หลังจากที่เอริกะปิดห้องออฟฟิศของเธอไปเพื่อเตรียมเอกสารไปแจ้งเรื่องให้กับทางวังหลวงแล้ว ทางด้านเหล่าเด็กๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้กับแผนที่เมืองก็ได้กางตัวแผนที่ออกมาพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“พี่เอริกะนี่ขี้แกล้งจังเลยเนอะ~”

 

“ก็นะครับ ถึงจะเห็นคุณเอริกะเขาขี้เล่นแบบนั้นก็เถอะ แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็พึ่งพาได้ทุกครั้งเลยนะครับ ถ้ายังไงพรีมูล่าเองก็ลองดูคุณเอริกะเอาไว้เป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะครับ”

 

“อย่างพรีมูล่าอะนะ? ไม่ไหวหรอกมั้ง แค่ดูแลตัวเองยังทำไม่ค่อยจะได้เลย”

 

“เอ๋! พี่นากาว่าหนูอีกแล้ว— อ๊ะ— พี่นากา เขาบอกว่าตรงนี้มีร้านขนมด้วยอ้ะ!!”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังพูดต่อว่าพี่ชายของเธอออกมาอยู่นั้น สายตาของเธอก็สะดุดไปที่จุดหนึ่งของแผนที่ที่ถูกวงเอาไว้ด้วยปากกาสีแดงและเขียนระบุเอาไว้ว่าเป็นร้านแพนเค้กเปิดใหม่เธอจึงได้ชี้ไปที่มันและร้องเรียกพี่ชายของเธอขึ้นมาเสียงดัง

 

ซึ่งเสียงของพรีมูล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะดังพอตัวจนทำให้โมโกะที่ดูอาการของอลิซอยู่ข้างบนได้ยินเข้า เธอจึงได้เดินลงมาข้างล่างเพื่อทักทายพวกเขาโดยแบกปืนกลเบาทั้งสองกระบอกและตลับกระสุนจำนวนหนึ่งที่เธอฉกมาจากกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงที่บุกไปที่หมู่บ้านที่เธอไม่ยอมปล่อยให้ห่างกายเลยแม้แต่น้อยลงมาด้วย

 

“อ้าว นากากลับมาแล้วหรอ… แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่น่ะ วางแผนหาที่เที่ยวกันอยู่หรอ?”

 

“โอ้ โมโกะ เธอมาได้จังหวะพอดีเลย มาช่วยอะไรพวกฉันหน่อยสิ”

 

“คือแบบว่ามีผู้ชายคนนึงกับเด็กทารกหายตัวไป พวกผมก็เลยวางแผนว่าจะออกไปตามหากันในเมืองน่ะครับ ถ้าได้คุณโมโกะมาช่วยอีกคนก็คงจะดีมากเลย…”

 

“ยี้…”

 

คำพูดของคอนแนลที่เรียกโมโกะด้วยคำนำหน้าแบบสุภาพนั้นถึงกับทำให้เด็กสาวหูแมวทำหน้าประหลาดๆ ออกมาด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงยอมเดินไปสุมหัวกับทุกคนและลากนิ้วไปตามแผนที่ของตัวเมืองรีมินัสก่อนจะพูดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมา

 

“จะให้ฉันช่วยมันก็ได้อยู่แหล่ะ แต่ว่าเมืองนี่มันก็ใหญ่ตั้งขนาดนี้แถมฝนก็ยังตกอยู่อีก เพราะงั้นคงจะไม่ค่อยมีคนให้ถามหาเบาะแสสักเท่าไหร่หรอกมั้ง… แล้วนี่พวกนายมีข้อมูลอะไรบ้างล่ะ?”

 

“เอ๋ะ… เอ่อ… ก็เป็นผู้ชายผมสีน้ำตาลที่น่าจะอุ้มเด็กทารกหลบเข้ามาในเมืองล่ะมั้ง…”

 

“อือ แล้วไงอีก…”

 

“ก็……. มีแค่นั้นนั่นแหล่ะ…”

 

“หา…?”

 

คำตอบของนากาได้ทำให้โมโกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางเด็กหนุ่มผมดำด้วยสีหน้าน่ากลัวและพูดว่าเขาออกมาเสียงดัง

 

“นี่นายจะบ้าหรือเปล่าหะ!? นายคิดว่าในเมืองใหญ่แบบนี้มันจะมีผู้ชายผมสีน้ำตาลที่มีลูกเล็กๆ อยู่ตั้งกี่คนกัน!? นี่นายคิดจะออกไปตามหาคนหายของนายด้วยข้อมูลแค่นี้จริงๆ หรือไงกันเนี่ย!? อ๋อ… ใช่สิ ถ้าเกิดว่าเป็นนายล่ะก็มันก็ไม่แปลกอะไรสักเท่าไหร่หรอกมั้ง เพราะถ้าเกิดว่านายหาตัวเขาไม่เจอนายก็กะจะวิ่งหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตัวเข้าสักวันนึงอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ!? ก่อนคิดจะเข้าไปช่วยอะไรใครอย่างน้อยๆ ก็ช่วยหัดวางแผนก่อนซะบ้างสิยะ!!”

 

“ป–เปล่าสักหน่อย! ใครบอกว่าฉันจะทำแบบนั้นกันล่ะ!?”

 

“ใครเขาจะไปเชื่อกันหะ!? คราวก่อนนายก็ทำอย่างนั้นไปทีนึงจนเกือบจะหลงป่าอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!?”

 

“เอ่อ… ปกตินากาเขาก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วหรอครับนั่นพรีมูล่า?”

