บทที่ 14 เสนาบดีทั้งสอง

ถังหลี่พาขอทานน้อยกลับบ้าน ไม่เพียงแต่เจ้าก้อนแป้งทั้งสามเท่านั้นที่รออยู่ตรงประตู แม้กระทั่งเว่ยฉิงที่อยู่ในห้องนอนก็มองออกไปที่หน้าต่าง เมื่อเห็นนางกลับมา ความกังวลในแววตาของชายหนุ่มจึงได้จางหายไป

เด็กทั้งสามดูจะอยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นเด็กชายแปลกหน้ากลับมาพร้อมมารดา รูปลักษณ์ภายนอกที่สกปรกของเขา ทำให้ยาจกน้อยรู้สึกด้อยกว่า เด็กชายถอยห่างจากถังหลี่ แต่เป็นต้าเป่าที่เอื้อมมือออกมาและจับมือเด็กชายไว้

“ข้าจะพาเจ้าไปล้างมือ มากับข้าเถิด” บนเตามีซาลาเปาที่นึ่งไว้จนสุกแล้ว น่าจะเป็นต้าเป่าที่ปีนม้านั่งไปนึ่งมัน ถังหลี่นั่งลงที่โต๊ะอาหารกับเด็กน้อยทั้งสี่คน แต่ถึงแม้ว่าขอทานน้อยจะมือสะอาดแล้วแต่เขาก็กระดากอายเกินกว่าที่จะเอื้อมมือไปหยิบซาลาเปาตรงหน้า

“กินซะ” ต้าเป่าหยิบซาลาเปาแล้วยื่นให้เด็กชาย

ขอทานน้อยยิ้มรับแล้วกัดมันเข้าปาก…

ไม่รู้ว่าซาลาเปามันอร่อยมากเกินไปหรือเพราะเขาไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เขาคิดว่าซาลาเปาลูกนี้เป็นอาหารที่โอชะที่สุดที่เคยได้กินมา!

หลังมื้อเย็น ถังหลี่พาเด็ก ๆ ไปอาบน้ำ ขอทานตัวน้อยสวมสิ่งที่เรียกไม่ได้ว่าเป็นเสื้อผ้า มันเป็นเพียงชุดผ้าดิบหยาบราวกับกระสอบที่มีรูพรุนไปทั่ว หญิงสาวนำชุดเก่าของต้าเป่ามาสวมใส่ให้เด็กชาย เจ้าขอทานตัวน้อยคนนี้ผอมแห้ง แต่แท้จริงแล้วมีใบหน้าและผิวพรรณดีมาก เพียงแต่มีแผลเป็นเยอะไปหน่อยเท่านั้น ขอทานน้อยเดินไปมารอบ ๆ บ้าน และหยุดอยู่ที่ห้องเก็บฟืน

“ข้านอนตรงนี้เองขอรับ” เขากลัวว่าตัวเองจะสร้างความลำบากให้กับผู้อื่นและที่กังวลที่สุดก็คือถังหลี่จะไม่ชอบเขา อันที่จริงแล้วมีแค่ที่บังลมและฝนก็ดีเกินพอสำหรับเขาแล้ว

“ห้องเก็บฟืนเย็นมาก อีกทั้งไม่มีผ้าห่มด้วย เอ้อร์เป่ากับซานเป่านอนด้วยกัน เจ้ามานอนกับข้าก็ได้” ต้าเป่าขมวดคิ้ว ขอทานน้อยกำลังจะแย้งแต่ต้าเป่าขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าเชื่อฟังข้าเถิด” จากนั้นเขาก็ดึงตัวเด็กชายเข้ามาในห้องนอนอย่างเอาแต่ใจ ห้องเด็ก ๆ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน มีเตียงนอนสองเตียง มีตู้เสื้อผ้าและเก้าอี้ ถังหลี่ห่มผ้าให้เด็ก ๆ ทั้งสี่คน และเจ้าเกี๊ยวน้อยทั้งสี่จะได้เข้านอน หัวเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาเหนือผ้าห่ม และดวงตาทั้งสี่คู่จ้องมองมาที่นาง ถังหลี่นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่ได้ถามชื่อจากเด็กชายเลย หญิงสาวมองไปที่ขอทานตัวน้อยแล้วพูดว่า

“เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

“ข้ามีชื่อว่า สวี่เจวี๋ย สวี่เจวี๋ยของคำว่าเจวี๋ย[1]” ชื่อที่สง่างามเช่นนี้ ดูเหมือนว่าครอบครัวของขอทานน้อยจะเป็นบัณฑิต

ไม่สิ…ทำไมชื่อฟังดูคุ้นๆ?

