“อุ้ย… เละเทะกว่าที่คิดซะอีกนะเนี่ย…”
 

ในชั่วขณะที่นากากำลังเบิ่งตากว้างมองดูสภาพภายในห้องลับใต้ดินอยู่นั้น ทางด้านเอริกะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาเองก็ได้เอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะละสายตาออกจากก้อนสีดำสี่ก้อนที่มีลักษณะคล้ายกับร่างของมนุษย์ที่ถูกเผาไหม้จนแทบจะกลายเป็นเถ้าถ่านโดยมีร่องรอยของเศษผ้าสีขาวที่ดูแล้วน่าจะเป็นเสื้อกาวน์แบบที่พวกแพทย์พยาบาลชอบสวมใส่กันเหลือปกคลุมร่างพวกเขาอยู่บางส่วนไปมองดูรอบๆ แทน

 

“อ่ะ— อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยสินะ…”

 

และเมื่อเอริกะได้กวาดตามองดูรอบๆ แล้วเธอสายตาของเธอก็ได้สะดุดเข้ากับโต๊ะวางอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียงเหล็กตรงใจกลางห้องเข้า เพราะว่าที่บนโต๊ะนั้นเองมันได้มีขวดโหลบรรจุน้ำที่มีวัตถุกลมๆ ลูกหนึ่งลอยอยู่ข้างในถูกวางทิ้งเอาไว้ และเมื่อเอริกะได้เห็นแบบนั้นเธอก็ไม่รอช้าที่จะก้าวขาข้ามก้อนสีดำไหม้เกรียมรูปร่างมนุษย์เหล่านั้นเข้าไปหยิบมันขึ้นมาส่องดูในทันที

 

แต่ทว่าหลังจากที่เอริกะได้ส่องมองดูตัวก้อนกลมๆ ที่ลอยอยู่ภายในดีๆ แล้วเธอก็ได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“เฮ้อ…”

 

“เป็นอะไรไปหรอเอริกะ?”

 

ทันใดนั้นเองนากาที่เดินตามหลังเอริกะมาด้วยสีหน้าแหยงๆ และพยายามที่จะไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ก้อนสีดำในซากเสื้อกาวน์ทั้งสี่ที่พื้นเองก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงกับเสียงถอนหายใจของเอริกะจนทำให้เธอต้องรีบหันกลับไปพูดตอบเขาอย่างรวดเร็ว

 

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ว่าแต่เธอไหวหรือเปล่าน่ะนากาคุง สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เลยนะ”

 

“ฉ–ฉันไม่เป็นไร…”

 

นากาพยายามพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติก่อนที่เขาจะผงะไปเล็กน้อยเมื่อเหลือบไปเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เปื้อนเลือดแห้งกรังจำนวนมากที่ถูกวางทิ้งเอาไว้เต็มโต๊ะวางอุปกรณ์ข้างๆ เตียงเหล็กตรงกลางห้องจนทำให้เขาต้องรีบละสายตาออกมาและพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดในทันที

 

“ว่าแต่แล้วที่เมื่อกี้นี้เธอบอกว่าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยนั่น อย่าบอกนะว่าขวดโหลนั่นมันเป็นขวดเก็บลูกตาของหกเทพพิทักษ์อะไรที่หายไปจากบ้านของเธอจริงๆ น่ะ?”

 

“จะว่าใช่มันก็ใช่แหล่ะ แต่ว่ามันมีปัญหาอยู่นิดหน่อยน่ะสิ ไหนขอมือหน่อยสินากาคุง~”

 

“หืม…? —เฮ้ย!?”

 

นากาที่ยื่นมือออกไปให้เอริกะตามที่อีกฝ่ายพูดขอมานั้นแทบจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆ เอริกะก็ได้วางขวดโหลบรรจุลูกตาลงบนฝ่ามือของเขาแบบไม่บอกไม่กล่าว แถมยังดูเหมือนว่าจะจงใจวางให้เขาได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าของตัวลูกตาแบบชัดๆ อีกต่างหาก

 

ซึ่งท่าทางตกใจสุดตัวของนากาก็ได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มฟัง

 

“คือแบบว่าตัวกระปุกน่ะมันก็เป็นของที่หายไปจากบ้านของฉันจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่ปัญหาก็คือว่าตัวลูกตาที่อยู่ข้างในนั่นน่ะมันไม่ใช่อันเดียวเดียวกับที่เพื่อนของฉันเอามาฝากไว้น่ะสิ”

 

“ห–หะ? ล–แล้วถ้างั้นเจ้านี่มันคือลูกตาของใครกันล่ะ?”

