“หลี่ฉางโซ่วผู้นี้…ความจริงแล้วเขาสามารถติดตามไปได้ทั้งสองทาง แต่เหตุใดเขาถึงเลือกไปในทางที่สามเล่า!”

ท่ามกลางหมู่เมฆและหมอกเหนือป่าสมบัติโกลาหล เวลานี้จิ่วจิ่วซึ่งนั่งอยู่บนก้อนเมฆสีเทา พลันตบเข่าฉาดอย่างเกรี้ยวกราดสุดระงับ แล้วหยิบน้ำเต้าขึ้นมาดื่มอึกใหญ่เพื่อคลายความกังวลในใจนาง

ในงานชุมนุมหาประสบการณ์ครั้งนี้ นางไม่อยากให้มีศิษย์มาที่ดินแดนเทวะอุดรเป็นจำนวนมากนัก สี่คนของพวกเขาล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์บำเพ็ญเซียนที่ล้ำค่าที่สุดในสำนัก และนางย่อมไม่อาจปล่อยให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาได้

ยามนี้พวกเขาทั้งห้าคนช่างหาญกล้านัก แบ่งแยกถึงสามเส้นทาง ทำให้จิ่วจิ่วรู้สึกกดดันเช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ[1] คนรุ่นเยาว์ผู้ไม่เคยรู้จัก ‘ความกลัว’!

ทว่าเมื่อจิ่วจิ่วหวนนึกถึงยามที่นางยังเป็นศิษย์น้อย เวลานั้นนางไม่ได้มีความฮึกเหิมเฉกเช่นพวกเขาหรืออย่างไรเล่า

จิ่วจิ่วหรี่ตาลงพลางแย้มยิ้ม หยิบน้ำเต้าออกมาเปิดจุกขวดออก แต่นางก็ลังเลเล็กน้อยแล้วปิดจุกขวดกลับเข้าไปใหม่

ช่างมันเถอะ รอดูไปอีกสักยี่สิบวัน

เนื่องจากผลกระทบของไอพิษ สัมผัสเซียนรับรู้ของเซียนเสิ่นจิ่วจิ่วจึงไม่อาจแผ่ขยายเพื่อตรวจจับออกไปได้ไกลเกินไป

โชคยังดีว่าที่นี่เป็นเพียงบริเวณรอบนอกของดินแดนเทวะอุดรเท่านั้น สัตว์ร้ายมีพิษต่างๆ จึงยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก

ยิ่งไปกว่านั้นมีเหล่าผู้บำเพ็ญมนุษย์หรือปีศาจอยู่น้อยมากในบริเวณรอบนอก ส่วนใหญ่พวกเขาจะเดินทางเข้าไปในส่วนที่ลึกมากกว่านี้

หลังจากใคร่ครวญในเรื่องนี้แล้ว จิ่วจิ่วก็หันศีรษะไปมองอวี่เหวินหลิงที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆสีเทาด้านหลังนาง นางอยากให้เขาติดตามโหย่วฉินเสวียนหย่าและหยวนชิงไป จะได้ลดความตึงเครียดของนางลงได้มาก ทว่าก่อนที่นางจะบอกออกไป จู่ๆ จิ่วจิ่วก็กะพริบตาปริบๆ ขึ้นมาทันที

‘อาจารย์อาจิ่ว คนผู้นี้มาที่นี่โดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัดและดูน่าสงสัยอยู่สักหน่อย โปรดอย่าเพิ่งไว้ใจเขาง่ายๆ ขอรับ’

ข้อความเสียงที่หลี่ฉางโซ่วส่งผ่านถึงนาง ยามเมื่อนางไล่เขาให้รีบเข้าไปในป่าดังขึ้นอีกครั้งในใจของนาง แม้จิ่วจิ่วจะไม่ได้ใส่ใจเพราะไม่เห็นด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้ายักษ์ที่อยู่ข้างหลังนางก็บาดเจ็บถึงตายได้เพียงแค่ถูกนางโจมตีหนเดียว

ทว่าด้วยเหตุใดไม่รู้เช่นกัน จิ่วจิ่วก็ยังรู้สึกลังเลจริงๆ

ช่างมันเถอะ ในเวลานี้เจ้าศิษย์น้อยทั้งห้านี้ยังไม่ออกจากขอบเขตการตรวจจับด้วยสัมผัสเซียนรับรู้ของข้า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป!

