ตุ๊กตากระดาษตัวที่หนึ่งท่อง ‘พระสูตรเต๋าแห่งการหลุดพ้น’ อีกตัวหนึ่งก็ท่อง ‘มนตราสังสารวัฏ’ ในตำนานที่แพร่หลายในสำนักทางตะวันตก ส่วนตัวที่สามก็ท่อง ‘มนตราขจัดภัยพิบัติและอำนวยพรแห่งเต๋า’

หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ หยิบแหวนหยกศิลาขึ้นมาไว้บนฝ่ามือ เขาไม่อยากรีบทำลายพันธะที่จำกัดแหวน จึงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สร้างชั้นห่อหุ้มรอบแหวนเอาไว้หลายชั้น ก่อนที่จะโยนมันลงไปในคลังเวทจัดเก็บที่มีนามว่า ‘เทียนจื่อหมายเลขสี่’

หลังจากนั้นเขาก็มองดูไข่มุกของเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าแห่งความเข้าใจออกมาอย่างชัดเจน เขาเดินไปรอบๆ ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก่อนจะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายอีกครั้ง

เมื่อตุ๊กตากระดาษทั้งสามสวดพระสูตรของพวกมันเสร็จสิ้น ก็มีคลื่นเล็กๆ เริ่มปรากฏขึ้นบนพื้น จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็โบกสะบัดมือ ขี้เถ้าจำนวนหนึ่งของนักฆ่าที่หลงเหลือไว้ก็ปลิวกระจัดกระจายไปตามสายลม

ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วกลายเป็นกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือสามแผ่นกลางอากาศ ก่อนจะบินกลับเข้าไปในแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่ว

ตอนที่ร่มหุบตัวเองลง ศิลาวิญญาณแต่ละก้อนต่างก็บินกลับคืนสู่ตัวร่ม ค่ายกลเวทขนาดใหญ่ก็พลันสลายไปในทันที

มือซ้ายของหลี่ฉางโซ่วหยิบกระบี่ขึ้นมาและชี้มันออกไป พลังกระบี่พุ่งออกไปทะลุผ่านหมอกพิษด้านบน และกระแทกใส่ด้วงสีดำอย่างแม่นยำทันทีจนมันกลายเป็นฝุ่นผง

การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นในคราวเดียว ราวกับว่าหลี่ฉางโซ่วได้ฝึกฝนมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน

หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะกลับมาสำรวจบริเวณโดยรอบซึ่งกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว เขาเดินไปที่ตุ๊กตากระดาษไร้หัวแล้วแตะมันเบาๆ ตุ๊กตากระดาษก็ถูกไฟแผดเผาทันทีโดยไม่เหลือร่องรอยของสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

เมื่อก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็จมลงไปในพื้นดินและหายไปอย่างเงียบๆ อีกครั้ง

เฮ้อ การปรับแต่งตุ๊กตากระดาษก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกัน…

อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วมันก็ยังคุ้มค่าที่เขาได้รับ ‘ภูมิหลังตระกูล’ ของสหายผู้นั้นเป็นการชดเชย

หลี่ฉางโซ่วค้นหาวิญญาณที่เหลืออยู่ในไข่มุกและพบความทรงจำซึ่งรวบรวมเอาไว้มากมายภายในนั้น และจากความทรงจำเหล่านั้น เขาจึงรับรู้ถึงแรงจูงใจของนักฆ่าและแผนการเบื้องหลังในการเดินทางครั้งนี้

นักฆ่าที่พยายามโจมตีเขามีนามว่า ‘ซื่อจิว’ ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสอง โดยได้รับการว่าจ้างด้วยศิลาวิญญาณจากใครบางคนให้ไปทำงานสกปรกให้ตนเอง

หากอาจารย์อาจิ่วจิ่วมาปรากฏตัวทางฝั่งเขา นักฆ่าซื่อจิวก็จะโจมตีหลิวเยี่ยนเอ๋อร์และหวางฉีทันที จากนั้นก็จะใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่ออาจารย์อาจิ่วจิ่ว เพื่อนำนางไปสู่กับดักค่ายกลเวท โดยเป้าหมายที่แท้จริงของคนพวกนั้นก็คือ องค์หญิงหก โหย่วฉินเสวียนหย่า!