 

“ก็นะ… เธอลองอ่านเอาสารในแฟ้มนั่นดูก่อนสิ”

 

เอริกะยักไหล่กลับมาให้นากาและหยิบเอาขวดโหลบรรจุลูกตากลับไปพร้อมกับคว้าเอาแฟ้มเอกสารที่นากาเหน็บเอาไว้กับแขนออกมายัดใส่มือของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วจนทำให้นากาได้แต่ต้องยอมลองอ่านมันดู

 

“ ‘รายงานผลการทดลองการปลูกถ่ายอวัยวะและผลกระทบของการปลูกถ่ายอวัยวะในการใช้ชีวิตประจำวัน’ เอ่อ… ไอ้คำว่าปลูกถ่ายเนี่ย……. เธออย่าบอกนะว่ามันหมายถึงแบบ… การเอาแขนของคนคนนึงไปต่อให้กับคนอีกคนนึงอะไรแบบนั้นน่ะ…? เดี๋ยวสิ— น–นี่อย่าบอกนะว่าเวก้าเขาเอาลูกตาของเธอไปเปลี่ยนกับลูกตาของใครก็ไม่รู้น่ะ!?”

 

ตัวหนังสือตัวใหญ่บนกระดาษแผ่นแรกที่ถูกเขียนเอาไว้ในแฟ้มเอกสารนั้นได้ทำให้นากาเผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา เพราะว่าสำหรับเขาแล้วคำว่าปลูกถ่ายอวัยวะนั้นฟังดูไม่ค่อยจะเป็นอะไรที่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่นัก อีกทั้งเมื่อนึกถึงการเอาแขนขาของคนอื่นมาใช้งานเป็นของตัวเองแล้วเขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องอะไรแบบนั้นดี

 

ซึ่งสีหน้าประหลาดๆ ที่เด็กหนุ่มกำลังทำอยู่นั้นก็แทบจะทำให้เอริกะหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะพูดอธิบายให้เขาฟัง

 

“ก็นะ ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วมันก็ทำได้นั่นแหล่ะ แต่ว่าตามปกติแล้วมันก็ไม่ได้ถึงขั้นจะมาต่อแขนต่อขาให้คนอื่นแบบที่คุณเวก้าเขากำลังพยายามทำอยู่แบบนี้หรอกนะ ส่วนมากมันจะเป็นการเปลี่ยนอวัยวะชิ้นเล็กๆ ที่ไม่ซับซ้อนมากอย่างอวัยวะภายในหรือไม่ก็กระดูกเทียมสำหรับคนแขนหักขาหักหรืออะไรจำพวกนั้นมากกว่าน่ะ”

 

“แค่นั้นมันก็สยองพอแล้วล่ะมั้งนั่น…”

 

“แหม่~ อย่าพูดอย่างงั้นสินากาคุง~ ลองนึกดูสิว่าถ้าการทดลองพวกนี้ประสบผลสำเร็จขึ้นมามันจะมีประโยชน์มากขนาดไหนน่ะ~ อ่ะ—แต่ก็อย่างว่าล่ะนะว่ามันยังอยู่ในขั้นทดลองอยู่น่ะ เพราะงั้นคุณเวก้าเขาจะแอบมาทำการทดลองในห้องลับๆ ใต้ดินแบบนี้มันก็ไม่แปลกหรอกจริงมั้ยล่ะ”

 

คำพูดอธิบายของเอริกะได้ทำให้นากาเบ้ปากเล็กน้อยและหันไปเปิดไล่ดูเอกสารหน้าถัดๆ ไปของแฟ้มเอกสารในมือ ก่อนที่เขาจะพบว่ามันน่าจะเป็นรายชื่อของผู้เข้าร่วมรับการทดลองที่น่าจะเกิดข้อผิดพลาดจนเสียชีวิตไป เนื่องจากบนหน้ากระดาษเหล่านั้นถูกประทับด้วยตราสีแดงเป็นคำว่า ‘ตัวอย่าง-เสียชีวิต’ เอาไว้

 

แต่ว่าหลังจากที่นากาพลิกไปได้เกือบสิบหน้ากระดาษเขาก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะว่าในทุกๆ หน้าที่เขาเปิดผ่านไปนั้นล้วนแต่ถูกประทับเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดงเหมือนกันหมด และนั่นก็ทำให้เอริกะที่สังเกตเห็นท่าทีของนากาต้องลดท่าทางร่าเริงของเธอลง

 

“ที่การทดลองส่วนใหญ่จะล้มเหลวแบบนั้นมันก็ไม่ได้แปลกอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะนากาคุง เพราะว่าขนาดเรื่องพื้นฐานอย่างการถ่ายเลือดพวกเขาก็ยังตีโจทย์ไม่แตกจนทำให้มันสำเร็จทุกครั้งไม่ได้เลย แล้วนี่เล่นข้ามขั้นจากการถ่ายเลือดไปเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเลยแบบนี้มันจะไปสำเร็จได้ยังไงล่ะจริงมั้ย”

 

“แต่ว่านี่มันชีวิตคนเลยนะ! นี่พวกเขาคิดว่าจะทำยังไงกับคนพวกนี้ก็ได้หรือไงกัน!?”