จากนั้นนางจึงขับเคลื่อนเมฆสีเทาไปข้างหน้าแล้วหันศีรษะกลับมากล่าวว่า “เจ้ายักษ์ จงตามข้ามาติดๆ”

“ท่านเซียนอาวุโส โปรดวางใจขอรับ” อวี่เหวินหลิงกล่าวขณะที่เขาขับเคลื่อนก้อนเมฆตามหลังจิ่วจิ่วไปโดยรักษาระยะห่างเอาไว้สามฉื่อ

กลุ่มคนทั้งห้าซึ่งเลือกสามเส้นทางที่แตกต่างกัน แน่นอนว่ายิ่งพวกเขาเดินไปไกลมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งห่างกันออกไปมากขึ้นเท่านั้น

หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว จิ่วจิ่วจึงตัดสินใจเลือกที่จะตามหลังหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ไปชั่วคราว ส่วนโหย่วฉินเสวียนหย่าและหยวนชิงนั้น นางยังพอจะสบายใจได้มากกว่าเล็กน้อย

ส่วนหลี่ฉางโซ่วนั้น…แม้ว่าจิ่วจิ่วจะเป็นห่วงเขาทีเดียว แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้กลุ่มของคนสองคนต้องเดินทางกันไปตามลำพัง แล้วหันไปปกป้องเขาที่เดินทางไปเพียงคนเดียว มันจะเป็นการลำเอียงชัดเจนเกินไป

จิ่วจิ่วคิดจะติดตามพวกเขาทั้งสามทางไปทีละกลุ่ม อย่างมากที่สุด นางก็ต้องแน่ใจว่านางได้ติดตามและปกป้องพวกเขาแต่ละกลุ่มโดยใช้เวลาเท่าเทียมกัน!

ความจริงแล้วตามกฎของงานชุมนุมหาประสบการณ์นี้ เซียนผู้คุ้มกันจะเพียงแค่ส่งศิษย์ไปยังปลายทาง และปล่อยให้พวกเขาเข้าไปฝึกหาประสบการณ์อยู่ภายในนั้นเอง โดยไม่จำเป็นต้องกังวลหรือวุ่นวายในเรื่องใดอีก

ตามคำกล่าวที่ว่า ‘ชีวิตและความตายขึ้นอยู่กับชะตากรรม’ บรรดาศิษย์จะสามารถเติบโตได้เร็วกว่ามากในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ทว่าการผลักพวกเขาเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายนั้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียพวกเขาหรือทำลายพวกเขาด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่จิ่วจิ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของนางออกไปสำรวจ นางก็พบว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าและหยวนชิงกำลังมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังพื้นที่ที่พวกเขาตั้งใจจะไป นอกจากนี้สระน้ำที่ ‘หญ้าผลาญหัวใจเพลิง’ เติบโตขึ้นนั้น ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดภายในป่าสมบัติโกลาหล

แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่กล้าบินขึ้นไปในอากาศ แต่ในเวลานี้ก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าค่อนข้างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้สนทนากันในระหว่างการเดินทางมากนักขณะที่สลับกันวิ่งนำไปข้างหน้า พบสัตว์มีพิษที่พยายามจะโจมตีพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าย่อมไว้ใจศิษย์ของยอดเขาพิชิตสวรรค์ได้มากที่สุด

จิ่วจิ่วเห็นสถานการณ์ของหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์เช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนเดินไปและพูดคุยกันไป ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีความสนใจต่อกัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีบ้างเล็กน้อยแน่นอน แม้ทั้งสองคนจะถูกแมลงและสัตว์มีพิษโจมตีบ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็สามารถตอบโต้จนพวกมันสงบลงได้ พวกเขาทั้งสองแข็งแกร่งอย่างน่าชื่นชมยิ่ง

