ตอนที่ 6 ที่แท้ก็เป็นใบ้หรือ

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

นี่ยังไม่ตายอีกหรือ ซือหลิงแอบนึกเยาะในใจ

มองไปรอบๆ พบว่าถึงกับอยู่ในถ้ำหมาป่า ลูกหมาป่าสองตัวข้างกายกำลังนอนหลับอุตุส่งเสียงกรนดัง หรือว่าคนที่ช่วยตนไว้ถึงกับเป็นหมาป่า?

เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่พอตอนพลิกตัวก็เดาได้ทันที มองดูผ้าฝ้ายสีขาวเหมือนเป็นชิ้นงานฝีมือประณีตพันอยู่ช่วงท้องรอบเอว และมองดูทั่วร่างกายที่ไม่มีคราบเลือดแต่อย่างใด รู้สึกสบายตัวราวกับไม่เคยประสบเหตุสังหารเลือดท่วมก่อนหน้ามาก่อน ซือหลิงเดาว่าคนที่ช่วยตัวเองต้องเป็นคน ไม่ใช่หมาป่าแน่นอน

แต่ว่าผู้ใดกันที่ฝีมือการแพทย์น่าอัศจรรย์เช่นนี้กัน ช่วยตนเองให้รอดพ้นจากก้นหุบเขาแห่งความตายกลับมาได้

ลองเคลื่อนลมปราณทั่วร่างดูก็พบว่าพิษกระดูกอ่อนกับพิษพิราบแดงในร่างกายถูกขจัดไปหมดสิ้น แม้แต่บาดแผลถูกแทงที่ท้องก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนดังก่อนหน้าอีก

ขณะที่สงสัยอยู่นั้น ปากถ้ำก็มีเสียงดังสวบสาบแว่วมา ซือหลิงรีบหลับตาแกล้งทำเป็นยังไม่ตื่น

คนที่มาก็คือซูสุ่ยเลี่ยนที่ล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว และยังถือโอกาสเก็บผักป่าริมลำธารกลับมาด้วยกอบหนึ่ง นางเก็บผักป่าเหล่านั้นใส่ตะกร้าสาน พอมาถึงก็วางตะกร้าลง เดินเข้าไปดูชายผู้นั้นใกล้ๆ เห็นเขายังคงหลับสนิท ลมหายใจสงบนิ่ง ก็ไม่สนใจเขาอีก ส่งเสียงเรียกลูกหมาป่าสองตัว “เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย ตื่นได้แล้ว วันนี้พวกเรามีงานมากมายต้องทำ เร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นจะไม่แบ่งน้ำแกงเนื้อใส่ผักป่านี่ให้พวกแกนะ” พูดไปก็ตบลูบหัวลูกหมาป่าสองตัวไปเบาๆ

ดังคาด เพียงได้ยินว่าน้ำแกงเนื้อ ลูกหมาป่าสองตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นทันที ราวกับอาการง่วงงุนก่อนหน้านั้นเป็นแค่เสแสร้ง

“ฮ่าๆ เอาละ ฉันไปตุ๋นน้ำแกงละ พวกแกไปริมลำธารล้างเท้าก่อน ดื่มน้ำเสร็จแล้วค่อยกลับมา ห้ามไปไหนไกล รู้มั้ย” ซูสุ่ยเลี่ยนกำชับเสร็จ ลูกหมาป่าสองตัวก็ส่ายหางส่ายหัววิ่งออกจากถ้ำมุ่งไปยังลำธาร นางเห็นแล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะ ส่ายหน้าพลางเดินกลับเข้าไปตุ๋นน้ำแกงต่อ

ลองนึกดูว่าตนเองเริ่มสื่อสารกับลูกหมาป่าได้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ พวกมันถึงกับฟังรู้เรื่อง ฮ่าๆ น่าจะเพราะกลัวว่าตัวเองอยู่ในป่าไม่ได้พูดจานานไป จะสูญเสียสมรรถภาพการพูดไปแน่เลย

นางสะบัดหัวไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก ก่อนจะฮัมท่วงทำนองเพลงซูโจวหงุงหงิงเบาๆ พลางตุ๋นน้ำแกงเนื้อใส่ผักป่าไปอย่างมีความสุข

คิดเอาไว้ว่าหลังกินอาหารเช้าเสร็จจะนำลูกหมาป่าสองตัวออกไปจับปลากลับมาสักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าพวกมันเคลื่อนไหวในน้ำจะเร็วเหมือนบนบกหรือไม่ เมื่อครู่เห็นในลำธารมีปลาลำตัวกว้างราวสามนิ้วมืออยู่มากมาย