 

ในขณะที่นากากำลังโดนโมโกะตะโกนต่อว่าอยู่นั้นเอง ทางด้านคอนแนลก็ได้ชะโงกหน้าไปกระซิบถามพรีมูล่าที่เป็นน้องสาวของนากาขึ้นมาเบาๆ จนทำให้พรีมูล่าที่นานๆ ทีจะมีโอกาสได้พูดนินทาพี่ชายของตนไม่รอช้าที่จะใส่ไฟเต็มที่ในทันที

 

“ช่ายๆ ปกติแล้วพี่นากาก็เป็นแบบนี้ตลอดแหล่ะ เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยเขาแบบไม่ดูความสามารถตัวเองเลยอ่ะ อย่างตอนที่มีเด็กในหมู่บ้านหายเข้าไปในป่า พอพี่นาการู้เข้าก็รีบวิ่งเข้าไปตามหาจนเกือบจะหลงป่าซะเองเลยล่ะ~ นี่ถ้าเกิดว่าไม่ได้หนูกับโมโกะจังคอยช่วยห้ามเอาไว้ละก็มีหวังได้อาการหนักกว่านี้อีกนะ~”

 

“งั้นเองหรอครับ…”

 

“อื้อๆ ส่วนโมโกะจังอะนะ ถึงบางทีจะดูโลภมากแล้วก็เจ้าเล่ห์ไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วก็ใจดีจะตายไป~”

 

“นี่เธอว่าใครโลภมากกันหะ!?”

 

“โอ๊ยๆ!”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังพูดนินทาเพื่อนสาวหูแมวของเธอออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านเด็กสาวหูแมวโมโกะที่ดูเหมือนว่าจะหูดีกว่าคนที่มีหูเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาอยู่มากก็ได้คิ้วกระตุกกับคำนินทาของเด็กสาวผมชมพูและหันมาดึงแก้มนิ่มๆ ของเด็กสาวอย่างแรงจนทำให้พรีมูล่าต้องร้องโวยวายออกมาเสียงดัง และเมื่อโมโกะดึงแก้มของพรีมูล่าจนยืดเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็ได้หันไปทางคอนแนลและพูดเตือนเขาขึ้นมาบ้าง

 

“ส่วนนายน่ะชื่อคอนแนลใช่มั้ย! ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องไปฟังที่ยัยบ๊องนี่พูดมากนักก็ได้ เพราะว่าในหัวของยัยนี่มันก็กลวงแบบที่แสดงออกนั่นแหล่ะ!”

 

“เอ๋!? หนูไม่ได้สมองกลวงสักหน่อยนะ!!”

 

ทันใดนั้นเอง พรีมูล่าที่ถูกโมโกะพูดต่อว่าขึ้นมาก็ได้พุ่งตัวเข้าไปจัดการเอาคืนโมโกะด้วยการจิ้มไปที่เอวของเด็กสาวหูแมวอย่างต่อเนื่องจนทำให้โมโกะหลุดหวีดร้องออกมาและรีบหันกลับไปจัดการเล่นงานอีกฝ่ายกลับบ้างในทันที โดยปล่อยให้นากาและคอนแนลที่นั่งว่างงานอยู่หันไปพูดคุยกันเองแทน

 

“เอ่อ… พวกนายก็ดูสนิทกันดีจังเลยนะครับนากา…”

 

“อื้ม สองคนนี้ก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้เป็นปกติแหล่ะ”

 

“หนูไม่ได้บ้านะ!!”

 

“ปล่อยฉันได้แล้วยัยตัวแสบ!!”

 

ทันทีที่พรีมูล่าได้ยินพี่ชายของเธอพูดนินทาขึ้นมาแบบนั้นเธอก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นไปพูดเถียงเขาในทันที เป็นโอกาสให้โมโกะได้ใช้จังหวะนี้ดึงแก้มของเธอจนยืดอีกครั้งและสลัดตัวเองให้หลุดออกมาแล้วจึงเดินหลบไปนั่งอยู่อีกทางหนึ่งพร้อมกับพูดถามสองหนุ่มเกี่ยวกับแผนการตามหาตัวคนหายขึ้นมาบ้าง

 

“ให้ตายสิ… แล้วนี่พวกนายวางแผนกันเอาไว้ว่ายังไงบ้างล่ะ”

 

“หะ? แผน?”

 

“เอ่อ… ตามหาคนหายนี่มันต้องวางแผนอะไรกันด้วยหรอครับ?”

 

“พวกนายนี่มัน—!!”

 

คำตอบจากเด็กหนุ่มทั้งสองถึงกับทำให้โมโกะกัดฟันแน่นก่อนที่เธอจะพูดตวาดขึ้นมาเสียงดัง

 

“ไหนลองบอกฉันมาสิว่าคนที่พวกนายคิดจะไปตามหามีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงน่ะ!! ถ้าเกิดว่าพวกนายมีข้อมูลแค่ว่าเขามีผมสีน้ำตาลแล้วก็น่าจะอุ้มเด็กทารกเอาไว้ล่ะก็ต่อให้ถึงชาติหน้าก็หาตัวเขาไม่เจอหรอก!!”

 

“อ๊ะ— จริงด้วยสิ เมื่อวานนี้เธอไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่พวกฉันเจอกับเวก้านี่นะ”

 

คำพูดของโมโกะได้ทำให้นากานึกขึ้นมาได้ว่าสาเหตุที่เธอดูหงุดหงิดนักน่าจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้เจอกับเวก้ามาก่อนหน้านี้เหมือนกับเขาหรือว่าคอนแนล เธอจึงรู้สึกว่าข้อมูลที่พวกเขาบอกเธอไปมันมีน้อยเหลือเกินนั่นเอง

 

ซึ่งในชั่วขณะที่นากานึกถึงใบหน้าของเวก้าขึ้นมาได้นั้นเอง เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงได้รีบหันไปพูดสอบถามคอนแนลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“เดี๋ยวนะ… นี่คอนแนล นายรู้หรือเปล่าว่าเวก้าเขาตาสีอะไรน่ะ?”

 

“เอ๋ะ? เอ่อ… ถ้าผมจำไม่ผิดคุณเวก้าเขาน่าจะตาสีฟ้านะครับ…”

 

“ใช่จริงๆ ด้วยหรอเนี่ย…”

 

“สีตาของคุณเวก้าเขามันมีอะไรหรือเปล่าน่ะครับนากา?”

