ร่างหนึ่งที่สวมชุดผ้าป่านสีเทาและหมวกไม้ไผ่ทรงกรวยครอบคลุมอยู่บนศีรษะพุ่งลึกเข้าไปในป่าข้างหน้า เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจนร่างของเขาดูบิดเบี้ยวและมีชั้นแสงสีเทาอ่อนล้อมรอบกายเขา

มีเพียงใยแมงมุมสามหัวพลจักษ์เท่านั้นที่สามารถตรวจจับลมปราณของเขาได้

จากการสังเกตของหลี่ฉางโซ่ว คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง เขามีกระบี่ยาวห้อยอยู่ที่เอวของเขา ซึ่งน่าจะเป็นอาวุธชั้นยอดของนักฆ่า กลิ่นอายลมปราณอำมหิตแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างของคนผู้นั้น หลี่ฉางโซ่วเดาว่าเขาน่าจะคุ้นเคยกับการลิ้มเลือดจากปลายกระบี่ของเขาเป็นอาจิณ

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก หลี่ฉางโซ่วก็ปรับลมปราณของเขา และความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาก็พุ่งพรวดขึ้น

จากนั้นไม่นานผู้แอบซุ่มโจมตีก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน และปรับมุมการพุ่งไปข้างหน้าเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนแล้วว่าเป้าหมายย่อมเป็นหลี่ฉางโซ่วอย่างไม่ต้องสงสัย

ฝ่ายตรงข้ามครองขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหกหรือเจ็ด แต่คู่ต่อสู้อาจจะปกปิดฐานพลังบางส่วนของเขาเอาไว้ เมื่อใคร่ครวญรอบคอบแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะครองขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นหก

เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามไล่ตามเขาด้วยวิชาเวทเคลื่อนไหวร่างกาย แทนที่จะบินไปในอากาศซึ่งมีประสิทธิภาพกว่ามาก เช่นนั้นแล้วโอกาสที่คนผู้นั้นจะเป็นเซียนจึงต่ำอย่างยิ่ง

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว เขาถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลกๆ แล้ว

แล้วเขาจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี

ปฏิกิริยาแรกของหลี่ฉางโซ่วคือ การใช้เวทหลบหนี แต่เขาพลันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาถูกติดตามมาสองวันแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายมีวิธีการบางอย่างที่จะติดตามรอยเขาได้

หากเขาหลบหนีในครั้งนี้ แล้วอีกฝ่ายก็ยังคงไล่ล่าเขาอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นไปอีก

เวลานี้ห่างออกไปห้าลี้ในป่าที่อยู่เบื้องหน้าหลี่ฉางโซ่วนั้น เป็นที่ราบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัชพืชพิษแต่ไร้ซึ่งต้นไม้ใดๆ เลย…

หลี่ฉางโซ่วร่ายเวทเบาๆ แล้วใช้มือขวาหยิบตุ๊กตากระดาษเล็กๆ สองตัวออกมาพร้อมกับรวบรวมลมปราณในร่างของเขาขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือขวานั้นอย่างเงียบๆ

“ธาตุทั้งห้าหมุนเวียน คุณธรรมผันเปลี่ยน ไร้สิ่งกีดขวาง ดินคงอยู่กลาง!”

จากนั้นก็มีรอยคลื่นยับย่นปรากฏขึ้นบนพื้นสีเทาขาวด้านหน้าเขา หลี่ฉางโซ่วได้ใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อหนีอีกครั้ง แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะจมลงไปในดิน มือขวาของเขาก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้า…

คนที่ไล่ตามติดหลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว เขาเพิ่งพ่นเสียงเย้ยหยันอย่างเย็นชา พลันสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในใต้พื้นดิน ฉับพลันนั้นเขาก็พุ่งกระโดดไปยังทิศทางนั้นและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเพื่อไล่ตามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากนั้นไม่นานหลี่ฉางโซ่วก็ปรากฏกายออกมาท่ามกลางวัชพืชพิษ เขาสะบัดสิ่งสกปรกที่เป็นพิษออกจากร่างกาย รวมทั้งแมลงพิษสองสามตัวออกไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะยกมือขึ้นเปลี่ยนยันต์ไล่ไอพิษสองสามแผ่นของเขา และจากนั้นเขากำลังจะพุ่งร่างไปข้างหน้าต่อ…อีกครั้ง

ฉับพลันเสียงของกระบี่ปรากฏขึ้นด้านข้างเขา!