 

“ใจเย็นๆ ก่อนสินากาคุง ถึงเธอจะเห็นว่าพวกเขาถูกทดลองจนเสียชีวิตไปแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่าที่จริงแล้วพวกเขาก็อาจจะสมัครใจมาเข้ารับการทดลองเองก็ได้นะ”

 

“หา? มันจะมีใครที่ไหนสมัครใจไปเข้ารับการทดลองที่อาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้แบบนั้นกันเล่า!?”

 

“มีสิ… ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็อย่างเช่นพวกคนที่ไม่มีอวัยวะพวกนั้นมาตั้งแต่เกิด หรือว่าคนที่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุจนสูญเสียแขนขาไป หรือแม้แต่คนที่สูญเสียครอบครัวไปจนตรอมใจแต่ก็ไม่อยากจะจากไปอย่างไร้ค่าหรืออะไรแบบนั้นน่ะ”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหยิบเอาเอกสารของเหล่าอาสาสมัครที่เธอพูดถึงขึ้นมาให้เธอดูว่าในเอกสารตรงส่วนที่ควรจะระบุถึงที่มาหรือว่าประวัติของพวกเขาเหล่านั้นได้ถูกเว้นว่างเอาไว้ทุกใบจนทำให้เอริกะสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบร้อนพูดอธิบายออกมา

 

“ก–ก็แบบว่าที่ฉันพูดถึงนั่นฉันหมายถึงในตอนที่ฉันจำเป็นจะต้องทดลองอะไรบางอย่างกับมนุษย์น่ะนะ~ ส่วนทางด้านวังหลวงนี่พวกเขาจะจัดหาคนมาทดลองยังไงฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน~ เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเรามาหาข้อมูลกันต่อก่อนดีกว่าเนอะ~”

 

“เฮ้อ…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดอธิบายของเอริกะได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะพลิกไล่ไปตามรายชื่อผู้เข้ารับการทดลองเผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมพร้อมกับพูดถามเอริกะไปด้วย

 

“ว่าแต่เห็นเมื่อวานนี้เวก้าเขาพูดว่าเขาจะมาขอคำปรึกษาจากเธอไม่ใช่หรือไงน่ะเอริกะ นี่อย่าบอกนะว่าเธอรู้เรื่องการทดลองของเวก้าเขามาก่อนอยู่แล้วน่ะ?”

 

“มันใช่แบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะ~ เรื่องงานที่คุณเวก้าเขาชอบเอามาปรึกษาฉันมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทดลองวิซธาตุไฟฟ้ากับธาตุน้ำแข็งต่างหาก~”

 

“งั้นหรอ… จะว่าไปแล้วนี่สรุปว่าเธอทำงานตำแหน่งอะไรอยู่ข้างในวังหลวงกันแน่ล่ะนั่น”

 

“ว๊ายๆ ~ นี่ใครเป็นคนบอกเธอกันเนี่ยว่าฉันเป็นคนที่ทำงานอยู่ข้างในทางวังหลวงน่ะ~”

 

“หือ? ก็ตอนที่อารอนเขาจะพาพวกฉันมาที่เมืองเขาบอกเอาไว้ว่าจะพามาหาเพื่อนเก่าที่ทำงานให้กับทางวังหลวงนี่”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาต้องเงยหน้ากลับขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารเพื่อมองไปทางหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลด้วยความประหลาดใจก่อนจะพบว่าเอริกะเพิ่งจะละสายตาออกมาจากรอยไหม้สีดำที่ดูคล้ายกับรากไม้ที่แตกแขนงไปตามพื้นเพื่อกลับมายืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาแพรวพราว

 

“อ๋อ~ ถึงมันจะฟังดูคล้ายๆ กันก็เถอะ แต่ว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้ทำงานให้กับทางวังหลวงหรอกนะ เพราะว่าถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วมันจะต้องพูดว่าทางวังหลวงเขาจ้างให้ฉันไปทำงานด้วยต่างหากล่ะ~”

 

“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะนั่น…?”

 

“แหม่~ ต่างสิ แถมยังต่างกันเยอะด้วยนะ~ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ถ้าเป็น ‘คนที่ทำงานให้กับวังหลวง’ อย่างคุณเวก้าเขาน่ะ ถ้าเกิดว่าทางวังสั่งให้เขาหันซ้ายเขาก็ต้องหันซ้าย สั่งให้หันขวาเขาก็ต้องหันขวา หรือต่อให้ทางวังสั่งให้เขาเต้นลีลาศกลางถนนเขาก็ยังต้องออกไปเต้นเลย~”

 

“ขนาดนั้นเลย?”