 

ท่าทางที่ดูเหมือนกับว่ามั่นใจอะไรบางอย่างของนากาได้ทำให้คอนแนลพูดถามเขาขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องเหลือบกลับไปมองคอนแนลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดตอบเขากลับไปโดยพยายามปกปิดอะไรบางอย่างที่เอริกะไม่ได้บอกอัศวินหนุ่มเอาไว้

 

“คือพอดีว่าที่จริงแล้วพวกฉันไปเจอห้องลับใต้ดินในห้องเก็บของด้วยน่ะ แล้วเอริกะเขาก็ไปเจอขวดเก็บลูกตาที่หายไปจากบ้านของเธอเมื่อวานนี้อยู่ข้างในนั้น… แต่เธอบอกว่าตัวลูกตาที่อยู่ข้างในมันเป็นลูกตาสีฟ้าที่ไม่ใช่อันเดียวกับลูกตาที่หายไปน่ะสิ…”

 

“หือ? นายกำลังจะบอกว่าลูกตาที่อยู่ข้างในขวดโหลนั่นมันอาจจะเป็นของคนที่ชื่อว่าเวก้าที่พวกนายคิดจะตามหาตัวกันอยู่นี่หรือไงกันน่ะนากา เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะจริงมั้ย”

 

“นั่นสิครับ ลูกตาของคุณเวก้าเขาจะไปอยู่ในขวดโหลในห้องใต้ดินได้ยังไงกันล่ะครับ แล้วไหนยังจะมีเรื่องที่ว่าขวดโหลของคุณเอริกะไปอยู่ข้างในนั้นได้ยังไงอีก…”

 

“เอ่อ… มันก็…”

 

“หืม…”

 

ถึงแม้ว่าในตอนแรกคอนแนลและโมโกะที่ได้ยินคำพูดของนากาจะไม่ได้คิดอะไรเป็นจริงเป็นจังเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้เห็นท่าทีอึกอักของนากาแล้วพวกเขาก็หันไปมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจก่อนจะพร้อมใจกันพูดคาดคั้นนากาออกมา

 

“นี่อย่าบอกนะครับว่ามันมีเรื่องอะไรที่คุณเอริกะไม่ได้บอกผมอยู่อีกด้วยน่ะ…”

 

“นั่นสิ ถ้ามีอะไรจริงๆ ล่ะก็นายรีบพูดออกมาดีกว่า ถ้าเกิดว่ามีข้อมูลไม่เยอะพอฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะช่วยพวกนายตามหาเวก้าเขายังไงดีน่ะ”

 

“เฮ้อ.. ก็ได้ๆ นายจำเรื่องเมื่อวานนี้ที่ว่ามีคนแอบเข้ามาขโมยของข้างในบ้านของเอริกะได้หรือเปล่าล่ะคอนแนล ฉันเห็นเอริกะเขาพูดเหมือนกับว่ามันคงจะเป็นฝีมือของเวก้าเขาแน่ๆ แล้วน่ะสิ…”

 

“—!?”

 

“แล้วก็อีกอย่างนึง เอริกะเขาก็ไปเจอเอกสารเกี่ยวกับการทดลองปลูกถ่ายอวัยวะอยู่ข้างในออฟฟิศของเวก้าเขาด้วย… มันเป็นการทดลองเกี่ยวกับการต่อแขนต่อขาให้คนอื่นหรือไม่ก็เปลี่ยนอวัยวะภายในหรือไม่ก็เปลี่ยนลูกตาอะไรจำพวกนั้นน่ะ… ส่วนห้องลับใต้ดินที่ฉันพูดถึงนั่นมันก็น่าจะเป็นห้องสำหรับทดลองเรื่องที่ว่านั่นแหล่ะ…”

 

คำตอบของนากานั้นได้ทำให้คอนแนลนิ่งค้างไปสักพักใหญ่ๆ เหมือนกับไม่เชื่อหูของตัวเองก่อนที่เขาจะพูดเถียงกลับมาพร้อมกับพยายามพูดหาแนวร่วมไปด้วย

 

“อ–อย่าบอกนะว่าเป็นการทดลองในข่าวลือนั่นน่ะ… ต—แต่ว่าคุณเวก้าเขาเป็นหนึ่งในขุนนางที่มีประวัติขาวสะอาดที่สุดแล้วนะครับ!! เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้หรอกนะครับ จริงมั้ยล่ะครับคุณโมโกะ!”

 

“ฉันจะไปรู้หรอยะ ฉันเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อคุณเวก้าอะไรของนายนั่นเมื่อกี้นี้เองนะ”

 

คำตอบของโมโกะที่คอนแนลพยายามดึงตัวมาเป็นแนวร่วมนั้นได้ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางด้านพรีมูล่าต่อ แต่ว่าเมื่อเขาได้เห็นพรีมูล่ากำลังนั่งทำตาใสแป๋วเหมือนกับไม่ได้รับรู้เรื่องที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่เลยแม้แต่น้อยแล้วเขาก็ได้ละสายตาออกมาจากเธอและพยายามหาข้อแก้ตัววิธีอื่นให้กับเจ้านายของเขาแทน ซึ่งการกระทำของคอนแนลนั้นก็ได้ทำให้พรีมูล่าร้องโวยวายออกมาในทันที

 

“หันมามองหนูแล้วเมินหนีไปแบบนั้นหมายความว่ายังไงกันหะ!?”

 

“เอาน่าคอนแนล เอริกะเขาก็ไม่ได้พูดยืนยันออกมาตรงๆ แบบนั้นหรอก… แต่ถึงยังไงฉันก็คิดว่าถ้าเกิดมันเป็นลูกตาของใครก็ไม่รู้เอริกะเขาก็คงจะไม่เก็บมันกลับมาด้วยหรอกมั้งนะ…”

 

“เข้าใจแล้วครับ… ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราไปตามหาตัวคุณเวก้าให้เจอแล้วก็ถามเขาตรงๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ เพราะว่าผมเองก็ยังเพิ่งเริ่มทำงานให้กับคุณเวก้าได้ไม่นานเพราะงั้นคงจะยืนยันให้เขาได้ไม่เต็มปากเหมือนกัน…”

 

“อย่าเมินหนูแบบนี้นะ—อุ๊บ!”

