ตอนที่ 23 – บทที่ 3: ช่วยชีวิต 6
คิดว่าทุกคนน่าจะรู้กันแล้วหลังผ่านมาหลายตอน แต่ว่านี่คือ ‘คิดในใจ’ นี่คือ “พูดออกมา”
คิดไงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ นั่นก็เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้(ฮาาาา)
ศรเพลิงพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว เพราะอินกองเพิ่งจะเรียนรู้มันแค่ขั้นแรก พลังทำลายของมันจึงไม่มากพอที่จะเผาผลาญทุกสิ่งอย่างในเส้นทาง
แม้ความเจ็บปวดกลางหลังจะคอยเตือนถึงบาดแผลของเขาก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อินกองใช้เวทมนตร์ เขารู้สึกปลื้มปิติอย่างมาก
‘เจ๋งโคตร! เวทมนตร์ของจริงมันเป็นแบบนี้เอง!’
“องค์ชาย! แกเป็นอะไรมากไหม?”
แม้มันไม่สามารถเสียสมาธิมามองอินกองท่านกลางความวุ่นวายได้ แต่คารัคก็ตะโกนถามอย่างกังวล ทว่าเสียงที่ออกมาจากอินกอง กลับไม่เป็นการตอบคำถามของเจ้าออร์คสักนิด
“ฮัดช้าา!”
อินกองเคลื่อนตัวไปหาเฟลิซีอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลที่เรียบง่าย
‘อินกอง แกต้องกัดฟันเอาไว้!’
เวทมนตร์พุ่งเข้าโจมตีพวกเขาอีกรอบ แต่สิ่งที่พุ่งมาคราวนี้ไม่ใช่ศรเพลิง มันเป็นแท่งน้ำแข็งที่บางและแหลมคมสามแท่ง
“อ๊ากก!”
ต่างไปจากศรเพลิงที่ระเบิดแผ่กระจายเมื่อกระทบหลังของเขา ศรเหมันต์ทะลุร่างเขาไปราวกับกระดาษ มีเสียงผู้หญิงดังกังวาลขึ้นมาในหัว แต่ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันมากเกินกว่าที่เขาจะรู้สึกยินดี
[คุณได้เรียนรู้ ไอซ์แอร์โรว์ ขั้น1]
[พลังชีวิตลดต่ำลงจนเข้าขั้นอันตราย]
ถึงเขาไม่สามารถรู้พลังชีวิตของร่างกายตัวเองได้ แต่หากมีมาตรวัดเป็นแถบ มันก็คงกระพริบสีแดงเตือนอย่างแน่นอน
“แอ่ก…”
เขาครางอย่างเจ็บปวดก่อนจะล้มลง เฟลิซีรีบเงื้อมือไปคว้าตัวเขาเอาไว้
“ฉัตร!”
“องค์ชาย! ตอบข้ามาว่าแกยังไม่ตาย!”
เขาไม่เหลือแรงจะตอบทั้งสองคนได้ เขาวู่วามเกินไปเมื่อมีเรื่องเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
อินกองสำนึกในความโลภของตัวเอง การพยายามเรียนเวทมนตร์ในสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นสิ้นดี หากเขาตาย ทุกอย่างก็จบสิ้น
อินกองพยายามคิดอะไรต่างๆ แต่พิษบาดแผลทำให้เขาไม่สามารถทำได้
เฟลิซีวางร่างของอินกองลงกลับพื้น นางดึงเอาเศษน้ำแข็งที่ฝังอยู่ในร่างเขาออกมา
“เคือก!”
“อยู่นิ่งๆ!”
