“ช่างน่าแปลกยิ่ง! ลมปราณของซื่อจิวหายไปแล้ว และศิษย์ของสำนักตู้เซียนที่ครองพลังขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นเก้าผู้นั้นก็หายไปเช่นกัน”
ลึกเข้าไปในป่าทึบในหุบเขาลึกลับ มีเงาร่างสีดำหลายร่างซ่อนเร้นอยู่ในพุ่มไม้ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันถึงบางสิ่งผ่านการส่งข้อความเสียง
หนึ่งในพวกเขาก่นด่าออกมาว่า “มีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่เขาจะเอาเงินไป ฆ่าคนแล้วหนีไปทันที หึ! คนเยี่ยงนี้ไว้ใจไม่ได้ พวกเราต้องฝึกฝนลูกน้องของเราเองขึ้นมา พวกเขาย่อมน่าเชื่อถือได้มากกว่า!”
“ค่ายกลกับดักมังกรพร้อมหรือไม่”
“วางค่ายกลไว้แล้ว และมันสามารถกักตัวเซียนเสิ่นของสำนักตู้เซียนไว้ได้อย่างแน่นอน”
“ดีมาก แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปจากที่คาดไว้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันใด” ผู้ที่คอยดูแลกล่าวเสียงต่ำ “หลังจากนี้ข้าจะส่งสารไปให้คุณชายสี่ แล้วจัดเตรียมกำลังคนโจมตีพวกเขา เพื่อล่อให้เซียนเสิ่นของสำนักตู้เซียนมาติดกับ”
“พวกเราจะจับศิษย์สองคนนั้นด้วยตัวเองแล้วพาพวกเขาไปที่กับดักค่ายกลเวท เท่านี้ก็จะสามารถล่อเซียนเสิ่นของสำนักตู้เซียนเข้าไปในค่ายกลได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูอาณาจักรของพวกเรา ซึ่งองค์หญิงหกย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่สุดให้กับพวกเรา ครั้งนี้จึงจำเป็นต้องควบคุมนางไว้ให้ได้ คุณชายสี่ก็จะได้รับสิ่งที่เขาปรารถนาด้วยเช่นกัน”
ร่างเงาดำทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็หัวเราะคิกคักกันเบาๆ ในขณะที่ผู้ควบคุมดูแลกำหมัดแน่น จากนั้นเงาร่างสีดำอื่นๆ ต่างก็กระจัดกระจายและหายกันไปทีละร่างอย่างรวดเร็ว
ครึ่งวันต่อมาก็มีชายชุดดำสองสามคนบุกโจมตีหยวนชิงและโหย่วฉินเสวียนหย่า หยวนชิงตัดสินใจบดขยี้ยันต์แจ้งสารในทันที
ในขณะนั้นจิ่วจิ่วซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็พลันตกใจสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะรีบหันกลับแล้วพุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีอวี่เหวินหลิงติดตามนางไปด้วย
เพียงแต่ทันทีที่จิ่วจิ่วบินออกไปนั้น ก็มีพลังลมปราณมากกว่าสิบสายปรากฏขึ้นที่ด้านล่าง มีผู้บำเพ็ญที่ครองพลังขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีจำนวนสองคนซึ่งอยู่ในหมู่พวกเขาได้ทำร้ายหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์จนหมดสติก่อนที่จะลักพาพวกเขาจากไปทันที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามจิ่วจิ่วก็บินกลับมาอย่างรวดเร็ว โดยปล่อยให้อวี่เหวินหลิงบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือหยวนชิงและโหย่วฉินเสวียนหย่าเพื่อคอยปกป้อง
ในเวลานี้จิ่วจิ่วเองก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นเพราะนางรีบเร่งเกินไป ตอนที่นางเจอหลิวเยี่ยนเอ๋อร์กับหวางฉี นางก็ติดกับอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยหมอกสีขาวแล้ว เมื่อปล่อยสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปรอบๆ นางก็มองเห็นได้เพียงเศษเสี้ยวสีขาวเท่านั้น