พอหน้าร้อนมาถึง ปลาก็เริ่มโตแล้ว ยังมีพวกกุ้งฝอยกระโดดโลดเต้นขึ้นจากก้นลำธารเพื่อหาอากาศอยู่ไม่น้อย

อืม คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก หลังจากมาถึงที่นี่ก็ได้กินแต่พวกเนื้อสัตว์ป่า คิดถึงอาหารจำพวกปลากุ้งแสนอร่อยมาก

ซือหลิงจ้องมองแผ่นหลังซูสุ่ยเลี่ยนไม่วางตา เหนือคาดมาก ถึงกับเป็นสาวน้อยที่ดูแล้วไร้เดียงสาต่อความเป็นไปทางโลกอะไรพวกนี้ช่วยตัวเองเอาไว้ ก่อนจะแอบนึกเยาะว่า ก็คงเพราะไร้เดียงสาเรื่องทางโลกจึงได้ช่วยตัวเองเอาไว้กระมัง นึกถึงชื่อเสียงมือสังหารในยุทธภพของตนเอง ผู้ใดไม่รู้จักซือหลิงนักฆ่ามือหนึ่งแห่งหอเฟิงเหยาและยังจัดอยู่ในสามอันดับแรกของยุทธภพกัน

พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งของซือหลิงก็เผยแววกรุ่นโกรธเฟิงชิงหยาออกมา นึกถึงว่าตนเองทำตามคำฝากฝังก่อนจะสิ้นใจ ของอดีตประมุขหอคนก่อน ทุ่มเทเเรงกายเเรงใจเพื่อหอเฟิงเหยา แต่ไรไม่เคยคิดเป็นอื่น เฟิงชิงหยา เจ้ากลับทนวาจาใส่ร้ายของบรรดาลูกน้องเจ้าไม่ได้ กลับวางยาพิษสังหารข้าถึงสองชนิด เสร็จแล้วยังส่งพวกซือทั่วไล่ล่าสังหารข้ามานับพันลี้ วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ ข้าจะดูว่าหอเฟิงเหยาในมือเจ้าจะอยู่ไปได้อีกกี่ปีกัน เพราะข้าเองเคยได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากอดีตประมุข ดังนั้นแค้นนี้คงแล้วกันไป แต่อย่าคิดจะมีครั้งต่อไปอีก

ซูสุ่ยเลี่ยนราวกับได้ยินเสียงแค่นดัง จึงหันกลับไปมองอย่างสงสัย เอียงศีรษะคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ซือหลิง จ้องมองใบหน้าเขาเป็นนาน เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงจะลองเอามืออังใต้จมูกเขาดู เพื่อลองดูว่าเขายังหายใจหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะถูกคว้าเอาข้อมือไว้แน่น

“โอ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจลงนั่งแปะลงกับพื้น มองชายที่สลบไปห้าวันห้าคืนฟื้นขึ้นมาแล้ว พอสบดวงตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบอย่างที่สุดทั้งสองข้างที่ลืมขึ้น ก็ไม่กล้ามองตรงๆ อีก ตอนเอี้ยวตัวคิดจะลุกขึ้นก็พบว่าข้อมือถูกชายผู้นั้นกำไว้แน่น แรงมากพอจะทำให้นางเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง

นางพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างที่สุด จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางดุเบาๆ ว่า “ปล่อยฉันนะ ไอ้คนป่าเถื่อน!”

ลงแรงช่วยคนแล้วกลับถูกทำร้ายเป็นการตอบแทน แม้เป็นคนนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างซูสุ่ยเลี่ยนก็ย่อมอดสบถด่าออกมาไม่ได้

ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกตัวเองขึ้นมาทันทีว่า นางถึงกับเรียนรู้ที่ด่าคนอื่นเช่นนี้ได้ แก้มนางแดงระเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การเคลื่อนไหวของมือก็ไม่ได้หยุดลง นางพยายามดิ้นรนสลัดให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา

ในแววตาซือหลิงมีอารมณ์ประหลาดบอกไม่ถูกขึ้นมาแวบหนึ่ง เร็วจนแม้แต่เขาก็ยังไม่ทันได้รู้สึก เขาปล่อยมือนางทันที ซูสุ่ยเลี่ยนชักมือกลับได้ก็คลำข้อมือแดงป้อยๆ ถอยหลังออกห่างไปหลายก้าว

“ในเมื่อฟื้นแล้วก็ตามสบายเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนบังคับน้ำเสียงตนเองให้สงบนิ่ง แต่ก็ยังคงแฝงความโมโหคุกรุ่นอย่างไม่ยากจะสังเกตเห็น กล่าวทิ้งท้ายเสร็จก็หันกลับไปตักน้ำแกงต่อ ไม่คิดสนใจจะคุยกับคนป่าเถื่อนเช่นนี้อีก