 

ในขณะที่ทางด้านเด็กหนุ่มทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องเคร่งเครียดกันอยู่นั้น ทางด้านพรีมูล่าที่พบว่าไม่มีใครสนใจเธอเลยก็ได้ร้องโวยวายออกมาเสียงดังก่อนที่เธอจะถูกโมโกะยื่นมือมาอุดปากเอาไว้พร้อมกับพูดถามคอนแนลขึ้นมาด้วย

 

“ว่าแต่ที่นายพูดว่าการทดลองในข่าวลือเมื่อกี้นี้นี่หมายถึงข่าวลืออะไรน่ะคอนแนล?”

 

“ก็… ที่ผ่านมามันมีข่าวลือมาเป็นสิบปีแล้วล่ะครับว่าทางวังหลวงมักจะมีการเปิดรับอาสาสมัครไปเข้ารับการทดลองอะไรบางอย่างเพื่อให้พวกคนที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้… อย่างผมเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วเหมือนกัน แต่ว่ามันก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันจนทุกคนคิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือที่เล่ากันสนุกๆ หรือเอาไว้ขู่พวกเด็กๆ กันน่ะครับ…”

 

“หือ?”

 

คำพูดอธิบายของคอนแนลได้ทำให้นากาเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับนึกย้อนไปถึงเอกสารในแฟ้มที่เอริกะเอามาให้เขาอ่านดู และพบว่าตัวเอกสารเหล่านั้นมีบางอันถูกลงวันที่เอาไว้เป็นวันที่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วอยู่ด้วยจนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขึ้นมา

 

“ถ้าฉันจำไม่ผิดนี่เอกสารของพวกคนที่เข้ารับการทดลองบางคนเองก็มีบางอันที่เก่าเป็นสิบยี่สิบปีอยู่เหมือนกันนะ… ดูท่าทางว่าข่าวลือของนายน่าจะเป็นเรื่องจริงซะแล้วล่ะมั้งคอนแนล”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้ไหล่ของคอนแนลลู่ลงด้วยความหม่นหมอง เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าคุณเวก้าที่เขาเคารพนับถือจะเป็นต้นตอของข่าวลือที่ฟังดูน่ากลัวแบบนั้น ซึ่งท่าทางของคอนแนลที่ดูราวกับลูกสุนัขนั้นก็ได้ทำให้โมโกะต้องรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

 

“ว่าแต่พวกนายรู้อะไรเกี่ยวกับเวก้าเขาบ้างล่ะ อย่างวิธีการแต่งตัวที่เขาชอบหรือว่าวิซธาตุที่เขาใช้หรืออะไรแบบนั้นน่ะ จะเอาอะไรก็ได้ขอแค่ให้มันเป็นเบาะแสที่น่าจะมีประโยชน์กว่าผมสีน้ำตาลนั่นก็แล้วกัน”

 

“เท่าที่ฉันรู้ก็มีแค่เรื่องที่ว่าเขาเป็นขุนนางยศบารอนแล้วก็ผมสีน้ำตาลล่ะมั้ง ทางด้านนายรู้อะไรบ้างล่ะคอนแนล?”

 

“เอ่อ… ผมเองก็รู้แค่นั้นเหมือนกันแหล่ะครับ เพราะว่าผมเองก็ไม่ค่อยจะได้เข้าไปเจอคุณเวก้าเขาข้างในคฤหาสน์สักเท่าไหร่ แล้วส่วนมากคุณเวก้าเขาก็มักจะมีอัศวินรุ่นพี่หรือไม่ก็สาวใช้สักคนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้จนไม่ต้องใช้วิซด้วยตัวเองเลยน่ะครับ เพราะงั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกับว่าคุณเวก้าเขามีวิซธาตุอะไรกันแน่… ว่าแต่เรื่องวิซของคุณเวก้าเขามันมีประโยชน์อะไรกับการตามหาตัวด้วยหรอครับนั่น?”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นก็แปลว่าแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลยงั้นสินะ แล้วเรื่องเด็กทารกที่พวกนายบอกว่าหายไปจากห้องนั่นล่ะ นายเวก้าเขาเป็นคนพาตัวหนีออกมาแน่หรือเปล่า?”

 

ถึงแม้ว่าโมโกะจะได้ยินคอนแนลพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็กลับทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเขาก่อนจะพูดถามคำถามอื่นขึ้นมาแทน ซึ่งคำถามในคราวนี้ของเธอก็ได้ทำให้นากาพูดตอบกลับไปแบบไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่นัก

 

“ก็น่าจะเป็นเวก้าเขาแหล่ะมั้งที่พาเด็กคนนั้นหนีออกมาน่ะ เพราะว่าห้องเลี้ยงเด็กที่พวกฉันไปเจอมามันถูกซ่อนเอาไว้ในห้องนอนของเวก้าเขาอีกทีนึงน่ะ”

 

“แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีคนอื่นพาหนีออกมาเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ เอาเถอะ ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราก็ลองกระจายกันออกไปตามหาดูก่อนก็แล้วกัน”

 

โมโกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับหยิบเอาตลับกระสุนที่เธอวางกองทิ้งเอาไว้บนโต๊ะมาเหน็บเอาไว้กับขอบกระโปรงของตัวเองพร้อมกับพูดเตือนออกมาไปด้วย

 

“ถ้าเอาตามที่ฉันเข้าใจนี่ก็คือว่านายเวก้าเขาเป็นหัวหน้าหน่วยทดลองการเปลี่ยนอวัยวะอะไรสักอย่างนั่นที่หลอกคนมาทดลองตั้งแต่สมัยก่อนแล้วงั้นสินะ ถ้างั้นก็น่าจะมีความเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งก็คือเมื่อคืนนี้มีคนบุกเข้าไปแก้แค้นจนทำให้เขาต้องรีบหอบลูกตัวเองหนีออกมา หรือทางที่สองที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากกว่าก็คือ เขามั่นใจกับงานวิจัยของตัวเองมากก็เลยเริ่มต้นทำการทดลองกับตัวเอง แต่ว่าเกิดความผิดพลาดจนคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็เลยไล่ฆ่าคนแบบไม่เลือกก่อนจะหายตัวไป… ส่วนลูกของเขาก็อาจจะได้คนอื่นแอบพาหนีออกไปได้ทันล่ะมั้ง”

 

“คุณเวก้าเขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอนครับ ผมขอยืนยันเลย!”

