[พลังพระเอก ขั้น2]

 

 อินกองเปิดหน้าต่างทักษะของเขาขึ้นมาดูในทันที ภายใต้พลังพระเอก มีทักษะติดตัวเสริมขึ้นมา

 

 [ยันต์สมรภูมิ Lv1]

 

 [ด้วยบารมีของพระเอก ทุกสิ่งปองร้ายจะถูกบดบังให้แคล้วคลาดเล็กน้อย]

 

‘แบบสตอร์มทรูปเปอร์สินะ?’

 

 ทักษะที่เสริมขึ้นมามีผลเหมือนหน่วยรบสตอร์มทรูปเปอร์(Storm Trooper)ที่โด่งดัง

 

 สตอร์มทรูปเปอร์เป็นชื่อหน่วยทหารจากภาพยนต์ไซไฟชื่อดัง สตาร์วอร์ส(Star Wars) พวกนี้เป็นหน่วยทหารของฝั่งจักรวรรดิที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแม่นยำ แต่เมื่อสู้กับฝั่งพระเอก กลับยิงเข้าเป้าไม่ถึงร้อยละ 5

 

 ลักษณะเดียวกับที่พระเอกในหนังสงครามสามารถวิ่งฝ่าห่ากระสุนปืนได้อย่างไร้รอยขีดข่วน

 

‘นี่มันพลังพระเอกของจริงเลยนี่หว่า?’

 

 บางทีการที่เขาเรียนรู้ทักษะได้ง่าย อาจจะเป็นผลจากพลังพระเอกไม่ใช่อาณัติก็เป็นได้?

 

 ถึงเขาจะติดใจกับคำว่า ‘เล็กน้อย’ แต่นั่นก็เพราะทักษะยังเป็นแค่ขั้นหนึ่ง ยังไงก็ยังถือเป็นทักษะทีมีประสิทธิภาพมาก

 โอ้ไม่นะ ถ้าทุกอย่างพลาดเป้า หรือว่าเส้นทางสาย M ของอินกองจะจบลงแต่เพียงเท่านี้?

 

‘นี่ถ้าพลังพระเอกเพิ่มขึ้นอีก จะมีอะไรเพิ่มบ้างนะ?’

 

“ฉัตร! มัวทำบ้าอะไรอยู่?”

 

 เสียงแผดก้องของเฟลิซีดังขึ้นมาหยุดความฟุ้งซ่านของเขาเอาไว้ ตอนนี้พวกเขากำลังหนีตายกันอยู่ มันไม่ใช่เวลาสำหรับหาข้อมูลทักษะทั้งหลาย

 

‘แต่ทำไมเพิ่มเลเวลรอบนี้ เหมือนร่างกายยังล้าอยู่นิดหน่อย?’

 

 หรือว่าเป็นเพราะเขาใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์อยู่?

 

“องค์ชาย!”

 

“อ่า อื้อ!”

 

 อินกองสะดุ้งขึ้นจากเสียงเรียกของคารัค เขาเก็บมีดเข้าซองแล้วมองไปรอบตัว พวกออร์คเผ่าสายฟ้าชาดยังคงตื่นตระหนกกับการตายของบลัดโอเกอร์ ทำให้พวกมันชะลอตัวลง

 

‘ต้องรีบระหว่างที่พวกมั้นยังตั้งสติกลับมาไม่ได้’

 

 ในแผนที่ย่อยังคงเต็มไปด้วยจุดสีแดง หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย จุดเหล่านั้นก็เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขา

 

“ถอยทัพกันเถอะ!”

 

 อินกองหันไปบอกคารัคที่ตั้งขวานเตรียมสู้รบอีกครั้ง

 

 แล้วเขาก็ตะโกนบอกเฟลิซี

 

“ไอ้หมูบ้าพวกนั้น! จับมันทำหมูย่างเถอะ!”

 

“ทำหมูย่าง?”

 

 เฟลิซีหัวเราะออกมาหลังได้ยินสิ่งที่ที่อินกองบอก นางกางแขนของนางออก

 

“สายลม! โหมกระหน่ำ!”

 

 ราวกับวาจาสิทธิ์ ลมกระโชกก่อขึ้นรอบตัวนาง ก่อนจะพัดเปลวไฟในบริเวณใกล้เคียงมาล้อมเผ่าสายฟ้าชาดไว้

 

“ว้าว!”