ซือหลิงเลิกคิ้วขึ้นมอง นางสะบัดหน้าใส่ตนเองหรือ ลองคลำท้องที่ถูกดาบมากมายแทง ถึงกับไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลือแม้แต่น้อย ก็ลุกขึ้นอย่างนึกไม่เข้าใจ มองดูหนังเสือดาวสีขาวที่ตนเองนอนทับไว้จนแบน รอบหนังเสือยังมีกิ่งไม้หญ้าแห้งปูไว้อย่างหนา คิดว่าคงเป็นที่พักของนางกับเจ้าลูกหมาป่าสองตัวนั้น ในใจก็นึกว่าบาดแผลได้รับการดูแลเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

ค่อยๆ ยันผนังหินลุกขึ้นนั่ง ร่างกายอ่อนแอหมดแรงทำให้เขามั่นใจว่าอาการบาดเจ็บก่อนหน้าของตนเองนั้นหนักหนาสาหัสถึงชีวิต ตอนนี้อยู่ๆ หน้ามืดตาลาย ซือหลิงรีบยันผนังหินไม่ให้ตนเองล้มลง

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็อดหันกลับไปดูไม่ได้ เห็นชายที่เพิ่งพ้นจากขีดความตายมาได้ถึงกับลุกขึ้นนั่งอย่างไม่กลัวตาย ตนเองก็ลืมไปว่ากำลังโมโหเขาอยู่ รีบก้าวเดินเข้าไปประคองเขาไว้ ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุดว่า “อยากตายอีกรอบหรือ บาดแผลหนักหนาเช่นนี้คิดว่านอนพักไม่กี่วันก็จะหายดีหรือไง”

นางประคองเขาให้นอนอีกครั้ง ตรวจดูผ้าพันแผลรอบบาดแผลอย่างละเอียด เห็นว่าไม่มีเลือดไหลซึมออกมาแล้วก็วางใจเงยหน้าขึ้นสบตาของเขาที่ยังคงมีแววเย็นเยียบแต่ยามนี้เริ่มอ่อนกำลังลง แอบถอนหายใจก่อนจะทำใจกล้ากล่าวว่า “ฉันคิดหาทางตั้งมากมายกว่าจะพานายกลับมาได้ ไม่อยากเห็นนายต้องล้มลงอีกครั้ง”

ซือหลิงกวาดตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ส่งเสียงอันใด ได้แต่หลับตาลงพักผ่อน

“เอ๋? คงไม่ได้เป็นใบ้ใช่ไหมนี่” ซูสุ่ยเลี่ยนดูสภาพแล้วก็ย่นคิ้ว ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ส่งเสียงพูดสักคำ ตอนต่อสู้กับชายชุดดำพวกนั้นก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรสักคำ

พอคิดได้เช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็แทบอยากระบายความอัดอั้นออกมา กว่าจะเสี่ยงภัยช่วยคนมาได้ คิดว่าจะสอบถามเรื่องราวบนโลกใบนี้สักหน่อย จะได้ตัดสินใจเส้นทางวันหน้าของตนเอง ดีเลย อีกฝ่ายกลับเป็นใบ้เสียนี่

“เฮ้อ โชคไม่ดีเลย” นางนั่งพิงผนังถ้ำ ก้มหน้าลงซุกเข่า คิดว่าคงไม่อาจสอบถามเรื่องราวภายนอกได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าราคาของที่นี่เป็นอย่างไร หากออกไปแล้ว เงินพวกนี้ที่ไม่รู้จะดำรงชีวิตได้นานเท่าไร

……

ตอนซือหลิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในถ้ำก็เหลือแค่ตนเอง

มองไปยังชามที่น่าจะเป็นชามน้ำแกงของลูกหมาป่านั่นถูกเลียจนสะอาด ก็พลันนึกรู้ว่าหลังจากที่ตนเองสลบไปอีกครั้ง นางกับลูกหมาป่าสองตัวนั้นกินอาหารเช้าเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว แอบนึกโกรธแค้นสภาพร่างกายอ่อนแอของตนเองตอนนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะมานอนสลบไสลอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร แม้แต่พวกเขาเดินไปเดินมาก็ยังไม่รู้ตัว หากเป็นเมื่อก่อนไม่รู้ว่าได้ตายไปกี่ครั้งแล้ว