 

“ฉันก็แค่คาดการณ์จากข้อมูลที่มีเองน่า แต่ว่าถ้าเป็นอย่างที่หนึ่งแบบที่นายอยากจะให้เป็น ก็แปลว่าคนร้ายอาจจะยังคงพยายามตามล่าตัวเขาอยู่ก็ได้ เพราะงั้นฉันคิดว่าพวกเราพกอาวุธไปกันด้วยน่าจะดีกว่านะ”

 

“พวกเรางั้นหรอ? นี่เธอคิดจะไปช่วยพวกฉันตามหาตัวเวก้าเขาข้างในเมืองด้วยจริงๆ หรอน่ะโมโกะ เธอเพิ่งจะหายดีเองไม่ใช่หรือไงน่ะ?”

 

คำพูดและท่าทางของโมโกะได้ทำให้นากาต้องพูดถามเธอขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แต่ว่าก่อนที่โมโกะจะได้พูดตอบเขากลับมา พรีมูล่าที่นั่งว่างงานอยู่ก็ได้พูดโพล่งทะลุกลางปล้องขึ้นมาแบบไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย

 

“อ๋อ~ ก็โมโกะจังเกลียดการเป็นตัวแถมที่สุดเลยนี่เนอะ นี่คงจะอยากสร้างผลงานให้พี่เอริกะเขาเห็นบ้างล่ะสิใช่ม้า~~”

 

“ไม่ใช่ย่ะ!!”

 

“แอ๊ก—!!”

 

คำพูดแทงใจของพรีมูล่าได้ทำให้โมโกะหลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังและสับสันมือลงใส่กลางหัวของพรีมูล่าอย่างรุนแรงก่อนที่เธอจะหันไปพูดอธิบายให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังเลิกคิ้วจ้องมองเธออยู่

 

“ก–ก็เรื่องตามหาคนหายเนี่ยยิ่งมีคนเยอะมันก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไง แล้วเมื่อวานนี้ฉันก็โดนอารอนสั่งให้นอนเฉยๆ มาทั้งวันแล้วนะ วันนี้จะขอออกแรงสักหน่อยไม่ได้หรือไง!?”

 

“เฮ้อ… เอาเถอะ ถ้าเธอพูดอย่างงี้ยังไงก็คงจะขอออกไปตามหาด้วยให้ได้อยู่แล้วล่ะสินะ”

 

“ขอบคุณมากนะครับคุณโมโกะ”

 

“นายอย่ามาเรียกฉันนำหน้าว่าคุณนะ ฟังดูน่าขนลุกจะตายไป นายเรียกนากาว่านากาเฉยๆ ได้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงเรียกฉันนำหน้าด้วยคำว่าคุณกันล่ะหะ!?”

 

“ข–ขอโทษครับ”

 

คอนแนลที่ลืมนึกถึงคำเตือนของนากาและเผลอเรียกโมโกะนำหน้าด้วยคำสุภาพแบบที่เขาทำเป็นประจำไปได้แต่ต้องรีบพูดขอโทษเด็กสาวหูแมวขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองประตูห้องออฟฟิศของเอริกะจะถูกกระแทกจนเปิดออกอย่างแรงจนทำให้ทุกคนสะดุ้งไป

 

ปั้ง!!

 

“—!?”

 

“เสร็จแล้ววววว~~ อ๊ะ นากาคุงมานี่หน่อยสิ”

 

ผู้ที่ใช้ฝ่าเท้าเตะประตูจนเปิดออกนั้นก็คือตัวเอริกะผู้ที่เป็นเจ้าของห้องที่หอบแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขนนั่นเอง ซึ่งเมื่อเอริกะได้หันไปเห็นนากาแล้วเธอก็ได้ร้องเรียกเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปหาจนทำให้นากาต้องรีบเดินเข้าไปสอบถามในทันที

 

“อ–อ่า มีอะไรหรอ?”

 

“เอ้านี่ ฉันได้ยินพวกเธอคุยกันเหมือนกับว่าจะพากันออกไปตามหาคุณเวก้าเขาสิงั้น ถ้างั้นก็เอาเจ้านี่แบ่งให้คนอื่นๆ ใส่กันสิ อ่ะ แต่ว่าเจ้าเครื่องพวกนี้มันจะติดต่อหากันเองได้เท่านั้นนะ มีแค่อันที่เธอใส่เอาไว้อยู่แล้วที่จะติดต่อมาหาฉันได้น่ะ”

 

เอริกะได้หยิบเอาอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กจำนวนหนึ่งออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอและยื่นมันให้กับนากาพร้อมกับพูดอธิบายเล็กๆ น้อยๆ ออกมาแล้วจึงเดินตรงไปยังทางประตูบ้านอย่างรวดเร็ว

 

“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันขอไปแจ้งเรื่องของคุณเวก้าเขาให้ทางวังก่อนก็แล้วกันนะ ส่วนพวกเธอก็เริ่มทำตามแผนการของตัวเองกันได้เลย~ อ๋อใช่ แล้วก็ถ้าเจอตัวเขาแล้วก็ให้รีบติดต่อมาหาฉันเลยนะ เพราะว่ามันมีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าคุณเวก้าเขาอาจจะทำการทดลองสำเร็จแล้วแต่ดันคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะควบคุมเจ้าลูกตานั่นไม่ได้เหมือนกันน่ะ เอาล่ะ แล้วเจอกันนะ~”

 

“ห–หะ? คลั่ง? เธอหมายถึง— ไปซะแล้วแหะ…”

 

ทันทีที่เอริกะพูดทิ้งท้ายเอาไว้จบแล้วเธอก็ได้เปิดประตูบ้านออกและเดินออกไปในทันทีโดยไม่ปล่อยให้นากาได้มีโอกาสพูดถามอะไรกลับไป