 

“ช่าย~ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่ทางวังหลวง ‘จ้างให้ไปทำงานด้วย’ แบบฉันน่ะนะ ถึงทางวังหลวงจะมีสิทธิสั่งงานพวกฉันอยู่ในระดับนึง แต่ถ้าเกิดว่าพวกฉันเห็นว่ามันคำสั่งอะไรที่ดูไร้สาระล่ะก็พวกฉันก็มีสิทธิที่จะไม่ทำตามได้ แถมทางวังหลวงเองก็ยังไม่กล้ากดดันพวกฉันมากเกินไปด้วย เพราะพวกเขารู้ดีว่าเมืองหลวงแห่งอื่นจ้องจะดึงตัวพวกฉันไปเข้าร่วมด้วยตาเป็นมันเลยยังไงล่ะ~”

 

ท่าทางการอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแป้นของเอริกะนั้นแทบจะทำให้นากาอยากยื่นมือไปดึงแก้มของเธอด้วยความหมั่นไส้ แต่ถึงอย่างนั้นนากาก็อดดีใจเล็กน้อยไม่ได้ที่คนที่เขาต้องพึ่งพาอาศัยในระหว่างที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่คนแบบเดียวกับขุนนางภายในวังหลวงที่ทำงานคร่าชีวิตผู้อื่นในการทดลองไปเป็นจำนวนมากเหมือนกับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาจึงได้ละสายตาออกมาจากท่าทีน่าหมั่นไส้ของหญิงสาวผมสีแดงและก้มลงไปไล่อ่านแฟ้มเอกสารในมือต่อ

 

“เอาเถอะ ถ้าเกิดว่าเธอไม่โดนพวกนั้นเอาเปรียบก็ดีแล้วล่ะ… หือ…?”

 

ทันใดนั้นเองนากาที่ไล่อ่านเอกสารอยู่ก็ได้ไปสะดุดกับเอกสารแผ่นหนึ่งที่ดูแปลกกว่าแผ่นอื่นเล็กน้อย เพราะว่าตัวรูปถ่ายและข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับการทดลองรวมถึงข้อมูลวิธีการทดลองต่างๆ ถูกขีดฆ่าทิ้งไปด้วยหมึกสีดำแทบจะทุกส่วน

 

ในขณะที่ชื่อที่ถูกระบุเอาไว้ในเอกสารเองก็ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในปัจจุบันแต่ว่ากลับเป็นตัวอักษรภาษาโบราณแทน อีกทั้งตัวอักษรสีแดงที่ถูกประทับเอาไว้เองก็ไม่ใช่คำว่า ‘ตัวอย่าง-เสียชีวิต’ แต่เป็นคำว่า ‘ตัวอย่าง-สูญหาย’ อีกด้วย

 

“ชื่อนี่มันภาษาโบราณงั้นหรอ… ถ้าจำไม่ผิดโมโกะจะเคยบอกเอาไว้ว่าตัวนี้อ่านออกเสียงว่า เอ็น ส่วนตัวนี้อ่านว่า เอ… แต่ว่ามันมีขีดคั่นเฉียงๆ อยู่ตรงกลางด้วย… เอริกะ เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับคนนี้บ้างหรือเปล่าน่ะ?”

 

“N/A งั้นหรอ อันนั้นมันไม่ใช่ชื่อหรือว่าชื่อย่อหรอกนะ มันเป็นตัวย่อของคำว่าไม่มีข้อมูลน่ะจ้ะ บางทีเขาอาจจะโชคดีหลบหนีไปได้ก่อนจะถูกทดลองเสร็จก็ได้ล่ะมั้ง~”

 

“เห… งั้นหรอ”

 

นากาที่ถูกเอริกะที่กำลังก้มตัวลงไปสำรวจดูรอยไหม้สีดำบนพื้นและตามผนังห้องพูดตอบปัดกลับมาส่งๆ ได้แต่ก้มลงไปอ่านข้อมูลส่วนที่ไม่ได้ถูกขีดคาดสีดำเอาไว้ด้วยความหวังที่ว่าอาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง

 

แต่ว่ามันก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะว่าตัวข้อมูลที่เหลืออยู่มันบอกเอาไว้เพียงแค่ว่ามันเป็นการทดลองปลูกถ่ายแขนทั้งสองข้าง และรายการยาบางส่วนที่นากาไม่รู้จักที่ถูกใช้ในระหว่างการทดลอง รวมไปถึงเรื่องที่ว่าการทดลองมันเกิดขึ้นไปตั้งแต่เมื่อเกือบจะยี่สิบปีก่อนแล้วเพียงเท่านั้น

 

และในขณะที่นากากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่นั้น ทางด้านเอริกะก็ได้ฉวยโอกาสที่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเธอเปิดขวดโหลเพื่อหยิบเอาตัวลูกตาขึ้นมาตรวจสอบดูใกล้ๆ อย่างละเอียดๆ ก่อนจะหย่อนมันกลับไปลงที่เดิมพร้อมกับเอ่ยปากพูดเรียกนากาขึ้นมา

 

“เอาล่ะ~ ในเมื่อของข้างในขวดนี่มันไม่ใช่ลูกตาอันเดิมแล้วงั้นพวกเราก็กลับขึ้นไปข้างบนกันเถอะเนอะ~”