แม้นว่าจะไม่มีเหตุใดใหญ่โตเกิดขึ้น แต่ไฉนข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ โดยไม่อาจอธิบายได้เยี่ยงนี้เล่า

จิ่วจิ่วเม้มริมฝีปากเมื่ออยากสังเกตสถานการณ์ของหลี่ฉางโซ่วบ้าง ทว่ายามปล่อยสัมผัสเซียนรับรู้ออกไป นางกลับพบว่าเขาหายไป!

หายไป?! เขาถูกสัตว์พิษฉีกทำลายเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็วหรือไม่! หรือเขาถูกกลืนกินไปทั้งตัวกัน!

จิ่วจิ่วขมวดคิ้วแล้วเร่งปล่อยสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปเพื่อเพิ่มการค้นหาเขาอย่างเข้มข้นและรวดเร็วมากขึ้น

ไม่ถูกต้อง! เขาต้องใช้วิธีบางอย่างเพื่อปกปิดตัวตนจากสัมผัสเซียนรับรู้ของนางอย่างแน่นอน นางยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลมปราณของเจ้าเด็กนั่นอยู่ทางด้านเหนือ และเขากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด ความเร็วของเขา…เกือบจะเร็วกว่าความเร็วของโหย่วฉินเสวียนหย่าและหยวนชิง!

เจ้านั่น! อยู่แค่ขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นเก้าเท่านั้น แต่กลับเร่งไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปของป่าสมบัติโกลาหล รนหาที่ตายชัดๆ !

จิ่วจิ่วเงยหน้าขึ้นแล้วคำรามอย่างเงียบๆ จนเป็นเหตุให้เสื้อท่อนบนของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง

นางเหลือบมองไปที่หวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ที่กำลังศึกษาบุปผาพิษ ก่อนจะใช้มือซ้ายชี้ไปข้างหน้าแล้วเร่งรีบขับเคลื่อนเมฆไล่ตามไปยังทิศทางของหลี่ฉางโซ่วทันที

จับเจ้าเด็กนี่กลับมาและโยนเขาไปไว้ในความดูแลของหวางฉีซะเลย!

ทว่าชั่วครู่หลังจากนั้น จิ่วจิ่วเร่งรีบไล่ตามหลี่ฉางโซ่ว อีกทั้งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่ากับเขา แต่เมื่อนางก้มมองลงไปสักพักหนึ่ง นางก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม

เจ้าเด็กนั่น…ดูเหมือนจะใช้ยันต์ปกปิดร่องรอยซ่อนลมปราณของเขาเพื่อไม่ให้ถูกสัตว์ร้ายที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยค้นพบได้

ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ฉางโซ่วไม่ได้เสี่ยงโดยใช้การบินในการเดินทาง แต่กลับใช้วิชาเวทมังกรโผนผ่านเมฆาอันยอดเยี่ยมของเขา ทำให้มีภาพลวงตาก่อตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา และนี่คือผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นสูงที่สุดของขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นเก้า

ไม่ถูกต้อง…ยังมีหม้อหลอมโอสถห้อยอยู่ที่เอวของเจ้าเด็กคนนี้อีกด้วย

จิ่วจิ่วย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นแปลกๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงศึกษาและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้น นางก็มีสีหน้าตื่นตกใจโดยฉับพลัน

เป็นน้ำลายมังกรพิษฉื้อหยางหรือนี่!