นางโอบอุ้มหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์เอาไว้ในวงแขนที่สีข้างของนางคนละข้างแล้วบินไปรอบๆ ค่ายกลกับดักที่นางติดอยู่ จิ่วจิ่วไม่เก่งกาจในด้านค่ายกล ในไม่ช้านางก็พบว่าตนเองกำลังหมุนวนอยู่กับที่
“โชคยังดีที่ข้าปล่อยให้แม่ทัพร่างใหญ่คอยปกป้องหยวนชิงและเสวียนหย่าอยู่ที่นั่น”
จิ่วจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก พยายามสงบสติอารมณ์เพื่อคิดหาวิธีทำลายค่ายกล แต่แล้วนางก็นึกถึงคำเตือนที่หลี่ฉางโซ่วให้ไว้ก่อนที่เขาจะเข้าไปในป่าสมบัติโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง
‘อาจารย์อาจิ่ว คนผู้นี้มาที่นี่โดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัดและดูน่าสงสัยอยู่สักหน่อย โปรดอย่าเพิ่งไว้ใจเขาง่ายๆ ขอรับ’
เป็นแผนของอวี่เหวินหลิงหรือไม่…
สักพักบนหน้าผากของจิ่วจิ่วพลันมีเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา
เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงต่อกันเป็นลูกโซ่ ดูเหมือนว่านางจะถูกหลอกจนตกหลุมพรางมาตั้งแต่แรกแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วจะเป็นอย่างไรบ้าง เขามีฐานพลังต่ำที่สุด เขาจะถูกคนเหล่านี้ฆ่าตายไปแล้วหรือไม่ มีโอกาสกว่าแปดในสิบส่วนที่คนเหล่านี้จะมุ่งเป้าไปที่เสวียนหย่าและหยวนชิง ทำไมข้าถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้!
จิ่วจิ่วอดจะตะโกนก่นด่าออกมาไม่ได้ “เจ้าพวกต่ำช้า! หากมีความสามารถ ก็ออกมาต่อสู้กับข้าสักสามร้อยกระบวนท่า! ใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายเยี่ยงนี้ พวกเจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้บำเพ็ญได้อีกอย่างไรกัน!”
อย่างไรก็ตาม มีเพียงฝูงแมลงพิษในค่ายกลขนาดใหญ่และบางส่วนยังหนีหายไปด้วย ส่วนสัตว์มีพิษไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใดเลย
“อ๊าก!”
จิ่วจิ่วโยนร่างหมดสติทั้งสองลงไปบนพื้น ก่อนจะกระแทกเท้าเดินไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นเส้นด้ายในเสื้อผ้าป่านแขนสั้นที่ขาดรุ่งริ่งของนางก็แน่นขึ้น จนแทบจะขาดผึงออกได้ทุกเมื่อภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ค่ายกลเหล่านี้ทำข้าหงุดหงิดจนแทบบ้าตาย!”
……
หญ้าสลายเซียน…ช่างหายากมากจริงๆ
ในวันที่สิบสองของการเข้าสู่ดินแดนเทวะอุดร หลังจากเดินออกมาจากป่าสมบัติโกลาหล หลี่ฉางโซ่วก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นระยะทางกว่าหนึ่งพันหกร้อยลี้ จนในที่สุดก็มาถึงพื้นที่ที่มีเครื่องหมาย ‘ตรงเวลา’ ระบุเอาไว้บนแผนที่ของเขา
พื้นที่บริเวณนี้มีรัศมีราวสามร้อยลี้ ภูมิประเทศมีความซับซ้อนอย่างยิ่งเนื่องจากมีเนินเขา หนองน้ำ เทือกเขา และอื่นๆ และในขณะที่หลี่ฉางโซ่วยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนเทวะอุดรมากขึ้นเรื่อยๆ ก็พบสัตว์มีพิษและแมลงดุร้ายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วยังคงระมัดระวังตัวอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา เขาค้นหา ‘สมุนไพรพิษ’ ที่เขาต้องการอย่างระมัดระวัง ทว่าหลังจากค้นหาเป็นเวลาหกวันติดต่อกัน แม้เขาจะได้พบและรวบรวมสมุนไพรพิษและสมุนไพรวิญญาณทุกประเภท แต่กลับไม่พบร่องรอยของสิ่งที่ทำให้เขายอมเสี่ยงมายังดินแดนเทวะอุดรแห่งนี้เลย