 

“อื้ม แล้วถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราจะเอายังไงกันต่อล่ะ”

 

“นั่นสินะ อันดับแรกก็คงจะต้องกลับไปรวมกลุ่มกับพวกเอริเขาก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวเธอกับเอริค่อยไปสำรวจหาร่างของคุณเวก้าเขากับเด็กทารกเจ้าของห้องลับข้างบนดูให้ทั่วๆ กันอีกสักรอบนึงก็แล้วกัน ส่วนทางด้านฉันคงจะต้องเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับทางวังหลวงก่อน… เพราะถึงจะเห็นคุณเวก้าเขามียศแค่บารอนแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วหน้าที่ของเขาค่อนข้างจะสำคัญเลยล่ะ…”

 

“เธอหมายถึงหน้าที่จับคนมาทดลองนี่น่ะนะ?”

 

ปิ๊บ ปิ๊บ

 

ในขณะที่นากากำลังพูดแขวะเวก้าขึ้นมาแบบอดไม่ได้อยู่นั้นเอง ตัวเครื่องสื่อสารขนาดเล็กในหูของเขาก็ได้ส่งเสียงสัญญาณออกมาก่อนที่จะมีเสียงของเอริซาเบธดังตามออกมาในเวลาไม่นาน

 

“ทางด้านฉันตรวจสอบร่างของคุณอัศวินคนนี้เรียบร้อยแล้วนะคะคุณเอริกะ แต่ว่าสภาพมันอาจจะ… เอ่อ… เละๆ ไปสักหน่อยนึง… ถ้าจะว่าก็ไปว่าเดรคเขาละกันนะคะ”

 

“อื้ม ทางฉันเองก็กำลังจะกลับขึ้นไปอยู่พอดีเลย แล้วผลเป็นยังไงบ้างล่ะ ร่างของเขาคงจะไม่น่าดูตามที่ฉันบอกจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงพูดถามของเอริกะก็ได้มีเสียงเหมือนกับของเหลวและวัตถุเหนียวๆ เหนอะหนะดังลอดผ่านเข้าเครื่องสื่อสารมาเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่เดรคก็เอริซาเบธกำลังแง้มเปิดชุดเกราะหนักของอัศวินออกมาดูอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

 

“เอ่อ… อย่าเรียกว่าไม่น่าดูเลยค่ะ เรียกว่าดูไม่ได้เลยน่าจะดีกว่า… ฉันเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันว่าของสองอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยแบบนี้มันจะมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้แบบนั้นน่ะค่ะ… ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือว่าตัวชุดเกราะที่เป็นเหล็กกับผิวห—”

 

“หยุดเลยๆ นากาคุงยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะ เดี๋ยวเอาไว้เธอค่อยมาอธิบายให้ฉันฟังทีหลังคนเดียวก็พอแล้วล่ะเอริ”

 

“ค่าาาา~”

 

เอริซาเบธที่ถูกเอริกะพูดถามปรามการพูดอธิบายแบบออกรสของเธอได้ขานตอบกลับมาเสียงใสจนทำให้เอริกะอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายๆ ก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานเหล่าเด็กๆ ของเธอขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวเธอบอกให้เดรคเขาอุ้มร่างของเจนออกมารอพวกฉันอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ก่อนก็แล้วกันนะเอริ แล้วเดี๋ยวพวกเธอค่อยพาร่างของเจนไปให้มีอาเขาตรวจดูอีกทีนึง ส่วนทางด้านฉันจะพานากาคุงกลับไปส่งที่บ้านก่อนแล้วเดี๋ยวจะไปแจ้งเรื่องให้กับทางวังหลวงเอง”

 

“โอเคค่า~~”

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดตอบรับกลับมาจากเอริซาเบธแล้วเอริกะก็ได้เดินนำนากากลับขึ้นบันไดทางลงห้องทดลองลับใต้ดินกลับไปยังห้องเก็บของของคฤหาสน์อีกครั้งหนึ่ง และพาเด็กหนุ่มเดินตรงไปยังทางประตูหน้าของตัวคฤหาสน์ เพื่อรวมกลุ่มกับเอริซาเบธและเดรคที่อุ้มร่างของเจนเอาไว้ในอ้อมแขน

 

และหลังจากที่เอริซาเบธได้เห็นเอริกะกำลังเดินตรงมายังประตูคฤหาสน์แล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเอริกะด้วยท่าทีตื่นเต้นจนทำให้เอริกะทำสีหน้าหน่ายๆ ออกมาและดันแก้มของเอริซาเบธให้ถอยห่างออกไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดสั่งงานขึ้นมา

 

“งั้นเดี๋ยวพวกเธอพาร่างของเจนเขาไปส่งให้มีอาที่โรงพยาบาลได้เลยนะเอริ แล้วก็ฝากแจ้งเรื่องนี้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เมืองแพนเทร่ารู้ด้วยล่ะ ที่เดียวกับที่เธอเคยอยู่นั่นแหล่ะ… เอาล่ะ ไปกันเถอะเนอะ”