มังกรพิษฉื้อหยางถือกำเนิดในทะเลอุดร มันชอบกินปีศาจ สัตว์มีพิษ และสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่ด้วยเหตุที่พวกมันโหดร้ายเกินไปและเข่นฆ่าไปทั่วทุกที่ จึงทำให้โชคที่มีน้อยอยู่แล้วของพวกมันหมดลงและถูกเผ่ามังกรกวาดล้างเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

น้ำลายมังกรพิษฉื้อหยางนี้ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าที่หายาก ทว่าก็มีค่ามากเช่นกัน ไม่รู้ว่าหลี่ฉางโซ่วผู้นี้ได้รับมันมาจากที่ใด…

ด้วยมีของสิ่งนี้แขวนอยู่บนเข็มขัดของเขา สัตว์และแมลงมีพิษทั่วไปจึงไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่แปลกเลยที่หลี่ฉางโซ่วจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง

จิ่วจิ่วคิ้วกระตุกขึ้นทันทีขณะที่พึมพำออกมา “เจ้าเด็กคนนี้เตรียมการมาดีมาก ดูเหมือนว่าจะมีสมุนไพรบางอย่างที่เขากำลังค้นหาอย่างเร่งด่วนอยู่จริงๆ แล้วเขากำลังมองหาสมุนไพรใดกันเล่า”

น้ำเสียงที่ดุร้ายของอวี่เหวินหลิงก็พลันดังขึ้นทางด้านหลังของนาง “ท่านเซียนอาวุโส เหตุใดท่านจึงไม่ถามเขาเช่นนี้ล่ะขอรับ”

“ไม่จำเป็น หากเขาฝึกบำเพ็ญเพียรภายใต้การคุ้มครองของสำนักเซียนตลอดเวลา แม้เขาจะทะยานขึ้นสู่เซียนได้ แต่นั่นก็ย่อมจะเป็นแค่เซียนขยะที่ไร้ค่า” จิ่วจิ่วยืดเหยียดเอวขึ้นก่อนจะหันไปจ้องอวี่เหวินหลิงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนางแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าตอนนี้ฝ่าบาทของเจ้าเป็นอย่างไร แล้วอย่าได้พูดลับหลังว่าอาจารย์อาอย่างข้าลำเอียงเสียเล่า”

อวี่เหวินหลิงพยักหน้ารับทันทีด้วยท่าทีกระตือรือร้นอย่างยิ่งซึ่งเป็นไปตามบทบาทของการเป็นองครักษ์ผู้ภักดีอย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตามเมื่อจิ่วจิ่วหันหลังและบินไปไกลแล้ว ก็มีด้วงสีดำออกมาจากต้นขาของอวี่เหวินหลิง เขาหยิบมันใส่เข้าไปในก้อนเมฆสีเทาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาทันที

การเคลื่อนไหวเช่นนี้เล็กน้อยเกินไปและจะทำได้ก็ต่อเมื่ออาศัยช่องโหว่ขณะที่จิ่วจิ่วกำลังมุ่งใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของบรรดาศิษย์อีกสี่คน แม้ระดับขอบเขตพลังของจิ่วจิ่วจะสูงกว่าอวี่เหวินหลิงมาก แต่นางก็ไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของคนผู้นี้

หลังจากที่คนทั้งสองบินจากไป ด้วงตัวนั้นก็ยังคงบินต่อไปบนเมฆสีเทา และติดตามร่างของหลี่ฉางโซ่วไปอย่างใกล้ชิด

……

“หือ?”

หลี่ฉางโซ่วเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่กำลังเร่งไปตามทางนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งอยู่บนท้องฟ้ากำลังเฝ้ามองตามเขาอยู่

แต่หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่พบสิ่งใดผิดแปลกไป

อาจารย์อา? ไม่น่าจะใช่ การมองแบบนี้มันเป็นสายตามุ่งร้าย

หลี่ฉางโซ่วเลือกที่จะเชื่อและใช้ชีวิตตามหลักการของความปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจ เขาจึงหยุดชะงักร่างของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะร่ายเวทสร้างตราผนึกด้วยมือทั้งสองของเขา แล้วพึมพำร่ายคาถาพร้อมกับขับเคลื่อนลมปราณ ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นบางๆ เริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นสีเทาดำเบื้องหน้าของเขา

เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่นั้น ร่างของเขาจมลงไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว และเขาก็หายวับไปในพริบตา