“สวี่เจวี๋ย!?”

คราวนี้ถังหลี่ตกใจมากจริง ๆ

สวี่เจวี๋ยจากเมืองฉินโจว!

ในนวนิยายต้นฉบับ สวี่เจวี๋ยเป็นบุคคลสำคัญ ทั้งเขาและต้าเป่าเข้ารับราชการในปีเดียวกัน ความสามารถของทั้งสองถือว่าไม่มีใครเทียบเทียมได้ และเป็นยุคแรกที่มีเสนาบดีถึงสองคนช่วยงานราชการแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในระบบการเมืองการปกครองของแคว้นนี้! อย่างไรก็ตามทั้งสองคนต่างมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันในเรื่องการเมืองทำให้ความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมากนัก ท้ายสุดแล้วต้าเป่ากลับกลายเป็นทรราชที่ถูกห้าม้าแยกร่างเป็นชิ้น ๆ และสวี่เจวี๋ยกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายยุคหลายสมัย

ถังหลี่มองไปที่หัวเล็ก ๆ สองหัวที่นอนเคียงกัน…

ใครจะคิดว่าศัตรูคู่อาฆาตทั้งสองคนที่จะฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่งในอนาคต บัดนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน !

ถังหลี่ออกจากห้องด้วยความตื่นตระหนก

แต่ถ้ามาคิดดูให้ดีแล้ว จอมวายร้ายอย่างเว่ยฉิงยังมานอนเตียงเดียวกับนางได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่เจวี๋ยและต้าเป่า คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

เว่ยฉิงหยิบถุงบางอย่างออกมาจากใต้เตียงและวางไว้บนมือของถังหลี่ หญิงสาวมองถุงเงินในมือ

“นี่เป็นเงินสามสิบตำลึง เจ้าเอาไปใช้เถิด” เว่ยฉิงกล่าว

“สามีข้า นี่ไม่ใช่เงินทั้งหมดที่เจ้าเก็บไว้หรือ? เจ้าไม่กลัวข้าหอบเงินหนีไปหรืออย่างไร”

“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะตามล่าเจ้าไปจนสุดหล้า!” เว่ยฉิงฉุนเฉียว

“โหดร้ายมาก” ถังหลี่กล่าวอย่างหวาดกลัว แต่ก็นำเงินซ่อนไว้

“เอาเงินไปใช้ก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะหาเงินอย่างไร”

เงินสามสิบตำลึงไม่ได้ถือว่าเยอะมากแต่อย่างใด ตอนนี้ที่ลำบากกว่าคือมีเงินแต่ไม่สามารถหาซื้ออาหารได้ หน้าหนาวนี้คงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเป็นแน่ ดวงตาของเว่ยฉิงจ้องมองไปที่หญิงสาวตัวเล็ก ๆ เพื่อให้แน่ใจว่านางนอนอยู่บนเตียงแล้ว ถังหลี่ห่มผ้าคลุมตัวเองเหลือเพียงหัวกลม ๆ ที่โผล่ออกมา หญิงสาวง่วงงุนและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

ภายใต้แสงจันทร์ที่อาบไล้ใบหน้าที่ขาวนวลของถังหลี่ ขับผิวกระจ่างใสชวนให้หญิงสาวดูบอบบางและอ่อนโยน ใครจะคิดว่านางจะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวเขาไปได้ ?

ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวผู้นี้ ครอบครัวของเว่ยฉิงอาจจะแตกแยกกระเส็นกระสายไปคนละทิศละทางแล้ว…

……

เช้าวันถัดมา

สวี่เจวี๋ยที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วนั่งอยู่ที่มุมห้อง มองดูถังหลี่แต่งตัวให้เด็ก ๆ ทั้งสามคนและพาพวกเขาล้างหน้าล้างตา เด็กน้อยรู้สึกอิจฉาพวกเขาจริง ๆ อิจฉาที่ทั้งสามคนมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ เขารู้ว่าเขาต้องจากไปแล้ว แต่เขายังลังเลไม่เต็มใจที่จะเดินออกไป..

ขอเวลาอีกสักหน่อยเถิดนะ..

สวี่เจวี๋ยฉวยอาหารเช้ากินอย่างหน้าไม่อาย เขารู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว เด็กชายเดินไปหาถังหลี่

“ข้าจะไปแล้วนะขอรับ ขอบคุณในความใจดีของท่านมาก หากมีโอกาสวันหน้าข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอนขอรับ!” สวี่เจวี๋ยโค้งคำนับถังหลี่ก่อนเลี้ยวออกไป

“สวี่เจวี๋ย!” ต้าเป่าเรียกเขาไว้ สวี่เจวี๋ยไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เขาเพียงแค่โบกมือแสร้งว่าเขาสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง

“เหล่าซือกำลังจะออกเดินทางไปทั่วหล้าแล้ว!”