ยามเที่ยงของวันนั้นก็มี ‘ฝนพิษ’ ตกลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งมีพิษรุนแรงอย่างยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าออกไปเดินเตร่โดยรอบ ดังนั้นเขาจึงมองหาหน้าผาใกล้ๆ แล้วเจาะหน้าผาเข้าไปเป็นถ้ำให้หลบซ่อนกายอยู่ภายในได้ จากนั้นก็ปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปสำรวจตรวจสอบสภาพแวดล้อมของเขา แล้วรอให้ฝนหยุดก่อนที่เขาจะเริ่มค้นหาสมุนไพรต่อไป
ในช่วงหกวันที่ผ่านมานี้เขาสำรวจไปเกือบทั่วทุกพื้นที่ในอาณาบริเวณนี้แล้ว ทว่าน่าเสียดายที่เขายังไม่พบร่องรอยของหญ้าสลายเซียนเลย
หญ้าสลายเซียน หญ้าสลายเซียน เหตุใดต้องเล่นซ่อนหากับข้า เหตุใดไม่ออกมาพบข้าเสียดีๆ
หลี่ฉางโซ่วหาวขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำของเขา จากนั้นจึงโคจรลมปราณในร่างของเขาให้กลับคืนสู่สภาวะที่ดีที่สุด
เขาศึกษาข้อมูลมาจากตำราโบราณ และพบว่ามีหญ้าสลายเซียนเติบโตขึ้นในพื้นที่นี้
การมาค้นหาที่นี่เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุดในการได้ครอบครองสมุนไพรชนิดนี้ แต่หากไม่พบจริงๆ หลี่ฉางโซ่วก็ตัดสินใจว่า เขาจะลองเสี่ยงโชคที่เมืองก่อนหน้านี้ระหว่างทางกลับในภายหลัง
แม้ว่าเขาต้องใช้ทั้งศิลาวิญญาณและวัตถุเวทล้ำค่าที่เขาใช้เวลาหลายปีในการโกงมาก็ตาม…แค่กๆ ในการเก็บสะสมมา มันก็ย่อมคุ้มค่าที่จะแลกเปลี่ยนกับหญ้าสลายเซียน
ถ้าหากยังไม่ได้ผล…หลี่ฉางโซ่วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเริ่มวางแผนอีกครั้งหลังจากกลับไปที่ยอดเขาแล้ว
ฝนที่ตกหนักอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในเร็วๆ นี้ เขาจึงคิดว่ายังไม่อาจออกไปได้สักพัก
เป็นเรื่องยากสำหรับหลี่ฉางโซ่วที่จะหยุดพักและผ่อนคลายจิตใจที่แน่นตึงของเขา แม้เขาจะมีน้ำลายมังกรฉื้อหยางจำนวนหนึ่งซึ่งสามารถป้องกันแมลงและสัตว์มีพิษไม่ให้เข้ามาใกล้ได้ แต่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ มันก็ย่อมยากสำหรับเขาที่จะบอกตัวเองให้ ‘อย่าวิตก’
อาจารย์อาจิ่วน่าจะไม่เป็นอันใดกระมัง
เมื่อคิดถึงผู้บำเพ็ญที่เขาสังหารไปเมื่อเก้าวันก่อน หลี่ฉางโซ่วก็หยิบ ‘ไข่มุกสะกดวิญญาณ’ ออกมาและตั้งใจจะดูภาพความทรงจำภายในเหล่านั้นอีกครั้ง ทว่าวิญญาณที่เหลืออยู่ภายในนั้นได้หายไปแล้ว
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า
คนกลุ่มนี้วางแผนมาอย่างดี แล้วยังได้รับความช่วยเหลือจากหยวนชิง บุรุษผู้แสนอบอุ่น และด้วยสติปัญญาของอาจารย์อาจิ่ว…ก็ย่อมเป็นไปได้ที่นางจะเดินเข้าไปติดกับดักอย่างง่ายดาย
อาจารย์อาจิ่วมีระดับการฝึกบำเพ็ญสูงและมีลักษณะนิสัยส่วนตัวน่ารัก แต่บางครั้งก็ใจร้อนเกินไป ยิ่งถ้ามีสุราครอบงำความคิด นางย่อมไม่ระวังตัว
น่าเห็นใจโหย่วฉินเสวียนหย่าที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในสำนักเซียนมานาน แต่ก็ยังไม่อาจหลีกหนีจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพวกราชวงศ์ทางโลกได้ ในขณะที่คู่เหมยม้าไม้ไผ่ซึ่งอยู่เคียงข้างนางเสมอมานั้น กลับสับปลับเชื่อถือไม่ได้ที่สุด
