเนตรทำลายล้างนี้มันสามารถแยกส่วนสสารที่เกาะกลุ่มออกจากกันได้โดยตรง

กล่าวคือถ้าใช้เนตรนี้ให้ลึกกว่าเดิมก็สามารถแยกส่วนวัตถุทุกอย่างให้สลายหายไปได้เลยแทนที่จะสลายแค่เวทมนตร์.. แต่ก็อย่างที่บอกมันเป็นเนตร

การจะสลายในระดับนั้นต้องรับรู้ถึงมันลึกซึ้งมากกว่าการมอง อย่างน้อยก็ต้องแตะ แต่ก็ขอพูดอีกรอบว่ามันคือ เนตร จะเอาตาไปแตะกับสิ่งนั้นๆ เพื่อสลายมันทิ้งก็คงหาใช่เหตุไม่

ดังนั้นมิวจึงคิดจะใช้มันผสานกับเขตจิตมังกร…ที่สามารถระบุทุกอย่างที่เข้ามาในเขตที่ตัวเองแพร่ออกไปได้.. ใช่แล้วเดิมทีเขตจิตมังกรก็เหมือนเอาส่วนหนึ่งของมังกรออกมาคลุมไว้อยู่แล้ว

ถ้ามีสิ่งมีชีวิตบุกเข้ามาในร่างกายมิวโดยตรง.. นั่นหมายความว่าความลึกซึ้งของการสัมผัสตัวตนอีกฝ่ายมันมากกว่าการมองเห็นหรือสัมผัสด้วยซ้ำ

และในเวลานั้นก็… บู้มม.. แยกส่วนทุกสิ่งที่เข้ามาในอาณาเขตของเธอได้…

มิวอธิบายให้รินนะฟังคร่าวๆ แค่ว่าตัวเองมีความสามารถที่สร้างเขตแล้วมีคนเข้ามาสัมผัสตัวก็จะแตกรุ่ยสลายหายไป

รินนะได้แต่ทำสีหน้าแบบว่า..

“พี่พูดจริงอ่ะ.. ไม่ใช่ว่าพี่นี่เก่งกว่าองค์หญิงองค์ชายทั้งหลายแล้วเหรอนี่”

แต่แน่นอนเธอไม่ได้พูด เธอพูดแค่ว่า

“ไม่ว่าจะเควสอะไรถ้าอยู่กับพี่คงเป็นแค่เควสง่ายๆ หมดสินะ…”

 

……..