 

“ฮึ่ม…”

 

คำสั่งของเอริกะได้ทำให้เดรคพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งที และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธต้องยกมือขึ้นไปลูบแขนอันกำยำของเขาไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะเดินนำเขาตามหลังเอริกะตรงกลับไปยังเมืองรีมินัสที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนที่พวกเขาเดินผ่านเข้าประตูเมืองไปนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นมาอยู่บ้างเมื่อหนึ่งในทหารยามได้ร้องเรียกเดรคเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับร่างของเจนที่เขากำลังอุ้มอยู่ แต่ว่าพวกเขาก็ช่วยกันบอกปัดไปว่าเจนไม่สบายจนสลบไปพวกเขาก็เลยต้องพาเธอเข้าไปหาหมอประจำตัวของเธอที่เปิดคลินิกอยู่ในเมืองจนสามารถผ่านเข้าประตูเมืองไปได้อย่างไม่ติดขัด

 

และเมื่อทุกคนผ่านเข้าประตูเมืองไปได้แล้วทางด้านเอริซาเบธก็ได้พาเดรคเดินแยกเข้าไปในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เดินนำนากาตรงไปตามถนนเส้นหลักเพื่อกลับไปยังบ้านของเธอที่ตั้งอยู่ในเขตตะวันตกของตัวเมืองชั้นใน

 

“อ๊ะ—พี่นากากลับมาแล้วหรอ~”

 

ในทันทีที่เอริกะผลักประตูรั้วบ้านของเธอให้เปิดออกนั้น ประตูของตัวบ้านเองก็ได้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วเช่นกันก่อนที่จะมีเสียงใสๆ ของพรีมูล่าดังทักทายพวกเขาขึ้นมาแล้วจึงค่อยตามมาด้วยเสียงของคอนแนลที่ชะโงกหน้าผ่านเด็กสาวผมสีชมพูออกมา

 

“ยินดีต้อนรับกลับมานะครับ คุณเอริกะ นากา”

 

“กลับมาแล้วจ้ะ ขอบใจที่อยู่เฝ้าบ้านให้นะ~”

 

“เป็นไงบ้างพรีมูล่า ตอนพี่ไม่อยู่คงไม่ได้ซนเผลอทำอะไรพังไปใช่มั้ย…?”

 

ในขณะที่ทางด้านเอริกะกำลังพูดทักทายคอนแนลกลับไปอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้เดินเข้าไปหาพรีมูล่าเพื่อทำการสอบถามน้องสาวตัวแสบของเขาขึ้นมาด้วยความหวาดระแวง เพราะเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าตลอดเวลาช่วงเช้าที่ผ่านมานี่พรีมูล่าคงจะไม่ได้อยู่เฉยๆ อย่างสงบเสงี่ยมแน่นอน

 

“เอ๋~~ อย่างหนูเนี่ยนะจะซนจนเผลอไปทำอะไรพังเข้า เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ จริงมั้ยพี่นากา~”

 

“เฮ้อ… เอาเถอะ แล้วนี่อลิซกับโมโกะอยู่ไหนล่ะ เหมือนพี่จะได้ยินเอริกะเขาสั่งให้อลิซพาโมโกะมาที่นี่แล้วนี่”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของน้องสาวของเขาได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนไปพูดสอบถามถึงเรื่องอื่นแทน แต่ว่าก่อนที่พรีมูล่าจะได้พูดตอบอะไรเขากลับมา คอนแนลที่ทักทายเอริกะเสร็จแล้วก็ได้พูดตอบคำถามของนากาขึ้นมาให้แทนเสียก่อน

 

“ถ้าเกิดว่าเป็นคุณอลิซล่ะก็ตอนนี้นอนสลบอยู่ข้างบนห้องน่ะครับ ส่วนคุณโมโกะเองก็กำลังดูอาการของคุณอลิซอยู่ข้างบนด้วยเหมือนกัน”

 

“สลบ? นี่อย่าบอกนะว่าอลิซเขาโดนพรีมูล่าแกล้งเข้าไปจนสลบน่ะ? เออใช่ แล้วนายก็ไม่ต้องไปเรียกโมโกะเขาว่าคุณหรอกนะคอนแนล ถ้าเกิดยัยนั่นได้ยินเข้าเดี๋ยวก็ได้พุ่งเข้ามาเขมือบหัวนายกันพอดี”

 

“เอ๋… มันจะดีหรอครับนั่น…”

 

“อ่า ยัยนั่นก็สบายๆ พอๆ กันกับพวกฉันนั่นล่ะ เพราะงั้นนายไม่ต้องสุภาพมากนักก็ได้ เออใช่ เธอจะให้ฉันตามโมโกะลงมาให้หรือเปล่าน่ะเอริกะ เหมือนว่าพวกเธอจะยังไม่ได้มีเวลาตกลงเงื่อนไขกันเลยนี่นา”