เฟลิซีพูดออกมาด้วยเสียงกรีดร้อง นางจับบาดแผลของอินกองด้วยมือที่สั่นเทา เหล่าทหารออร์คของพวกเขาทยอยมาล้อมกรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการโจมตีเพิ่มเติมเข้ามา
“เธอมันบ้า บ้ามากด้วย! คนอ่อนแออย่างเธอจะปกป้องอะไรใครได้? แล้วเธอไปเรียนเวทมนตร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
อินกองนอนหายใจรวยริน เฟลิซีมองไปยังบาดแผลทั่วร่างของอินกองด้วยสีหน้าที่ทั้งสับสนและประหลาดใจ
‘นี่ฉัตร… พยายามจะปกป้องเราอย่างนั้นหรือ?’
เพราะเขาอ่อนแอ ก็เลยใช้ร่างกายเป็นเกราะกำบังแทน?
เฟลิซีพยายามตั้งสติกลับมา นางต้องใช้สมาธิในการร่ายเวทมนตร์ นางร่ายเวทรักษาให้อินกองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า
‘เอ๋?’
แสงอันอบอุ่นจากมือของเฟลิซีแผ่ขยายปกคลุมทั่วร่างของอินกอง บาดแผลของเขาเริ่มสมานตัว และพละกำลังของเขาเริ่มกลับคืนมา
[คุณได้เรียนรู้ ฮีล ขั้น1]
‘กูรอดแล้ว!’
เขารู้สึกเหมือนว่าได้เดินทางไปเคาะประตูคุยกับพญายม ก่อนจะถูกสุวัณและสุวาณส่งตัวกลับมา เฟลิซีที่ไม่ทันสังเกตว่าอินกองได้สติแล้ว ยังคงพยายามรักษาเขาต่อไป
“แข็งใจเอาไว้ฉัตร! ฉันไม่อนุญาตให้เธอตาย!”
แม้น้ำเสียงของนางดูโกรธเกรี้ยว แต่อินกองก็เห็นหยดน้ำไหลรินจากตาของนาง เขาจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความประหลาดใจ
‘นี่คือ เฟลิซี?’
ใครจะคาดคิดว่านางก็มีมุมนี้เหมือนคนทั่วไปด้วย ไม่ใช่ว่านางไม่สนใจใยดีฉัตรหรอกรึ?
“นี่! เป็นยังไงบ้าง? ตอบมาเดี๋ยวนี้!”
“ผม..ไม่..เป็น..ไร..”
อินกองพยายามตอบให้ดูเป็นปกติให้มากที่สุด แต่ทำได้แค่ส่งเสียงพอรู้เรื่องเล็กน้อย เฟลิซีเริ่มกล่าวร่ายสั่งสอนในทันที
“ไอ้หนูนี่! คิดว่าฉันเป็นใครกันฮึ? คิดหรือว่าคาถากากเดนพวกนั้นจะทำอะไรฉันได้? กลายเป็นว่าฉันกลับต้องมานั่งดูแลเธอ!”
‘เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้คิดจะปกป้องนางซะหน่อย’
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสาเหตุสำหรับศรเพลิง แต่ในกรณีศรเหมันต์ เขาจงใจรับการโจมตีเอง
“เอาเป็นว่าเธอยืนไหวไหม? หรือยังต้องให้รักษาเพิ่ม?”
อินกองพยักหน้าพร้อมพยายามใช้เรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมาพยุงตัวขึ้น ถึงเขาจะแปลกใจกับท่าทางสนิทสนมของนาง แต่ถ้าเขาไม่ถูกเกลียดมันก็ถือเป็นเรื่องดี
“องค์ชาย! แกไม่เป็นไรแน่นะ?”
เขาได้ยินเสียงคารัคถามจากใกล้ๆ เขาไม่ตอบ แต่หันไปซบเฟลิซีแล้วบอกนาง
“นูนะ.. พวกเราต้อง..รีบย้ายที่..“
เวทรักษาช่วยฟื้นฟูร่างกายของเขาขึ้นมาได้มาก ทำให้เสียงของเขาเริ่มกลับคืนมา เฟลิซีถอนหายใจอย่างหายห่วงก่อนจะตอบกลับ
“ใช่ เราต้องไปเดี๋ยวนี้!”