ทว่าคนพวกนั้นไม่ได้พยายามจะสังหารโหย่วฉินเสวียนหย่า แผนการทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ที่น่ารังเกียจมากกว่านี้

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากชิ้นส่วนความทรงจำของนักฆ่าซื่อจิวผู้นี้ หลี่ฉางโซ่วก็เดาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังแผนทั้งหมดนี้ก็คือ ศิษย์น้องหยวนชิง หรือผู้ทรงพลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหยวนชิง

หลี่ฉางโซ่วหยักยิ้มมุมปากพลางคิดในใจว่า จริงทีเดียว รู้หน้าไม่รู้ใจ คนอบอุ่นส่วนใหญ่มักเป็นเพียงภาพลวง

แต่เรื่องนี้ก็หาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่

เมื่ออีกฝ่ายใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก เพียงเพื่อล่อให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วเข้าสู่กับดักค่ายกลเวทเพื่อกักตัวนางไว้ในนั้น เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่กล้าเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับอาจารย์อาจิ่วจิ่ว ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงไม่ต้องกังวลว่าคนผู้นี้จะเป็นเซียนเสิ่น

หลังจากมีลมพัดโชยมาอ่อนๆ ไอพิษก็กลับคืนมา พื้นที่เปิดโล่งผืนนี้ก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง บรรดาวัชพืชพิษพลิ้วไหวเล็กน้อยไปตามสายลม ยกเว้นกองวัชพืชพิษเล็กๆ ที่ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วก็ไม่มีร่องรอยอื่นใดหลงเหลือเอาไว้อีกเลย

ไม่มีผู้ใดจะคิดว่าเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายเกิดขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเพียงสายลมโชยแผ่วเบาเท่านั้น ราวกับเสียงขับขานบทเพลงไพเราะไร้ที่สิ้นสุด

“ข้าสังหารเจ้าในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี!”

……

เวลานี้บนชายหาดแห่งหนึ่ง ณ ฝั่งทะเลบูรพา มีศิษย์หลายร้อยคนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับปีศาจกุ้งที่พุ่งออกมาจากทะเลอย่างต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด

ในมุมหนึ่งของสนามรบ ผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์สองสามคนในขอบเขตหลอมรวมปราณได้ซ่อนตัวอยู่หลังแนวปะการัง ร่ายคาถาเร่งเพื่อเปิดใช้งานอาวุธเวท แล้วรีบพุ่งไปช่วยบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กำลังต่อสู้อยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่ชั่วเวลานั้น สายตาของพวกเขาทั้งหมดก็ไม่อาจละไปจากร่างบางที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ห่างไปจากพวกเขาได้

เวลานี้หลันหลิงเอ๋อร์ถือขวดกระเบื้องสองขวดในมือ และค่อยๆ โรยผงบางอย่างออกมาทางด้านหน้า จากนั้นนางก็เป่าพลังวิญญาณจากปากเล็กๆ ของนางไปที่ผงพวกนั้น ผงเหล่านั้นปลิวไปยังบรรดาปีศาจกุ้งหลายสิบตัวที่กำลังพุ่งเข้ามาในทันที

ปีศาจกุ้งเหล่านี้ไม่ใช่ปีศาจที่ฉลาดนัก เมื่อถูกฝุ่นผงนั้นสาดใส่มา ขาของพวกมันก็นิ่มเป็นวุ้นก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะทรุดตัวลงนอนพังพาบไปบนพื้นพร้อมกับมีน้ำลายฟูมปาก ดวงตาเหลือกในฉับพลัน…