 

 แต่ว่านี่ไม่ใช่เวทมนตร์ อินกองมั่นใจได้เพราะพลังเวทในตัวเขาตื่นขึ้นมาแล้ว

 

‘ภูติ! นี่มันฝีมือภูติแน่นอน!’

 

 เอลฟ์รัตติกาลเป็นพวกเอลฟ์นอกรีตแห่งทวีปอัสเซนบาฮ์ พวกมันเกิดมาพร้อมสัมผัสทางวิญญาณที่เหนือกว่าเอลฟ์ปกติ และด้วยที่เฟลิซีเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์รัตติกาล นางจึงมีสัมผัสที่แก่กล้า จนสามารถสื่อสารกับเหล่าภูติได้ก่อนจะเรียนรู้เวทมนตร์เสียอีก

 

‘แต่มันเกิดขึ้นได้ไง? มันเหมือนลม… เฮ้อ!’

 

 อินกองสายหน้าด้วยความที่มันเป็นเรื่องซับซ้อน

 

‘การสื่อสารกับภูติน่าจะเหมือนกับพวกลมปราณหรือพลังจิต น่าจะเป็นพรสวรรค์ที่มีตั้งแต่เกิด ไม่น่าจะฝึกได้เหมือนการปลุกพลังเวท’

 

 เขายังต้องทดลองอีกหลากหลายเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับเวทมนตร์ เขายังไม่สามารถเข้าใจศาสตร์ทั้งหลายได้อย่างถ่องแท้

 

‘จะภูติผีปีศาจอะไรก็ได้ ยังไงเราก็ต้องยอมโดนวิชาเกี่ยวกับพวกนั้นอัดเข้าซักที บางทีมันน่าจะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น’

ท่านกำลังอ่าน Breakers: episode VII – The M Awakens

 

 อินกองตัดสินใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณในภายหลัง

 

“องค์ชาย! นั่นพลุสัญญาณ!”

 

 คนที่ตั้งสติเขาในครั้งนี้เป็นคารัค อินกองรีบเงยหน้ามองขึ้น มันเป็นพลุสีเหลือง

 

“สัญญาณถอยทัพ!”

 

 คริสต์ส่งสัญญาณให้ยกเลิกภารกิจทั้งหมด

 

‘มันเกิดอะไรขึ้น? รึว่าคริสต์อยู่ในอันตราย?’

 

 ใบหน้าของเคทลินผุดขึ้นมาในหัวของเขา อินกองรีบถอยไปยังถ้ำที่ภูเขาเอสก้าพร้อมกับเหล่าออร์ค เขามองดูตำแหน่งในแผนที่ย่ออย่างละเอียด

 

‘บ้าที่สุด นางไปอยู่ตรงไหน ขยายแผนที่ให้ไวเลย!’

 

 อินกองสามารถดูภาพรวมได้ตั้งแต่แรก แต่เขาจะรู้ได้เพียงการเคลื่อนตัวของกำลังพล เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นใคร

 

 ต้องขอบคุณเตาย่างบาร์บีคิวที่เฟลิซีสร้างขึ้นมา อินกองสามารถล่าถอยขึ้นภูเขาได้อย่างราบรื่น เขาไม่ลืมที่จะตรวจดูจำนวนเหล่าทหารออร์คที่หลงเหลือผ่านแผนที่ย่อ

 

‘น่าจะประมาณ 60’

 

 ด้วยจุดที่กระจุกกันทำให้นับได้ยาก แต่โดยคร่าวแล้วน่าจะมีราว 60 จุดตามเขามาได้ พออินกองขึ้นภูเขามาได้ระดับหนึ่ง เขาหันหลังกลับไปสังเกตการณ์ฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด

 

 แม้ทัศนวิสัยจะถูกบดบังด้วยเขม่าควันและเปลวเพลิง แต่เขาก็สามารถดูภาพรวมได้จากแผนที่ย่อ

 

‘มีทหารกระจุกอยู่ตรงกลาง กับทางขวา’

 

 คริสต์และเคทลินกระจายกันอยู่ที่สองบริเวณนี้ แม้กระทั่งเหล่าหมูที่ยังย่างไม่สุกก็เลิกติดตามอินกอง แล้วเปลี่ยนเป้าไปยังทั้งสองแห่ง

 

 อินกองกัดฟัน ภาพของคริสต์และเคทลินจากในเกมปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