หลี่ฉางโซ่วไม่เคยคิดว่าตัวเขาเองเป็นวีรบุรุษ หรือว่ามีพันธกิจที่ต้องช่วยองค์หญิง เขาไม่อยากเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง ในสายตาของเขา โหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นเพียงตัว ‘ปัญหา’ ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น และเขาจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้รวมถึงการเกี่ยวข้องทั้งหมดให้มากที่สุด
ครืนๆ! ครืนๆ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขา
หลี่ฉางโซ่วเริ่มตรวจสอบทรัพยากรหลากหลายต่างๆ ที่เขามีอยู่ เขามีโอสถ ยันต์ เครื่องรางของขลังต่างๆ และน้ำลายมังกรพิษฉื้อหยางที่ช่วยให้เขาสามารถอยู่ได้นานถึงเก้าวัน นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะออกจากพื้นที่แห่งนี้เมื่อเสร็จสิ้นการค้นหาแล้ว หากเขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นหลังจากฝนหยุดตกและค้นหาพื้นที่นี้ต่อจนเสร็จได้ในไม่ช้า เขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปทางเหนือหรือตะวันตกเพื่อค้นหาในพื้นที่เพิ่มเติมต่อไปได้
หญ้าสลายเซียน หญ้าสลายเซียน เวลานี้ข้าโมโหมากจริงๆ
ตูม!
ทันใดนั้นหน้าผาพลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นทันที
การสั่นสะเทือนนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วตื่นตกใจและรีบแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ และในไม่ช้าก็ตรวจพบเหตุการณ์ประหลาดในหมู่เมฆที่อยู่เหนือศีรษะของเขา เมฆหมอกก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวหมุนวน มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายในนั้น ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่กำลังพยายาม ‘บีบตัว’ ออกมา
หลี่ฉางโซ่วจับยามด้วยนิ้วมือเพื่อคำนวณและวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์และปฐพี!
หลี่ฉางโซ่วพลันแผ่พลังศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปรอบร่างของเขาและรีบพุ่งตัวออกจากถ้ำทันที ก่อนจะทิ้งตัวล้มลงที่พื้นเพื่อเตรียมที่จะใช้มังกรโผนผ่านเมฆา
ทว่าในช่วงเวลาที่เขาล้มลงนั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามจากเหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นก็มีร่างสีแดงเพลิงโผนพุ่งออกมาจากเกลียวเมฆที่หมุนวนเบื้องบน แล้วตกลงไปกระแทกกับพื้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
ร่างนี้ตกลงมาต่อหน้าหลี่ฉางโซ่วโดยห่างออกไปเพียงสามจั้ง ทำให้กองโคลนสาดกระเด็นไปทั่ว
หลี่ฉางโซ่วถอยร่างออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเตรียมร่างตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวเอาไว้ในฝ่ามือของเขา!
แต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเห็นร่างที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงอ่อน หลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที
นี่…
เป็นเพราะสวรรค์ไม่พอใจที่การค้นหาสมุนไพรของเขาราบรื่นเกินไปหรือไม่ จึงเป็นเหตุให้สวรรค์จงใจทำให้มันยากขึ้น
หรือเขาไปล่วงเกินปีศาจซึ่งควบคุมชะตากรรมของเขาให้ขุ่นเคืองใจจนทำให้เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัตินี้ได้
ร่างในชุดกระโปรงเทพธิดาสีแดงเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้หาใช่ผู้ใดอื่นไม่ นั่นคือ โหย่วฉินเสวียนหย่า!