อินกองรู้สึกว่าคารัคมองเขาด้วยสายตา ‘มึงล้อกูเล่นใช่ป่าวเนี่ย?’ เขาเลือกจะเมินมันแล้วเริ่มหลบหนีไปทางภูเขาเอสก้า โดยมีเฟลิซีกับคารัคตามมาอย่างกระชั้นชิด
แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด พวกออร์คสายฝ่าชาดแห่ตามหลังพวกเขาราวกับฝูงไฮยีน่า
‘บ้าเอ๊ย! คริสต์มันมัวทำอะไรอยู่วะเนี่ย?’
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความผิดของคริสต์ อันที่จริง คริสต์กำลังต่อสู้กับศัตรูเป็นสองเท่าของอินกองเสียด้วยซ้ำ.
‘ทำไมออร์คมันเฝ้าฐานอยู่เยอะจังวะ? แล้วด้านเคทลินจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย?’
อินกองเป็นห่วงเคทลินที่แยกบุกไปทิศทางตรงข้ามกับเขา ทว่านั่นคือคริสต์กับเคทลิน พี่น้องไลแคนโทรปที่แม้แต่แซเฟียร์ยังไม่กล้าเผชิญหน้าตามลำพัง
‘ไม่สิ! แกควรจะห่วงตัวเองก่อนเถอะอินกอง!’
“โฮกกกกกกกก!”
เสียงคำรามอันทรงพลังดังมาจากเบื้องหน้า ราวกับจะตอกย้ำความคิดของอินกอง พวกออร์ครอบข้างตอบคำถามให้ โดยที่เขาไม่ทันได้เริ่มตั้ง
“บลัดโอเกอร์!”
พวกออร์คตะโกนชื่อของมันออกมาด้วยความกลัว โอเกอร์สีแดงขนาดใหญ่ยืนขวางทางหนีของพวกเขาไว้
‘***แล้วไง พวกโอเกอร์ผ่าเหล่า!’
มันมีร่างกายที่ใหญ่โตและพลังทำลายอันมหาศาลเมื่อเทียบกับโอเกอร์ทั่วไป
มันคำรามออกมาอย่างดุดัน ขวานศึกสองคมที่อยู่ในมือมันดูมีขนาดใหญ่กว่าตัวของฉัตรเสียอีก ลักษณะของมันดูใกล้เคียงกับง้าวอสรพิษของเตียวหุยในสามก๊กเลยทีเดียว
‘จะฝ่าไปยังดีวะ’
พวกเขาต้องกำจัดเจ้าโอเกอร์ตรงหน้าให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเผ่าสายฟ้าชาดที่ตามมาจะมีจำนวนมากไปกว่านี้
อินกองหันไปมองคารัคด้วยสายตาแน่วแน่ นี่ไมใช่เวลาที่จะเก็บซ่อนพลังเอาไว้
นอกจากจะสอบตกการเป็นเกมเมอร์แล้ว แกยังสอบตกการเป็นพระเอกนิยายด้วย มันต้องแบบดราก้อนบอลสิ สู้กับเกือบ 10 ตอน ถึงค่อยแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่า
“คารัค! เอาแบบครั้งที่แล้ว!”
“รับทราบ”
คารัคตอบรับพร้อมกับตั้งขวานในมือของมันให้พร้อมรบ ไม่ต้องใช้คำอธิบายมากมายสำหรับทั้งคู่
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ สักคำให้ลึกซึ้ง~ อุเผลอหลุดแสดงความแก่ 〣( ºΔº )〣
“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”
อินกองปักมีดของเขาลงพื้นพร้อมตะโกนออกมา แสงสว่างเจิดจ้าส่องออกจากตัวเขา
‘เฮือก!’