 

 อสูรกายกระหายเลือด ปีศาจในคราบไลแคนโทรป

 

 แต่ทว่าภาพเหล่านั้นเกิดขึ้นในปี 516 นับได้สี่ปี่ต่อจากปัจจุบัน ตอนนี้คริสต์ยังอายุเพียง 17 และเคทลินก็ยังอายุ 15 เท่านั้น

 

“เคทลิน”

 

 เขาต้องพานางกลับมา บางทีสาเหตุที่เขาสามารถหลบหนีออกมาได้ง่าย อาจเป็นเพราะพวกศัตรูเพ่งความสนใจไปที่คริสต์และเคทลิน

 

“คารัค! จัดกระบวนทัพ! เราจะบุกไปช่วยเคทลินนูนะ!”

โอ๋ๆ อย่างร้องนะคริสต์ลูก (っ´ω`)ノ(╥ω╥)

 

 ถ้าให้เขาเลือกระหว่างคริสต์กับเคทลิน แน่นอนว่าเขาเลือกคนหลัง นอกจากที่คริสต์จะแกร่งกล้ากว่าแล้ว ทหารที่ติดตามไปก็ล้วนเป็นหัวกะทิ คริสต์สามารถเอาตัวรอดออกมาได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือ

 

“รับทราบ!”

 

 คารัคตอบอย่างไม่ลังเล แต่เฟลิซีกลับมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

“เธอจะกลับเข้าไปอีก?”

 

 อินกองพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปพร้อมคารัค

 

“กลับไปลุยกัน!”

 

“โอ้วว!”

 

“โอ้วววววววววววววววววว!”

 

 อะดรีนาลีนจากการต่อสู้ของเหล่าออร์คยังคงหลงเหลืออยู่ พวกมันคำรามอย่างฮึกเหิมแล้วตามผู้นำทั้งคู่ไป เฟลิซีมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะสบถออกมา

 

“ไอ้พวกบ้าสงคราม! บังอาจทิ้งฉันไว้คนเดียวแบบนี้ได้ไง! แน่นอนว่าฉันจะไปด้วย!”

 

 อินกองไม่เสียเวลามองกลับไป เขาทำเพียงชำเลืองแผนที่ย่อระหว่างวิ่งไปข้างหน้า เฟลิซีตามมาถึงในไม่ช้า

 

“สายลม! เปิดทาง!”

 

 เปลวเพลิงอันโชติช่วงชัชวาลแหวกออกราวกับโมเสสแหวกมหาสมุทร อินกองกล่าวขอบคุณเฟลิซีในใจพลางเตรียมมีดซัดของเขาออกมา ยังพอหลงเหลือทหารเผ่าสายฟ้าชาดอยู่บ้างท่ามกลางหมูย่างที่สุกได้ที่

 

“คารัค! บุกทะลวงมัน!”

 

“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”

 

 เสียงหัวเราะฉบับบอสมาเฟียดังขึ้นพร้อมคมขวานที่กวัดแกว่งไปทั่ว เฟลิซียิ้มเยาะ แต่นางก็ใช้เวทมนตร์และเหล่าภูติเปิดเส้นทางให้กองทหาร

 

‘สมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งเอลฟ์รัตติกาล’

 

 แม้อินกองจะเป็นห่วงเคทลินแต่สายตาของเขาก็จดจ้องไปยังสตรีด้านข้าง

 

 เฟลิซีไม่ใช้เวทมนตร์โจมตีแต่อย่างใด นางใช้เพียงเปลวไฟและสายลมควบคุมทิศทางการรบ ให้เป็นไปตามต้องการ

 

 นี่คือเวทมนตร์ และนี่ก็คือจอมเวท

 

 ทุกที่ที่นางกล้ำกรายล้วนถูกแผดเผา ราวกับเทพีแห่งสงคราม

 

‘แล้วนางโดนจับไปได้ไงวะ?’

 

 อาจจะในตอนที่นางไม่ทันระวัง? หรือว่ามีพวกออร์คที่ทนทานเวทมนตร์อยู่ในเผ่า?

 

“องค์ชาย! พวกเรามุ่งไปทิศไหนดี?”

 

 คารัคถามด้วยร่างกายที่ชโลมไปด้วยเลือดศัตรู อินกองตรวจดูแผนที่ย่อของเขาแล้วชี้ไปทิศหนึ่ง

 

“ทางนั้น!”