 

และนั่นก็ทำให้นากาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมเดินกลับไปหาเพื่อนๆ ของเขาเพื่อแจกจ่ายอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กและสอนวิธีการใช้งานมันให้กับทุกคน โดยที่เขาได้หยิบเอาเครื่องสื่อสารอันที่หน้าตาแปลกกว่าชาวบ้านอันหนึ่งที่น่าจะเป็นของโมโกะที่เป็นคนเดียวที่มีหูแมวออกมายื่นให้กับเธอโดยเฉพาะ

 

“อ่ะ เอาเจ้านี่ไปใส่ไว้ในหูกันคนละอันก็แล้วกัน ส่วนของเธออันนี้นะโมโกะ… มันเป็นเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กหรืออะไรสักอย่างนึงของเอริกะนี่แหล่ะ มันจะช่วยให้คนที่ใส่พูดคุยกันในระยะไกลได้ วิธีใช้งานก็แค่จิ้มไปที่มันสักทีนึงให้มันส่งเสียงออกมาก่อนแล้วค่อยเริ่มพูดน่ะ”

 

“เห… ฟังดูสะดวกดีจังเลยนะนั่น… นี่พวกคนในเมืองเขามีของเล่นดีๆ แบบนี้กันทุกคนเลยหรือเปล่าน่ะ อย่างตะเกียงวิซ—… หรืออะไรสักอย่างที่เป็นแท่งส่องแสงข้างบนเพดานนั่นก็สว่างซะจนตะเกียงทั่วๆ ไปดูเหมือนหิ่งห้อยไปเลยนะนั่น แล้วไหนจะยังมีตู้แช่เย็นที่ไม่ต้องใช้น้ำแข็งนั่นกับอุปกรณ์ทำครัวประหลาดๆ เต็มห้องครัวนั่นอีก เฮ้อ…”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดอธิบายของนากาได้พูดบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะอิจฉาอยู่หน่อยๆ เพราะว่าที่หมู่บ้านของพวกเธอไม่มีสิ่งของอำนวยความสะดวกอะไรแบบนี้เลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งคำพูดของโมโกะนั้นก็ได้ทำให้คอนแนลต้องรีบพูดอธิบายออกมาให้เธอฟังก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

 

“เอาจริงๆ แล้วของแปลกๆ พวกนี้มันก็มีอยู่แค่ในบ้านของคุณเอริกะเท่านั้นแหล่ะครับ เพราะว่าขนาดตอนที่ผมเข้าไปรายงานตัวในวังหลวง ผมเองก็ยังไม่เห็นว่าที่นั่นจะมีของอะไรจำพวกนี้เลย… จะว่าไปแล้วนี่ถ้าเกิดว่าพวกเราออกไปกันหมดแบบนี้แล้วใครจะอยู่ดูแลคุณอลิซล่ะครับ?”

 

“ปล่อยเอาไว้แบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง ตอนที่ฉันลงมาฉันยังเห็นอลิซเขานอนหลับปุ๋ยอยู่เลย แถมรอบนี้พวกเราก็แค่จะออกไปตามหาคนเฉยๆ เองนี่ เพราะงั้นคงจะไม่มีเรื่องอะไรให้อลิซเขาต้องออกโรงหรอก”

 

โมโกะพูดตอบคำถามของคอนแนลกลับไป ในขณะที่ทางด้านนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“แต่ถ้ายังไงจะแบ่งคนมาเฝ้าเผื่อเอาไว้ก่อนจะไม่ดีกว่าหรอ?”

 

“ก็ได้นะ แต่ว่าอย่างยัยพรีมูล่าจะเฝ้าไข้ใครเป็นด้วยหรือไงน่ะ?”

 

“เอ๋!? ไหงเป็นหนูอ่ะ!?”

 

“…….”

 

คำพูดของโมโกะได้ทำให้นากาเลิกคิ้วจ้องมองดูเพื่อนสาวหูแมวของเขาอยู่อย่างเงียบๆ สักพักหนึ่ง เพราะดูท่าทางแล้วว่าโมโกะที่เพิ่งจะหายป่วยจะไม่มีความคิดที่จะยอมอยู่บ้านเฝ้าไข้อลิซเฉยๆ อย่างแน่นอน

 

ซึ่งเมื่อนากาได้ลองคิดดูแล้วเขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่นัก เพราะถึงแม้ว่าโมโกะจะเป็นเพื่อนสนิทกับเขาและพรีมูล่าก็ตาม แต่ว่าจริงๆ แล้วเธอก็ยังมีปมในใจที่พยายามแอบซ่อนเอาไว้จากพวกเขาอยู่อย่างการคิดว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนอื่นจนอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถตลอดเวลา

 

ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่นักเมื่อคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาๆ ที่เติบโตมากับคนอีกสองคนที่คนหนึ่งก็มีวิซธาตุหายากอย่างธาตุน้ำแข็งแถมยังมีความสามารถในการควบคุมมันได้อย่างเก่งกาจราวกับอัฉริยะอย่างพรีมูล่า ในขณะที่คนอีกคนหนึ่งก็มีพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดอย่างนากา

 

และสาเหตุที่ทำให้โมโกะดูดื้อดึงดันขนาดนี้นั้นก็คงจะเป็นเพราะว่าเธอคงจะได้ยินมาจากอลิซว่าเอริกะรู้สึกสนใจในความสามารถของเขาขึ้นมาเลยตกลงยอมรับพวกเขาไปดูแล เธอจึงได้อยากที่จะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาบ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเพื่อนๆ ของเธอ และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้แต่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาและยกมือขึ้นไปลูบหัวของเธอเบาๆ พร้อมกับพูดถามแผนการจากเธอขึ้นมา

 

“เอาเถอะๆ แล้วคนที่เก่งเรื่องการตามหาคนหายอย่างเธอคิดว่าพวกเราควรจะกระจายตัวกันไปตามหาเวก้าเขายังไงดีล่ะ?”