ลำแสงเย็นวาบที่เร็วกว่าเสียงกระบี่ถึงสามในสิบส่วนก็พุ่งตรงไปที่ลำคอของหลี่ฉางโซ่ว!

หลี่ฉางโซ่วหันกลับในทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอันใดเขาก็ถูกกระบี่เวทเรียวยาวฟันเข้าที่ลำคอของเขา ทำให้ศีรษะถูกตัดขาดจนปลิวกระเด็นไปข้างหลังทันที!

ขณะนั้นก็มีควันสีเทาเบาบางลอยวนไปมา แล้วผู้บำเพ็ญซึ่งสวมหมวกไม้ไผ่ทรงกรวยและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเทาก็พลันปรากฏกายขึ้นที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว ผ้าโปร่งคลุมหน้าหมวกไม้ไผ่ของเขาก็พลิ้วสะบัดขึ้นไปเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของเขา

“หึ! ความจริงแล้วเจ้าก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลามากเลย…เจ้า!”

จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักคำพูดกลางคัน แล้วมองลงไปที่ขาของเขาในทันใด

‘หลี่ฉางโซ่ว’ ผู้ซึ่งไม่มีศีรษะไปแล้วกำลังเอื้อมมือคว้าจับข้อเท้าของคนผู้นี้!

ทว่า ‘นักฆ่า’ ผู้นี้ตอบสนองได้อย่างฉับพลัน เขากำลังจะกระโดดถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ สายตาของเขาก็พร่ามัวทันทีราวกับว่าพละกำลังทั้งหมดถูกสูบออกไปจากร่างของเขา พลังเวทและลมปราณก็พลันเหือดหายไปจนเขาไม่อาจทำอันใดได้อีก!

บัดนั้นเองที่เจ้านักฆ่าเห็นหม้อใบเล็กที่เปิดอยู่บนเข็มขัดของร่างศพที่รั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้บนพื้นด้านล่าง…

เขาหลงกลแล้ว!

ทันใดนั้นคนผู้นี้พยายามกัดปลายลิ้นของเขาอย่างสุดกำลังเพื่อคงสติสัมปชัญญะเอาไว้ แต่ในเวลานี้เขากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะกัดปลายลิ้นของเขา กระทั่งสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวมากยิ่งขึ้น!

นี่คือ…โอสถเซียนที่พัฒนาขึ้นเอง: ผงยาเซียนระทวย

ในขณะนั้นก็มีลำแสงลอยเหนือศีรษะของนักฆ่าและวนเวียนอยู่ตรงนั้น มันคือร่มกระดาษที่ดูแปลกตาซึ่งประดับประดาไปด้วยศิลาวิญญาณหลากสีต่างๆ

ร่มกระดาษนี้ได้หมุนไปช้าๆ และศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่ในนั้นก็บินออกไปโดยรอบ ทันใดนั้นก็มีค่ายกลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบห้าจั้งปรากฏขึ้นมาโดยอาศัยร่มคันนั้นเป็นฐาน และจู่ๆ พื้นที่แห่งนี้ที่เป็นอาณาเขตของค่ายกลก็แยกออกจากพื้นที่โลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง!