 

 การจะหาฝั่งตัวเองในสถานการณ์แบบนี้นั้นเป็นไปได้ยาก เขาจึงสังเกตเอาจากทิศทางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

 

‘ดีนะที่สู้กันแบบมวยวัด’

 

 พวกทหารเข้าปะทะกันมั่วไปหมด หากนี่เป็นการต่อสู้ที่มีการจัดกระบวนทัพเป็นแบบแผน พวกเขาต้องบาดเจ็บจากห่าธนูและเวทมนตร์แน่นอน

 

“นูนะ! เปิดทางตรงนั้นให้ที!”

 

 อินกองชี้ไปยังเปลวไฟลุกโชนท่วมซากบางอย่าง จากการวิเคราะห์ของเขา เคทลินน่าจะอยู่เลยไปทางทิศนั้น เขาไม่ต้องการเสียเวลาอ้อม

 

“ข้า เฟลิซี ดูมเบลด บัญชา!”

 

 เฟลิซีตะโกนด้วยความประหม่าพลางชี้นิ้วไปทิศที่อินกองบอก

 

“ทอร์นาโด!”

 

  ประกายแสงระยิบระยับกระจายออกจากตัวนางไปทั่วบริเวณ อากาศโดยรอบสงบนิ่งอย่างกระทันหัน ก่อนจะมีสายลมพัดผ่านเล็กน้อย สายลมเหล่านี้พัดรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนรวมตัวกลายเป็นลมกรดพัดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

“ขอบคุณครับ! นูนะยอดเยี่ยมที่สุด!”

 

 อินกองส่งเสียงเชียร์เฟลิซีที่ส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็แอบเห็นรอยยิ้มจางจางปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง

 

“ปะ! คารัค!”

 

“โอ้วว!”

 

 อินกองกับคารัควิ่งตามลมพายุที่พัดผ่านไป เฟลิซีรีบคลายคาถาของนาง อินกองตะโกนออกมาพลางหลบหลีกเศษซากทั้งหลายที่ร่วงลงจากการสลายตัวของพายุ

 

“เคทลินนูนะ! ผมตามมาช่…!”

 

แครก!

 

 เสียงบางสิ่งแตกหักดังขึ้นกลบเสียงตะโกนของอินกอง

 

 ร่างของออร์คผู้โชคร้ายระเบิดกระจุย เศษกระดูกและก้อนเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณที่แดงฉานไปด้วยเลือด ณ ใจกลางของการระเบิดอันเป็นที่มาของเสียง เป็นกำปั้นสีแดงเถือกของสาวน้อยนางหนึ่ง รอบกายนางเต็มไปด้วยเศษซากศพของบางสิ่งที่ยากเกินกว่าจะเรียกว่าออร์ค

 

“เธอคิดจะช่วยใครมิทราบ?”

 

 คำพูดล้อเลียนของเฟลิซีทำให้คารัคหัวเราะออกมาดังลั่น

 

 อินกองได้แต่มองจดจ้องไปยังร่างของสาวน้อยอันบอบบางที่แดงก่ำด้วยเลือดตรงหน้า มีความสับสนเจือปนอยู่ในแววตาของนางเพียงครู่หนึ่ง ก่อนนางจะอุทานออกมาอย่างยินดี

 

“ฉัตร! โชคดีที่เธอปลอดภัย!”

 

 เคทลิน มูนไลท์

 

 แม้อายุจะยังน้อย แต่นางก็หัวเราะอย่างเริงร่าราวกับดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน

 

 

คำฝากจากคนเขียน:

  1. นิยายส่วนใหญ่ที่ผมเขียนจะมีตัวละครหญิงหลักแค่คนเดียว ส่วนที่เหลือก็มีบ้างที่เป็นคู่

  2. มีหลายความเห็นบอกให้เลิกเรียกพระเอกทั้งฉัตรและอินกอง ให้เรียกแค่ชื่อเดียวพอ แต่สำหรับผม มันมีเหตุผลแฝงอยู่ในการเรียกชื่อที่แตกต่าง

ง่ายๆก็คือ อินกองเป็นชื่อที่พระเอกเราเรียกเพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าเขาเป็นคนที่มาจากโลกอื่น ส่วนฉัตรคือชื่อร่างที่พระเอกมาสิงอยู่