นึกถึงก่อนหน้าที่ตนเองจะสลบไปอีกครั้ง ได้ยินนางนั่งบ่นพร่ำอะไรอยู่ข้างกายตัวเองสักอย่างเหมือนกับว่าคงไม่ได้เป็นใบ้อะไรพวกนี้ ว่าเขาหรือ อา ไม่เอ่ยปากพูดทำให้นางสงสัยว่าตนเองพูดไม่เป็นหรือ ก็ดี แกล้งทำเป็นใบ้เสียเลย ดูสิว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ขณะนั่งคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงแว่วดังมาเหมือนกับว่านางกำลังคุยกับลูกหมาป่าสองตัวนั้น

น้ำเสียงอ่อนโยนพอจะเดาได้ว่านิสัยของนางน่าจะอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนกับน้ำเสียงของนาง แต่ทว่า คิดถึงตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาแล้วคว้าข้อมือนางเอาไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณเคยชิน ไม่ให้นางเข้ามาใกล้กับใบหน้าตนเอง ท่าทางโมโหของนางตอนนั้น นางมองเขาแล้วก็ก็สบถด่าป่าเถื่อน ออกมาด้วยท่าทางโมโห หลังจากนั้น ก็ทำให้ซือหลิงอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด

“ชู่ว์ เบาหน่อย เกิดทำเขาตื่น พวกเราต้องออกมาอีก” ซูสุ่ยเลี่ยนลอบมองเข้าไปในถ้ำ เห็นซือหลิงยังคงหลับตา นิ้วชี้นางจ่อที่ริมฝีปากบอกให้ลูกหมาป่าสองตัวอย่างส่งเสียงดัง

ซือหลิงที่กำลังแกล้งกลับได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น อะไรคือออกมาอีก หรือว่าตนเองตื่นแล้วจะทำให้พวกเจ้ามีบ้านก็ไม่อาจกลับเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ จิตใจสงบนิ่งถูกวาจาไม่ตั้งใจซูสุ่ยเลี่ยนทำโมโหขึ้นมา จึงไม่แกล้งหลับอีก ลืมตาโพลงส่งสายตาเย็นเยียบไปยังซูสุ่ยเลี่ยน

ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ที่แท่นหินย้อยอย่างเบามือ น่าแปลก รู้สึกเหมือนแผ่นหลังเหมือนมีลมเย็นวูบพัดมา แต่ก็ไม่ได้คิดมาก คว้าเอาหม้อหินสะอาดใบหนึ่งขึ้นมา นำปลาที่ล้างสะอาดวางอยู่ในตะกร้าสานออกมาสี่ตัวใส่ลงไปในหม้อ ที่เหลืออีกหกตัวรอไว้สำหรับทำปลาย่าง

เจ้าสองตัวน้อยนี่ร้ายกาจจริง ถึงกับจับปลากลับมาได้ยี่สิบกว่าตัว เลือกเอาตัวใหญ่ที่สุดสิบตัวเตรียมไว้กินทันทีวันนี้ ที่เหลือใช้น้ำผลไม้รสเค็มและน้ำผลไม้เปรี้ยวหมักไว้ อากาศร้อนเช่นนี้วางปลาไว้เฉยๆ อาจมีกลิ่นเหม็นได้ หมักเอาไว้ก่อนแล้วค่อยนำไปตากลมให้แห้ง ครั้งหน้าก็มีปลาเค็มแห้งกินแล้ว

ฮ่าๆ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดไปก็แอบลอบหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

ซือหลิงเห็นนางหัวเราะกับตนเองเบาๆ พลางพึมพำพูดกับตนเองเช่นนี้ ก็อดนึกแค่นในใจไม่ได้ ดีจริง เอาแต่สนใจตัวเอง

“เอ่อ คือว่า เจ้าตื่นแล้วหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมองซือหลิงที่กำลังจ้องมองตน ก็รีบหยุดมือเดินไปด้านหน้าเขา อธิบายอย่างเก้กังว่า “เมื่อครู่…ฉันเสียมารยาท ขอโทษ คือว่า…ตอนนี้นายรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ดื่มน้ำแกงร้อนๆ สักหน่อยไหม วันนี้เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยจับปลามาได้ตั้งเยอะ หากนายอยากกินก็พยักหน้านะ”

ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาแป๋วจ้องชายที่นางคิดไปเองว่าเป็นใบ้ตรงหน้า มุมปากยังมีรอยยิ้มฝืนๆ

ซือหลิงมองแววตาจริงใจของนางแล้ว ในใจก็อ่อนลง อดพยักหน้าตอบไม่ได้

“งั้นดี นายพักสักหน่อย ฉันจะไปทำต่อ ใกล้เสร็จแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนได้คำตอบก็ดึงหนังเสือครึ่งท่อนที่ไหลลื่นลงมาจากข้างกายเขากลับขึ้นไป ก่อนจะเดินกลับไปยังแท่นหินย้อยและเริ่มสาละวนกับการทำอาหารต่อ