เพียงแต่ในตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลลึกมากจนเห็นถึงกระดูกที่ไหล่ซ้ายของนาง โลหิตสดๆ ที่หลั่งออกมาปะปนกับฝนพิษยังคงไหลลงมาตามแขนเนียนขาวราวหยกของนาง มือขวาของนางยังคงกำกระบี่ใหญ่ของนางเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่าฝักกระบี่ของนางจะหายไปแล้วในขณะที่ตัวกระบี่ของนางเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนคล้ายกับใยแมงมุม
มีบาดแผลอย่างน้อยนับสิบแห่งบนร่างของนาง ทว่าล้วนไม่ถูกจุดชีพจรสำคัญ ดังนั้นนางจึงยังไม่ถึงกับตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วสามารถเห็นนางได้อย่างชัดเจน โหย่วฉินเสวียนหย่าก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งอยู่เบื้องหน้านางท่ามกลางม่านฝน นางก้มศีรษะลงและบ้วนโลหิตในปากออกมา ดวงตาของนางเผยให้เห็นความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น จากนั้นนางก็ใช้กระบี่ใหญ่ของนางค้ำยันกายให้ลุกขึ้นยืน นางพลันรู้สึกได้ว่าร่างที่อยู่ข้างหน้านางนั้น ดูคุ้นตาเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว และทันใดนั้นเขาก็แผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ แล้วจึงพบว่าไม่มีคนร้ายไล่ตามนางมา
เขานึกขึ้นได้ว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าได้ใช้วัตถุเวทล้ำค่าบางอย่างที่ช่วยในการหลบหนี แล้วเคลื่อนย้ายร่างมาที่นี่ทันทีโดยใช้กลวิธีเฉียนคุน ซึ่งก็คือใช้พลังจากสวรรค์และปฐพี
แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือ มีสถานที่อื่นมากมายให้ไป แต่นางดันมาปรากฏกายขึ้นที่นี่!
เมื่อพบสหายร่วมสำนักของเขาที่กำลังเผชิญความตาย แต่เขาก็ไม่ได้พยายามช่วยชีวิตนาง หากโหย่วฉินเสวียนหย่ารอดชีวิตกลับไปถึงสำนักได้ และฟ้องเรื่องของเขากับบรรดาผู้อาวุโสของสำนัก เขาย่อมจะเดือดร้อนมาก แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อยากเกี่ยวข้องในปัญหาความขัดแย้งนี้ เรื่องเหล่านี้ไม่มีสาระอันใดกับเขามาตั้งแต่แรก
แม้เขาจะต้องลำบากมากหากโหย่วฉินเสวียนหย่าฟ้องเรื่องของเขา แต่อย่างมากที่สุดสิ่งที่เขาจะเดือดร้อนก็คือ การถูกหักเงินสนับสนุนรายเดือนเท่านั้น
“อา ฝนตกหนักมากจนบดบังสายตาของข้าทั้งหมด ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย” หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วหันหน้าไปทางหน้าผาที่อยู่เบื้องหลังเขาอย่างสงบนิ่งก่อนที่จะยกมือของเขาขึ้น เขาพร้อมที่จะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายอย่างรวดเร็ว
หากยังขืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีก เขาก็โง่บัดซบแล้ว!
รีบเร็วเข้า!
“ศิษย์พี่…ฉาง ฉางโซ่ว?”
โหย่วฉินเสวียนหย่ามองไปที่แผ่นหลังของหลี่ฉางโซ่วท่ามกลางสายฝนด้วยความตกใจ จากนั้นก็ก้มศีรษะกระอักโลหิตออกมาอีกคำ แล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “ไปซะ ไปให้เร็วๆ เลย ปล่อยข้าไว้คนเดียว ไม่ต้องมาสนใจข้า ฐานพลังของท่านมันต่ำเกินไป พวกเขาทั้งหมดมีพลังมาก…มากมาย…”
และก่อนที่นางจะทันได้กล่าวจบ เปลือกตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เริ่มปิดลง กระแสลมปราณของนางเริ่มแตกซ่าน ความเจ็บปวดปะทุจากบาดแผลสาหัส ฉับพลันนั้นร่างกายกับกระบี่ของนางก็ล้มลงไปในพื้นโคลนพร้อมกันทันที
ชั่วเวลานั้นก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆดำทะมึน และฝนก็ยิ่งตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่างมันเถอะ เพราะเจ้ายังมีสติดีอยู่หรอกนะ ข้าก็จะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายช่วยพาเจ้าไปสักครึ่งทาง หลังจากนั้นแล้วข้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้จริงๆ คงทำได้แค่ปล่อยให้ชะตากรรมของเจ้าเป็นไปตามลิขิตแห่งสวรรค์เท่านั้น
…………………………………………………………………………………………………………………