 

“ถ้าตามปกติแล้วมันก็ควรจะกระจายตัวกันออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุดล่ะนะ แต่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย เพราะงั้นนายกับพรีมูล่าที่ชอบหลงทางจับกลุ่มไปด้วยกันน่าจะดีกว่า แล้วเดี๋ยวฉันกับคอนแนลจะแยกกันไปหาที่ทิศอื่นให้เอง”

 

“เอ๋ะ แต่เธอเพิ่งจะหายป่วยแบบนี้ฉันว่าเธอจับกลุ่มไปกับฉันหรือไม่ก็คอนแนลจะไม่ดีกว่าหรอ”

 

“แต่ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะแยกกันไปค้นหาได้แค่สองทิศเองนะ เพราะงั้นกระจายกันไปสามกลุ่มแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ ยกเว้นแต่ว่านายจะยอมให้พรีมูล่าไปกับฉันที่เพิ่งจะหายป่วยในเมืองที่ไม่รู้จักแบบนี้แล้วก็แยกไปค้นหาคนเดียวน่ะ”

 

“เฮ้อ… เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันคุมพรีมูล่าเองก็แล้วกัน ส่วนเรื่องการแบ่งกลุ่มก็เอาตามที่เธอบอกนั่นแหล่ะ เธอพร้อมมั้ยพรีมูล่า?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของโมโกะได้เหลือบไปมองพรีมูล่าที่นั่งตาแป๋วอยู่ชั่วขณะแล้วจึงพยักหน้าพูดตอบเธอกลับไปด้วยความจนใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าที่ทราบเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเธอจะต้องออกไปทำงานไม่ใช่เที่ยวเล่นล้มตัวลงไปนอนกับโซฟาและส่งเสียงด้วยความไม่พอใจออกมา

 

“บู่ววววว”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นเดี๋ยวพอเสร็จเรื่องแล้วพี่จะพาเธอไปหาซื้อขนมอะไรก็ได้ในเมืองอย่างนึงก็แล้วกัน ตกลงมั้ย?”

 

“เอ๋!? อะไรก็ได้เลยหรอ!? ถ้างั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะพี่นากา!!”

 

พรีมูล่าที่ถูกล่อซื้อด้วยขนมนั้นได้ทำตาเป็นประกายพร้อมกับคว้าปืนยาวของเธอขึ้นมาถือเอาไว้และพุ่งตรงไปรออยู่ที่หน้าประตูบ้านในทันทีจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาโดยมีโมโกะกุมขมับพูดบ่นขึ้นมาเสียงอ่อนๆ

 

“เอาของกินมาล่อได้ผลทุกทีเลยสิน๊า…”

 

“ฮะฮะ ดูแล้วรับมือง่ายดีนะครับเนี่ย พรีมูล่าน่ะ”

 

“เฮ้อ…ง่ายเกินไปจนน่าเป็นห่วงเลยหล่ะ…”

 

คำพูดของคอนแนลนั้นได้ทำให้นากาต้องถอนหายใจออกมา ในขณะที่ทางด้านโมโกะนั้นก็ได้ดึงตลับกระสุนที่ถูกเสียบเอาไว้กับตัวปืนกลเบาของเธอออกมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดสั่งงานคนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันด้วย

 

“เอาล่ะ ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกนายก็ไปเตรียมอุปกรณ์กันให้พร้อมแล้วไปเจอกันที่หน้าบ้านละกัน”

 

“อื้ม!! / ครับ! / โอ้~!!”

 

ทั้งสามขานตอบโมโกะพร้อมกับแยกย้ายกันไปหยิบอุปกรณ์ของตน ก่อนจะพากันเดินไปรวมตัวกันที่หน้าบ้านของเอริกะกัน

 

โดยที่คอนแนลนั้นมีดาบและโล่อัศวินประจำตัว ในขณะที่พรีมูล่าก็มีปืนยาวกระบอกเดิมของเธอกับด้ามมีดน้ำแข็งพลังวิซที่ได้รับมาเป็นของขวัญจากคุณแม่ของเธอ ส่วนทางนากาเองก็มีดาบเปื้อนเลือดของเขาและถุงมือหนังติดคริสตัลวิซที่ได้รับมาทางจดหมายพร้อมๆ กับด้ามมีดของพรีมูล่า

 

และเมื่อทุกคนเตรียมตัวกันจนเสร็จเรียบร้อยและมารวมตัวกันที่หน้าประตูบ้านแล้ว โมโกะก็ได้พูดอาสาขึ้นมาเป็นคนแรกก่อนจะออกวิ่งไปในทันที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปดูทางทิศเหนือให้เอง ส่วนพวกนายก็ตกลงกันเองก็แล้วกัน แล้วก็ถ้าเจอตัวเขาแล้วพวกนายก็ระวังตัวกันหน่อยละกัน…”

 

“อ่า ถ้ายังไงก็ระวังอย่าให้หลงทางก็แล้วกันนะโมโกะ! แล้วก็ถ้าเจอเวก้าเขาแล้วก็ให้ติดต่อมาบอกพวกฉันก่อนด้วยล่ะ เห็นเมื่อกี้นี้เอริกะเขาบอกว่าเวก้าเขาอาจจะกำลังคลั่งอยู่ก็ได้อะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ”

 

“รู้แล้วล่ะน่า นายเป็นห่วงตัวเองไปเถอะ!”

 

โมโกะร้องตะโกนตอบนากากลับมาก่อนที่เธอจะเลี้ยวหายไปทางมุมถนนทิศเหนือ ส่วนทางด้านคอนแนลที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเองก็ได้พูดวางแผนออกมาให้นากาและพรีมูล่าอย่างเสร็จสรรพ

 

“เห็นเมื่อวานนี้นากาบอกเอาไว้ว่าเข้าเมืองมาทางประตูเมืองทิศตะวันตกสินะครับ ถ้างั้นเดี๋ยวนากากับพรีมูล่าไปค้นหาทางทิศตะวันตกน่าจะดีกว่า เผื่อว่าหลงทางขึ้นมาก็อาจจะได้เห็นอะไรที่มันคุ้นตาบ้าง ส่วนทางฝั่งตะวันออกเดี๋ยวผมไปค้นหาให้เอง”

 

“อ้าว แล้วแบบนี้ทางทิศใต้จะเอายังไงล่ะ?”