 

คำตอบที่ฟังดูลังเลของคอนแนลได้ทำให้นากายักไหล่พูดตอบเพื่อนใหม่ของเขากลับไปแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนักก่อนจะหันไปพูดถามเอริกะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมาแทน แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับพูดปฏิเสธกลับมาเพราะเธอคิดว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอยู่

 

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันว่าตอนนี้พวกเรามีอะไรจะต้องบอกคอนแนลคุงเขาก่อนล่ะมั้ง”

 

“เอ๋ะ บอกคอนแนลเขาตอนนี้เลยจะดีหรอน่ะเอริกะ”

 

ถึงแม้ว่านากาจะพยายามคัดค้านความคิดของเอริกะแล้วก็ตาม แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับไม่คิดจะสนใจคำคัดค้านของเขาและยื่นมือไปจับไหล่ของคอนแนลทั้งสองข้างเอาไว้จนทำให้อัศวินหนุ่มถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย

 

“อ—เอ่อ… นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรือเปล่าครับเนี่ย…?”

 

“มันก็มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมานิดๆ หน่อยๆ จริงๆ นั่นแหล่ะจ้ะ เอาเป็นว่าเธอทำใจให้ดีๆ ก่อนก็แล้วกันนะคอนแนลคุง…”

 

หลังจากที่เอริกะจับไหล่ทั้งสองข้างของคอนแนลเอาไว้แล้วเธอก็ได้เริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างในคฤหาสน์ของเวก้าให้อัศวินหนุ่มฟัง โดยปิดเรื่องที่ว่าเจนเป็นสายของเธอและเรื่องการทดลองของเวก้าเอาไว้

 

จนกลายเป็นว่าเจนที่เป็นคนรู้จักของเธอที่ทำงานเป็นหัวหน้าสาวใช้ของเวก้าขาดการติดต่อกับเธอไป เธอกับนากาก็เลยลองไปที่คฤหาสน์ของเวก้าดูก่อนจะพบว่าทุกคนในคฤหาสน์ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว และในขณะที่พวกเธอกำลังพยายามสืบหาสาเหตุอยู่นั้น พวกเธอก็บังเอิญได้ไปเจอห้องเลี้ยงเด็กลับที่มีทางเข้าซ่อนอยู่ในห้องนอนของเวก้าเข้า จนคิดว่าเขาน่าจะมีลูกเป็นเด็กทารกตัวน้อยไปแล้วโดยที่ไม่เคยบอกใคร

 

“หว๋าย… เนี่ยอ่ะนะที่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมานิดๆ หน่อยๆ ของพี่เอริกะเขาอ่ะพี่นากา”

 

“ชู่วๆๆ อย่าเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าท่าสิยัยตัวแสบเอ๊ย”

 

“ค—คุณเวก้าเขาต—ตายแล้วงั้นหรอครับ? ล—แล้วไหนจะยังพวกอัศวินรุ่นพี่กับคนอื่นๆ ในคฤหาสน์อีก…”

 

ในขณะที่นากากำลังพูดต่อว่าน้องสาวของเขาออกมาอยู่นั้น ทางด้านคอนแนลที่ได้ยินเรื่องนิดๆ หน่อยๆ ของเอริกะเข้าไปก็ถึงกับผงะและทรุดล้มลงไปนั่งกับโซฟาด้วยท่าทางเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยินจนทำให้ทั้งพรีมูล่าและนากาต้องรีบเข้าไปดูอาการของเขาในทันที

 

“หว๋ายๆๆ พี่คอนแนลไหวมั้ยเนี่ย”

 

“เธอเล่นบอกเขาไปตรงๆ แบบนั้นมันจะไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรอน่ะเอริกะ”

 

ในขณะที่ทางด้านพรีมูล่ารีบเดินเข้าไปเอานิ้วจิ้มคอนแนลเพื่อดูอาการของเขาอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้หันไปถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าเอริกะเล่นพูดบอกเรื่องที่เกิดขึ้นมาให้คอนแนลฟังแบบไม่อ้อมค้อมอะไรเลยแม้แต่น้อยจนอัศวินหนุ่มแทบจะหน้ามืดไปแบบนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับยักไหล่กลับมาให้นากาด้วยท่าทีสบายๆ และพูดตอบเขากลับมาแบบไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวคอนแนลเขาก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหล่ะ เพราะงั้นบอกไปแบบตรงๆ ตั้งแต่ตอนนี้ที่มีแต่คนรู้จักของเขาอยู่ด้วยน่าจะดีกว่านะ”

 