หลี่ฉางโซ่วใช้หนึ่งในเวทหลบหนีแห่งเบญจธาตุ นั่นคือ หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย

หลังจากนั้นไม่นานร่างของหลี่ฉางโซ่วก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าห้าสิบลี้ แมลงพิษนับไม่ถ้วนรวมทั้งสัตว์มีพิษหลายตัวที่อยู่รอบกายเขากำลังวิ่งหนีไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกของการถูกจับตามองได้หายไปแล้วจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วมองดูภูมิประเทศโดยรอบของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะก้มศีรษะลงและวิ่งต่อไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็หยิบยันต์สองแผ่นออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แล้วติดแต่ละแผ่นเอาไว้ที่ต้นขา มันจะช่วยให้เขาเร่งความเร็วให้พุ่งสูงขึ้นไปได้อีก

ยันต์เคลื่อนไหววิญญาณพันลี้นี้นับว่าเป็นยันต์ธรรมดาซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้ใช้ได้ และโดยปกติแล้วจะใช้โดยผู้บำเพ็ญที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมปราณระดับต้นเท่านั้น

หลี่ฉางโซ่วได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าพวกเขาทั้งห้าคนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงในการเดินทางครั้งนี้อย่างแน่นอน

แม้ป่าสมบัติโกลาหลจะอันตรายอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็อยู่เพียงบริเวณรอบนอกสุดของดินแดนเทวะอุดรเท่านั้น ตราบใดที่ผู้บำเพ็ญในขอบเขตคืนกลับอนัตตาสามารถจัดการกับมันด้วยความรอบคอบสักหน่อย ย่อมหมายความว่าอันตรายของป่าสมบัติโกลาหลจะไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้

อย่างไรก็ตามมีปัจจัยภายนอกก็คือ อวี่เหวินหลิง ผู้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อพวกเขาไปได้ครึ่งทาง หยวนชิงที่ดูอบอุ่นและใจดีตลอดเวลา เช่นเดียวกับโหย่วฉินเสวียนหย่าที่ภายนอกดูเย็นชา แต่ภายในกลับไร้เล่ห์เหลี่ยมและไม่ใช่คนซับซ้อนแต่อย่างใด และที่สำคัญที่สุดก็คือ โหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นองค์หญิงจากดินแดนมนุษย์

หลี่ฉางโซ่ววิเคราะห์เบาะแสต่างๆ จากหลักการส่วนตัวของเขาและเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นในนั้นอย่างแน่นอน

คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้จะต้องคิดว่าแผนการทุกอย่างสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ใดๆ แต่การที่องครักษ์ของราชาในดินแดนมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในระหว่างที่พวกเขามาได้ครึ่งทาง แทนที่จะไปยังสำนักเซียนโดยตรงเพื่ออธิบายสถานการณ์ และป้องกันไม่ให้โหย่วฉินเสวียนหย่าออกไปข้างนอก นี่จึงเป็นเรื่องที่ดูไม่มีเหตุผล!

แต่ช่างมันเถิด เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า

หลี่ฉางโซ่ว หยิบแผนที่ธรรมดาออกมาและเหลือบมอง

ขณะที่หลี่ฉางโซ่ววิ่งไป เขาก็ดึงแผนที่ธรรมดาของเขาออกมาศึกษามันอีกครั้ง หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เผยร่องรอยของความจนใจ

หากมีวิธีอื่น เขาย่อมไม่เต็มใจที่จะเข้ามาในสถานที่อันตรายเช่นนี้ ซึ่งขัดต่อเป้าหมายชีวิตของเขาที่จะใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาจนแก่ตายอย่างสิ้นเชิง

แต่เพื่ออาจารย์ของเขา…

“ไท่ชิง[2]อยู่สูงสุด รักษาความบริสุทธิ์เป็นสำคัญ และคงความบริสุทธิ์ไว้อย่าให้สิ่งอื่นใดมาแตะต้อง เช่นนั้นย่อมหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายทุกประเภทได้โดยง่าย!”