นี่คือ…อาวุธเวทที่พัฒนาขึ้นเอง: ฉัตรเปลี่ยนสวรรค์

จากนั้นร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน เขายกมือขวาขึ้นและตุ๊กตากระดาษทั้งสามก็ขยายตัวออกไปตามสายลม และเพียงได้ยินเสียงกระทบกันสองครั้ง พวกมันก็กลายร่างเป็นรูปลักษณ์ของหลี่ฉางโซ่ว แล้วพุ่งตัวออกไปข้างหน้าทันที

นี่คือ…เคล็ดวิชาเต๋า: ตุ๊กตากระดาษมนุษย์

ก่อนที่ตุ๊กตากระดาษมนุษย์จะพุ่งไปถึงนักฆ่า หลี่ฉางโซ่วก็ยกหน้าไม้สั้นทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาด้วยมือซ้าย แล้วเหนี่ยวไกหน้าไม้ทันทีอย่างไม่ลังเล ลูกศรไม้พุ่งออกไปแทงทะลุยังบริเวณหว่างคิ้วของนักฆ่าอย่างแม่นยำ!

หมวกไม้ไผ่ปลิวขึ้นไป เผยให้เห็นใบหน้าตอบเหี่ยวแห้งน่าเกลียดน่ากลัว

ทันทีที่ลูกศรพุ่งทะลุหน้าผากของนักฆ่า ทำให้แสงในดวงตาของเขาจางลงแล้วดับหายไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้า…”

นักฆ่าส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดออกมาในนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต แต่เสียงนั้นก็ไร้พลังใดๆ และในทันทีที่อ้าปากออก ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็พุ่งเข้ามาถึงร่างเขา

ตุ๊กตากระดาษตัวที่หนึ่งได้ตอกตะปูยาวสามเล่มเข้าไปในสามตำแหน่งคือ บน กลาง และล่างของจุดตันเถียนของนักฆ่า เพื่อกักสามดวงจิตอมตะเจ็ดปราณวิญญาณเซียนของเขาเอาไว้!

ตุ๊กตากระดาษตัวที่สองใช้สองมือสร้างตราประทับ มันอ้าปากแล้วพ่นเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาปกคลุมร่างของนักฆ่าเอาไว้อย่างสิ้นเชิง และเปลวเพลิงเหล่านี้ก็แผดเผาร่างเนื้อของนักฆ่าทันทีจนดูราวกับว่ามันเป็นมนุษย์หิมะที่ถูกสาดด้วยน้ำเดือดแล้วละลายกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็วก่อนจะสลายไป

ชายผู้นี้ไม่อาจแม้แต่จะทันได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ…

ส่วนตุ๊กตากระดาษตัวที่สามก็ร่ายเวทคาถาคำสาปปราบวิญญาณพิฆาตปีศาจ ทันใดนั้นก็มีคลื่นพลังควบแน่นขึ้นเบื้องหน้ามัน ซึ่งสั่นสะเทือนเงาวิญญาณที่อยู่ในเปลวเพลิงสีขาวจนสลายหายไปในทันที!

เวลานี้วิญญาณของนักฆ่าก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงแค่เศษซากร่างหนึ่งหยิบมือที่ยังคงถูกเปลวเพลิงสีขาวเผาผลาญอยู่

ทว่าหลี่ฉางโซ่วยังคงไม่อาจวางใจได้ จึงโยนไข่มุกเม็ดโตเท่าหัวแม่มือออกไป ไข่มุกนั้นหมุนไปรอบๆ และดูดซับแสงสีเขียวอ่อนเอาไว้โดยไม่หลงเหลือร่องรอยวิญญาณของนักฆ่าเลยแม้แต่น้อย

หลี่ฉางโซ่วถือหน้าไม้ทองสัมฤทธิ์ เดินไปข้างหน้าแล้วหยิบไข่มุกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ในเวลานี้ เปลวเพลิงสีขาวมอดดับลงไปแล้ว มีเพียงเถ้าถ่านสีดำราวกำมือหนึ่ง กระบี่ครึ่งเล่ม และแหวนวงเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้นดินเท่านั้น

ในเวลาต่อมาตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพร้อมกัน ก่อนจะเริ่มท่องพระคัมภีร์ออกมาอย่างรวดเร็ว