ถังหลี่วิ่งเหยาะ ๆ ไปหาสวี่เจวี๋ยและเห็นว่าในดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา สวี่เจวี๋ยไม่ได้คาดคิดว่าถังหลี่จะเดินตามเขามาเช่นนี้ เด็กน้อยรีบเช็ดดวงตาของเขาทันที

“ฝุ่นเข้าตาน่ะขอรับ”

“ใช่ แค่ฝุ่นเข้าตาของเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่ได้ร้องไห้” ถังหลี่ยิ้ม

“สวี่เจวี๋ยน้อย เจ้าอยู่บ้านนี้กับข้าดีหรือไม่ ? ช่วยงานข้าบ้างเล็กน้อย และข้าจะทำอาหารให้เจ้ากิน”

ดวงตาของสวี่เจวี๋ยเบิกกว้าง

“แต่ข้ากินเก่งมากนะขอรับ! ข้ากินซาลาเปาถึงสามก้อนในมื้อเดียว!”

“ไม่ต้องห่วง ข้าเลี้ยงเจ้าไหว!” สวี่เจวี๋ยอดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เขาโถมตัวเข้ากอดต้นขาของถังหลี่และเริ่มร้องไห้ ตั้งแต่ที่บิดาเสียไป นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาร่ำไห้ ต่อให้ยากลำบากเพียงใดลูกผู้ชายต้องไม่เสียน้ำตา!

เพราะบิดาบอกเอาไว้ พ่ออยากให้เขาเป็นลูกผู้ชาย!

แต่ในช่วงเวลานี้ที่แสนจะเปราะบางนี้ …ความอบอุ่นของถังหลี่ที่ได้เผื่อแผ่มาให้เขา ทำให้เด็กน้อยไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวลูบศีรษะของเขาเบา ๆ นางรู้ดีว่าการเลี้ยงลูกเพิ่มอีกหนึ่งคนในยามสงครามแบบนี้นั้นยากลำบากเพียงใด

อย่างไรก็ตามเมื่อคืนถังหลี่ฝันประหลาดอีกครั้ง ในความฝันสวี่เจวี๋ยกลับไปที่เมือง ชายสองคนที่ตามรอยสวี่เจวี๋ยมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าเด็กชายอยู่คนเดียว พวกเขาพากันเข้ามัดจับตัวสวี่เจวี๋ย แม้จะดิ้นรนขัดขืนอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ ชายโฉดทั้งสองทุบตีเขาอย่างแรง หักแขนหักขา ควักเอาดวงตาของเขาออกไป โยนร่างที่บอบช้ำสะบักสะบอมเข้าไปในกองขยะ

ในฉากสุดท้ายของความฝันสวี่เจวี๋ยลืมตาที่เหลือแต่เบ้าขึ้น เอื้อมมือออกไปสัมผัสท้องฟ้าแล้วมือก็ค่อย ๆ ตกลง…

เด็กที่จะเติบโตเป็นถึงเสนาบดีใหญ่ผู้นี้ถูกทรมานจนตายอย่างอนาถ สิ่งนี้ช่างแตกต่างจากนวนิยายที่ถังหลี่เคยอ่านมาอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากความฝันบอกเหตุเช่นนี้ในคราวของเว่ยฉิง เขาก็โดนหมาป่ากัดจริง ๆ นางรับรู้ได้ว่ามันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!

ถังหลี่ไม่สามารถดูเขาตายต่อหน้าต่อตาได้ นางต้องรักษาชีวิตของเด็กชายผู้นี้เอาไว้

สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือนางต้องหาเงินให้มากขึ้น และใช้ชีวิตดำเนินต่อไป เมื่อรุ่งเช้าถังหลี่ตื่นขึ้นมา หญิงสาวได้ปรึกษากับเว่ยฉิงแล้ว ชายหนุ่มเห็นด้วยกับภรรยา เด็กอีกคนหนึ่งแค่เพิ่มอาหารอีกจานเดียวเท่านั้น เมื่อขาของเขาหายดีแล้ว มันก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ เลย

สวี่เจวี๋ยจึงอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้เป็นต้นมา

[1] ในความหมายของชื่อหมายถึงหยกมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นการตั้งชื่อที่ดูผิดแปลกไปจากชาวบ้านธรรมดา ไพเราะเหมือนคนมีความรู้ตั้งให้