ร่างกายของเขารับภาระหนักอึ้งจากความล้าที่เข้าจู่โจม ถึงแม้เขาจะคุกเข่าลงมาเพื่อปักมีด เขาก็เกือบจะล้มฟุบไปกองกับพื้นอีกรอบ
แต่ทักษะได้เปิดใช้งานอย่างเรียบร้อย แสงรอบตัวเข้ารวมกันเป็นเส้นเชื่อมจากเขาไปยังคารัค
“ออร่าาาาา”
คารัคที่ได้รับบารมีจากพระราชาของเขากู่ร้องออกมาอย่างดุดัน มันทรงพลังจนทำให้เหล่าทหารออร์คส่งเสียงคำรามศึกออกมาอย่างฮึกเหิม แต่เฟลิซีมีท่าทีที่ต่างออกไป นัยน์ตาสีแดงของนางจดจ้องไปยังอินกองที่กำลังหายใจติดขัด
“ฉัตร? นี่ฝีมือเธอหรือ?”
นางต้องการคำตอบ แม้นี้จะไม่ค่อยถูกกาลเทศะมากนัก
“ครับ”
“จะรอช้าอยู่ใย? ลุย!”
สิ้นเสียงคำรามของคารัค เฟลิซีได้แต่ถอนหายใจแล้วหันไปมองบลัดโอเกอร์
“โฮกกก!”
“ค้ากกก!”
บลัดโอเกอร์และคารัค ทั่งคู่คำรามข่มขู่อีกฝ่ายก่อนจะวิ่งปรี่เข้าปะทะกัน เฟลิซีหัวเราะใส่ทั้งคู่อย่างเหยีดหยามก่อนจะวาดมือร่ายคาถา
“กรีซซ์!”
“คุกก!”
เวทมนตร์ของนางแปรสภาพพื้นดินตรงหน้าบลัดโอเกอร์เป็นโคลน มันวิ่งเข้าโจมตีคารัคโดยไม่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลง ทำให้มันเสียการทรงตัวจนลื่นล้ม และช่องโหว่นี้ไม่หลุดลอดจากสายตาอันชาญฉลาดของคารัคไปได้
“ตาย!”
คมขวานพุ่งเข้าเฉือนเนื้อสีแดงบริเวณลำคอ
“คอ๊ากก!”
บลัดโอเกอร์ส่งเสียงร้องออกมาขณะพยายามลุกขึ้น แต่ก็ไร้ประโยชน์ คารัคกระชากขวานของมันออกมาก่อนจะฟาดกลับลงไปที่หน้าผากของบลัดโอเกอร์
โบรอส นั่นนายใช่ไหม โผล่อย่างเท่ 2ทีร่วง
เสียงกระดูกถูกคนขวานบดบขยี้ดังขึ้นพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่ว คารัคเงยหน้าขึ้นหัวเราะให้กับชัยชนะ เฟลิซีได้แต่ขมวดคิ้วมองฉากตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ
‘สมกับที่เป็นเฟลิซี’
ถึงคนที่ปลิดชีพบลัดโอเกอร์จะเป็นคารัค แต่ผลลัพท์ทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นเพราะเวทมนตร์ของเฟลิซีแสดงผลออกมาได้ถูกจังหวะ
‘เดี๋ยวนะ แบบนี้เราจะเหนื่อยใช้ร่มเงาทำไม?’
มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ผลของใต้ร่มเงากษัตริย์ไม่ได้มีเพียงเพิ่มความสามารถให้ผู้ติดตาม
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
มันทำให้ความดีความชอบตกเป็นของพระราชาอีกด้วย!
‘เลเวล 10!’
แสงสีขาวเข้าปกคลุมอินกอง สมรรถภาพของเขาฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม อินกองกระโดดลุกขึ้น แม้จะยังคงมีอาการข้างเคียงจากการใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์ก็ตาม
เลเวล 10 ที่เขารอคอยแฝงไปด้วยความหมายหลากหลาย!
‘ไม่แน่นะ บางที!’
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ พลังพระเอก]
เสียงของสตรีที่ดังก้องในหัวทำให้อินกองกำมือขึ้นด้วยความดีใจ