หลิงเอ๋อร์ดึงกริชของนางออกมาแล้วทะยานไปข้างหน้า หลังจากนั้นนางก็จ้วงแทงปีศาจกุ้งทีละตัว ทีละตัว ด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำอย่างมาก นางแทงไปที่จิตวิญญาณของปีศาจโดยตรงจนหมดสิ้น ท่วงท่าเต็มไปด้วยความสูงส่งอย่างเทพเซียน

ในไม่ช้านางก็หันหลังและลอยร่างกลับไปที่ตำแหน่งเดิมเพื่อรอคลื่นปีศาจลูกต่อไปที่จะมาถึง โดยไม่รู้ตัวว่านางได้กลายเป็นจุดสนใจของบรรดาศิษย์คนอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว

ผงพิษที่ศิษย์พี่สกัดขึ้นมานั้นมีประโยชน์และใช้ง่ายยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ปลอดภัยหรือไม่ ดินแดนเทวะอุดรนั้นอันตรายมาก ว่ากันว่าแมลงเพียงตัวเดียวก็สามารถปลิดชีพเซียนได้แล้ว

เฮ้อ…เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็นมักจะบอกให้คนอื่นรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยเป็นหลักก่อน แต่เขากลับเลือกที่จะไปเสี่ยง และเขายังไม่ยอมพาศิษย์น้องที่ฉลาดและกล้าหาญมากของเขาไปด้วย!

ยิ่งคิดหลิงเอ๋อร์ก็ยิ่งเดือดดาลยิ่งนัก และทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง…

“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ ระวัง!”

“รีบหนีเร็วเข้า!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างร้อนใจหลายครั้งเข้ามาในหูของนาง หลิงเอ๋อร์พลันเงยหน้าขึ้นมองไปตามสัญชาตญาณและเห็นปีศาจกุ้งเจ็ดหรือแปดตัวพร้อมกับกรงเล็บนับสิบพุ่งมาหานาง!

มีหลุมบ่อมากมายบนพื้น เจ้าปีศาจกุ้งเหล่านี้แอบโผล่ออกมาจากโพรงในพื้น!

ระหว่างช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็ร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับหยิบขวดกระเบื้องอีกขวดออกมาจากแขนเสื้อแล้วขว้างมันออกไปทันที แล้วจู่ๆ เสียงแหบของศิษย์พี่ก็ดังขึ้นในใจของนางว่า ‘จงขว้างขวดนี้ออกไปเมื่อเจ้าตกอยู่ในภาวะคับขันหรือถูกศัตรูปิดล้อม’

ปัง!

ขวดกระเบื้องระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางฝูงปีศาจกุ้ง มีควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากขวด แล้วเข้าปกคลุมปีศาจกุ้งเอาไว้ทันที

ในชั่วพริบตานั้นปีศาจกุ้งทั้งหมดก็ลอยอยู่กลางอากาศ

เมื่อลมทะเลพัดมา ปีศาจกุ้งเหล่านี้ซึ่งมีร่างที่มีเปลือกนอกแข็งแรง ก็พลันสลายหายไปกลายเป็นฟองอากาศหลากสีในอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ลอยไปตามลมอย่างช้าๆ

หลันหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก แต่แล้วก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบดูแปลกไปเล็กน้อย

นางหันศีรษะไปมองและเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลนั้น บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางหลายคนที่กำลังพุ่งเข้ามาหานาง ต่างก็หยุดชะงักตัวแข็งทื่อพร้อมด้วยสีหน้าท่าทีที่ดูแปลกไปอย่างกะทันหัน

“หือ?” หลิงเอ๋อกะพริบตาเบาๆ

เคร้ง

เป็นเสียงกระบี่ร่วงหล่นของศิษย์ชายในขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพผู้หนึ่งที่อยู่ข้างๆ นาง เขารีบก้มศีรษะลงเก็บมันขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า

“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังยุ่งสินะ เชิญยุ่งต่อเถอะ”

“พวกเราแค่ผ่านมา…แล้วผ่านไป…”

…………………………………………………………………………………………………………………