หลี่ฉางโซ่วพูดกับตัวเองแล้วก็กระฉับกระเฉงขึ้น เขายังคงเร่งความเร็วทะยานไปในป่าสีดำที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่เป็นพิษ

ทว่าชั่วเวลาต่อมาหลี่ฉางโซ่วก็มีความรู้สึกราวกับถูกจับตามองอีกครั้ง

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางก่นด่าสาปแช่งในใจว่าช่างยุ่งยากนัก คราวนี้หลี่ฉางโซ่วไม่ได้เปิดเผยเวทหลบหนีของเขาอีก แต่ตรวจสอบอาวุธเวทในคลังเวทจัดเก็บของเขาแทน เขาเริ่มปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปค้นหาจุดที่ซุ่มโจมตี

แม้เขาจะระมัดระวังแต่หลี่ฉางโซ่วไม่ใช่คนขลาด มันมีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองประเภทนี้

เป็นเวลานานที่หลี่ฉางโซ่วรู้สึกเพียงว่าเขาถูกเฝ้ามอง แต่ไม่พบการซุ่มโจมตีหรือการพยายามลอบสังหารเขาแต่อย่างใด

เขายังคงตื่นตัวสูงอยู่ตลอดเวลาสองวันสองคืนเต็ม หลังจากใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายหลายครั้ง แต่ความรู้สึกว่าถูกเฝ้ามองก็ยังคงมีอยู่

หลี่ฉางโซ่ววิเคราะห์ตำแหน่งของเขาในเวลานี้ เป็นธรรมดาที่เขาได้เข้ามาอยู่ลึกในป่าสมบัติโกลาหลแล้ว และจะต้องออกนอกขอบเขตสัมผัสเซียนรับรู้ของอาจารย์อาจิ่วจิ่วแล้ว

เขาไม่ได้หยุดพักการเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด เขาพากเพียรฝึกบำเพ็ญมาอย่างหนักหน่วงหลายปี และพิสูจน์ได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น…หลี่ฉางโซ่วพลันสัมผัสได้ถึง เจตนาสังหาร?

ในเวลานั้นพลังปราณสัมผัสรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วไม่อาจตรวจจับพบภัยคุกคามใดๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีวิธีหลบเลี่ยงการตรวจจับด้วยพลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขา

เขาตรวจจับแหล่งที่มาของเจตนาสังหารนั้น มันมาจากป่ามืดทางด้านซ้ายของเขา ท่ามกลางความมืดมิดของป่า หลี่ฉางโซ่วยังคงมุ่งไปข้างหน้าต่ออย่างเร่งรีบ แต่ปลายนิ้วซ้ายของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างชำนาญและสร้างเชือกไหมเส้นบางๆ โปร่งใสคล้ายกับใยแมงมุม เขากระจายเชือกไหมออกไปรอบๆ ตัวเขา ในขณะที่มือขวาอีกด้านหนึ่งของเขาก็เริ่มเรียกสายลมอ่อนๆ ออกมาโดยไม่มีร่องรอยให้ระแคะระคาย…

มันเป็นอาวุธสำรวจที่ใช้ในการตรวจสอบ นั่นคือ ‘ใยแมงมุมของแมงมุมสามหัวพลจักษ์’

หลังจากนั้นไม่นานภาพที่ค่อนข้างคลุมเครือก็ปรากฏขึ้นในใจของหลี่ฉางโซ่ว

…………………………………………………………………………………………………………………

[1] ลูกวัวไม่กลัวเสือ หมายถึง การที่คนรุ่นใหม่กล้าทำอะไรก็ตาม กล้าเสนอความคิด กล้าลงมือทำ โดยไม่ต้องกลัวหรือวิตก ว่าผู้ใหญ่จะตำหนิติเตียน

[2] ไท่ชิง หนึ่งในสามบรรพปรมาจารย์สูงสุดแห่งเต๋า ทั้งยังถือเป็นมหาเทพผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลตามความเชื่อแห่งเต๋า