 

“ทางด้านนั้นคงจะต้องปล่อยไปนั่นแหล่ะครับ เพราะถ้าจะให้พรีมูล่าแยกออกไปคนเดียวมันก็ดูน่าเป็นห่วงไปหน่อย… แล้วอีกอย่างนึงทางทิศใต้ส่วนมากมันจะเป็นโรงตีเหล็กหรืออะไรจำพวกนั้นที่คุณเวก้าเขาไม่น่าจะมีคนรู้จักให้ไปขอความช่วยเหลือได้หรอกล่ะมั้งครับ”

 

“อ่า ถ้างั้นพวกฉันไปกันก่อนเลยละกันนะ พรีมูล่าเธอยังจำหน้าของเวก้าเขาได้หรือเปล่าน่ะ ผู้ชายผมสีน้ำตาลที่พวกเราเจอที่หน้าบ้านเมื่อวานนี้น่ะ”

 

“ค่า~ ยังจำได้อยู่ค่า~ หนูไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้นสักหน่อย~”

 

หลังจากที่นากาได้ยินคำพูดของคอนแนลแล้วเขาก็เดินนำพรีมูล่าตรงไปตามถนนก่อนจะเลี้ยวเข้าประตูกั้นเขตเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลโดยมีเสียงพูดบ่นของพรีมูล่าดังแว่วๆ ลอยมาตามลมจนทำให้คอนแนลหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วจึงเดินตรงไปทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองบ้าง โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงเงาของเด็กสาวหูแมวที่ยังคงแอบซุ่มอยู่ไม่ไกลโดยไม่ได้มุ่งตรงไปทางทิศเหนือแบบที่เธอพูดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

 

 

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

 

หลังจากที่ทุกคนแยกตัวกันออกไปค้นหาเวก้าและเด็กทารกที่น่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชายของเขาจนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ที่ถนนหน้าบ้านของเอริกะก็ได้ปรากฏร่างในชุดเสื้อคลุมกันฝนปิดหน้าปิดตากำลังรีบร้อนวิ่งตรงไปตามถนนก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านของเอริกะด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน

 

ซึ่งร่างในชุดผ้าคลุมนั้นก็ได้หยุดยืนหอบหายใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยื่นมือตรงไปผลักประตูรั้วบ้านของเอริกะให้เปิดออกเพื่อหวังที่จะย่างกรายเข้าไปภายใน

 

แกร๊ก—

 

แต่ทว่าตัวประตูรั้วที่ควรจะพังอยู่จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็กลับไม่ได้ถูกเปิดออกอย่างง่ายดายตามที่เขาคาดเดาเอาไว้ จนทำให้ร่างในชุดคลุมต้องก้มลงไปสำรวจดูที่ตัวกลอนประตูด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อได้พบว่ามันถูกซ่อมจนกลับมาใช้งานได้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

 

“ซ่อมได้ไวขนาดนี้ก็สมกับที่เป็นคุณเอริกะดีล่ะนะ…”

 

หลังจากที่ร่างในชุดคลุมกันฝนพูดบ่นออกมาเสร็จแล้วเขาก็ได้เดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปทางกระดิ่งที่ติดอยู่กับตัวประตูรั้วแทน

 

“……..”

 

แต่ว่าก่อนที่นิ้วของเขาจะได้กดลงไปที่ตัวกระดิ่งนั้นเอง มือของเขาก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันซ้ายหันขวามองไปตามรั้วบ้านของเอริกะราวกับว่าเขากำลังคิดหาทางเข้าไปภายในด้วยวิธีอื่นอยู่

 

“ลืมของอะไรเอาไว้ที่นี่ก็เลยต้องรีบร้อนกลับมาหางั้นหรอคะ… หรือว่าคราวนี้คุณจะใช้ข้ออ้างว่าคุณมีธุระจะต้องมาปรึกษากับเอริกะเขาอีกแล้วน่ะ?”

 

“—!?”

 

ทันใดนั้นเองร่างในชุดผ้าคลุมก็ต้องชะงักไปเมื่ออยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางเบื้องหลัง และเมื่อเขาได้หันกลับไปมองทางต้นเสียงแล้วเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวหูแมวผมสีน้ำตาลในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ ที่กำลังเล็งอาวุธปืนหน้าตาประหลาดๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตรงมาทางเขาอยู่

 

“ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้คุณก็เพิ่งจะมาที่นี่ไปตั้งสองรอบไม่ใช่หรอคะ พอจะบอกสักหน่อยได้หรือเปล่าว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คุณถึงได้ต้องมาหาเอริกะเขาบ่อยขนาดนี้น่ะ… มันเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของคุณเมื่อคืนนี้ หรือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทดลองลับๆ ในห้องใต้ดินของคุณหรือเปล่าเอ่ย…?”

 

“ชิ… เรื่องรั่วไปแล้วงั้นหรอ…”

 

ร่างในชุดผ้าคลุม หรือก็คือขุนนางหนุ่ม เวก้า รีวิซ ที่พวกนากาและคอนแนลกำลังวิ่งวุ่นตามหาตัวอยู่นั้นได้เดาะลิ้นเบาๆ เมื่อเขาได้ยินเด็กสาวเบื้องหน้าพูดเหมือนกับรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่คฤหาสน์ของเขาแล้วพร้อมกับยกมือขึ้นไปดึงเอาผ้าคลุมหัวที่บดบังมุมมองของเขาไปกว่าครึ่งออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีฟ้า และผ้าพันแผลโชกเลือดที่คาดปิดดวงตาข้างซ้ายของเขาเอาไว้

 

“อ้าว… ถูกตัวจริงๆ ด้วยหรอคะเนี่ย… ว่าไงคะ คุณขุนนางยศบารอน เวก้า รีวิซ…”