และถึงแม้ว่าคำพูดของเอริกะจะฟังดูไร้ซึ่งความเมตตาก็ตาม แต่ว่าเมื่อเธอได้เห็นท่าทางของคอนแนลที่ตกใจจนแทบจะร่วงลงไปจากโซฟาอยู่แล้วเธอก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาแก้มเล็กน้อยและเดินตรงเข้าไปช่วยปลอบใจเขาอยู่ดี

 

“เธอไม่เป็นไรนะคอนแนลคุง… ถ้ายังไงเธอจะพักอยู่ที่บ้านฉันไปอีกสักพักนึงก่อนก็ได้นะ ส่วนเรื่องของคุณเวก้ากับทางวังหลวงเดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง”

 

“ด–เดี๋ยวก่อนสิครับคุณเอริกะ! เมื่อกี้นี้คุณเอริกะบอกว่าคุณเวก้าเขาน่าจะมีลูกแล้วแถมพวกคุณเอริกะก็ยังหาร่างของพวกเขาไม่เจอด้วยใช่มั้ยครับ! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะก็ ในฐานะอัศวินของคุณเวก้าผมจะต้องออกไปตามหาตัวพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย!”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพยายามปลอบใจคอนแนลอยู่นั้นเอง คอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มตั้งสติได้ก็ได้ผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้และพูดถามขึ้นมาเสียงดัง ซึ่งท่าทีมุ่งมั่นของเขานั้นก็ได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะอาสาตัวช่วยเหลือด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันเองก็จะช่วยคอนแนลตามหาเวก้าเขาด้วยอีกคน เอริกะ เธอพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเวก้าเขามีโอกาสจะหลบไปอยู่แถวไหนบ้างน่ะ?”

 

“นากา…”

 

คำพูดอาสาตัวของนากาได้ทำให้คอนแนลหันไปมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะว่าทั้งๆ ที่เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องอันตรายที่ถึงขนาดทำให้หน่วยอัศวินของเวก้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการปกป้องและคุ้มกันเจ้านายเสียชีวิตไปทั้งหน่วยแบบนั้น แต่ว่าทางด้านนากาที่เพิ่งจะรู้จักกับเขามาได้เพียงแค่วันเดียวก็ยังไม่รอช้าที่จะอาสาตัวขึ้นมาช่วยโดยไม่เกรงกลัวอันตรายเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมา เอริกะก็กลับขมวดคิ้วเล็กน้อยและร้องห้ามขึ้นมาเสียงดัง

 

“ไม่ได้! ไม่ว่าจะเป็นใครก็ห้ามออกไปตามหาตัวคุณเวก้าเขาในตอนนี้เด็ดขาด!”

 

“เอ๋ะ? ทำไมล่ะเอริกะ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะบอกว่าจะให้ฉันออกไปหา—”

 

“ฉันบอกว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ห้ามออกไปตามหาตัวคุณเวก้าเขา ‘ในตอนนี้’ ไง! อย่างน้อยๆ พวกเธอก็ต้องรอจนกว่าฉันจะออกไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับทางวังหลวงรู้ก่อน ไม่อย่างงั้นเจ้าพวกนั้นอาจจะใส่ความว่ามันเป็นพวกเธอเองที่ไปก่อเรื่องในคฤหาสน์ก็ได้ เพราะงั้นในระหว่างที่ฉันเตรียมหลักฐานยืนยันที่อยู่ให้พวกเธออยู่นี่ พวกเธอก็เอาแผนที่เมืองไปวางแผนการค้นหากันก่อนก็แล้วกัน!”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของเอริกะเธอก็ได้หยิบเอาม้วนแผนที่ของเมืองรีมินัสที่เธอเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอและโยนมันลงไปบนโต๊ะก่อนจะเดินตรงไปทางห้องออฟฟิศของเธอ โดยปล่อยให้เหล่าเด็กๆ ในห้องนั่งเล่นมองตามเธอไปด้วยสีหน้าต่างๆ กัน

 

เพราะดูท่าทางว่านักประดิษฐ์สาวจะจงใจพูดให้ทุกคนเข้าใจผิดในทีแรกเหมือนกับที่เธอชอบทำเป็นประจำอีกแล้ว

 

“คุณเอริกะ…”

 

“ให้ตายสิ เหมือนอย่างที่ฉันโดนเมื่อกี้นี้ไม่มีผิดเลย…”

 

เสียงพูดพึมพำเบาๆ ของเด็กหนุ่มทั้งสองคนได้ทำให้เอริกะที่เพิ่งจะเดินหายเข้าไปข้างในห้องออฟฟิศของเธอชะโงกหน้ากลับมาร้องสั่งพวกเขาเสียงดังก่อนจะผลุบหายเข้าไปข้างในห้องพร้อมกับปิดประตูหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

“อะไรล่ะ! รีบๆ สุมหัวกันวางแผนได้แล้ว ขอบอกไว้ก่อนนะว่าฉันทำเอกสารนี่แป๊บเดียวก็เสร็จแล้วนะ!”

 

“เข้าใจแล้วครับคุณเอริกะ!!”