บทที่ 13 เด็กหนุ่มฉืออี้หย่วน
บทที่ 13 เด็กหนุ่มฉืออี้หย่วน
ซูเสี่ยวฉินคิดว่าตราบใดที่ยังมีแป้งทอดไส้กุยช่ายน้ำมันหมูเหลืออยู่ เธอก็ยังสามารถกินมันได้
เธอมองด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง ทว่ากลับได้ยินคุณย่าซูพูดว่า “หลานยังไม่ได้กินข้าว? แล้วทำไมไม่รีบกลับไปเล่า? ถ้ากลับช้าจะไม่มีอะไรเหลือให้กินนะ”
นี่คือกำลังปฏิเสธกันงั้นเหรอ?
ซูเสี่ยวฉินมองไปยังคุณย่าซูด้วยสายตาประหลาดใจ
“เสี่ยวฉิน เธอกลับบ้านไปกินข้าวเถอะ พวกเราก็ต้องกินเหมือนกันนะ!” เหลียงซิ่วเอ่ยปากเร่งเร้า
ถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้ยังไม่ไปอีก แป้งทอดไส้กุยช่ายน้ำมันหมูจะเย็นแล้ว
ซูเสี่ยวฉินท่าทางเสียใจ เอ่ยอย่างลังเล “วันนี้หนูตัดหญ้าไปได้นิดเดียวเองค่ะ คุณย่าของหนูก็เลยไม่ให้กินข้าว…”
“อ๋อ…”
คุณย่าซูร้องอ๋อหนึ่งเสียง จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
ซูเสี่ยวฉินที่ก้มศีรษะต่ำรอให้สมาชิกบ้านซูชวนเธอไปกินอาหารเย็นกลับได้ยินแต่เสียงบ้านใหญ่ซดน้ำแกงบะหมี่มันเทศเท่านั้น
เธอมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ทว่าไม่มีใครสักคนสนใจเธอ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการดื่มน้ำแกงและกินผักราวกับเธอไม่มีตัวตน
ซูเสี่ยวฉินรู้สึกอับอายมาก จนในที่สุดก็ทนไม่ไหววิ่งกุมหน้าออกไป
แม้ว่าเธอจะวิ่งออกไปแต่ก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับรอให้คุณย่าซูหรือใครซักคนเอ่ยรั้ง กระทั่งเธอออกจากบ้านไปก็ไม่ได้ยินสักเสียงรั้งเธอเอาไว้สักเสียง
ซูเสี่ยวฉินสาบานอย่างเงียบ ๆ เธอจะไม่มีวันปล่อยซูเสี่ยวเถียนเด็ดขาด
เธอสำรวจข้อบกพร่องของตนเองแล้วมองไปยังซูเสี่ยวเถียน ก่อนคิดว่าที่บ้านใหญ่ไม่ชอบเธอก็เป็นเพราะซูเสี่ยวเถียน
ไม่คิดว่าว่าคนบ้านใหญ่ขาดเธอบ้างหรืออย่างไร?
ไม่เคยเลย!
“โลภมากเสียจริง!” คุณย่าซูพูดด้วยเสียงเย็นออกมาประโยคหนึ่ง
ซูเสี่ยวเถียนมองท่าทางที่ทำทีจะจากไปของซูเสี่ยวฉิน พลันรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
เดิมทีคิดว่าคนที่กินอิ่มแล้วจะกินต่อไปไม่ไหว แต่ยังกินแป้งทอดไส้กุยช่ายน้ำมันหมูอีกครึ่งหนึ่งได้อีก
เมื่อเห็นว่าหลานสาวกินอย่างสบายใจคุณย่าซูก็ดีใจมาก ตัดสินใจทันทีว่าหลังจากนี้จะพยายามทำอาหารอร่อย ๆ ให้หลานรักกินอีก
หลังมื้ออาหาร คุณย่าซูก็หยิบตะกร้าสานแล้วใส่แป้งทอดไส้กุยช่ายน้ำมันหมูลงไปหกชิ้นกับน้ำตาลอีกหนึ่งจิน ทั้งยังใส่ฟักทองลูกโตที่นำออกมาจากชั้นใต้ดินเข้าไปด้วย
คุณย่าซูชั่งน้ำหนักตะกร้า แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ของพวกนี้พอสำหรับสองปู่หลานบ้านฉือกินสองสามวัน คนแก่หนึ่งคนเด็กหนึ่งคน ต้องมีสภาพเช่นนี้น่าสงสารจริง ๆ”
“สิ่งที่หายากที่สุดคือ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉืออี้หย่วนเด็กคนนั้นก็ยังมีจิตใจเมตตา” เหลียงซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย
“บ้านฉือก็มีครอบครัวที่ดี เด็ก ๆ ได้รับการสอนมาอย่างดี แต่น่าเสียดายจริง ๆ…” คุณย่าซูถอนใจ
คุณปู่ซูจับมือน้อย ๆ ของหลานสาวอย่างอ่อนโยน ส่วนซูเหล่าซานถือตะกร้าใบใหญ่ ทั้งสามคนเดินตามทางไปยังคอกวัวท้ายหมู่บ้าน
ซูเสี่ยวเถียนกระโดดโลดเต้นไปมาตลอดทาง ผมเปียสองเส้นบนหัวส่ายไปมา น่ารักยิ่งนัก
เด็กหญิงตัวน้อยแสนอ่อนโยน หลอมละลายหัวใจของชายสองคน
ทันทีที่ฉืออี้หย่วนเห็นซูเสี่ยวเถียนก็อดตกใจกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเธอไม่ได้
เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสเช่นนี้มานานแล้ว
ครั้งหนึ่ง น้องเล็กบ้านเขาก็มีรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้
แต่ว่ารอยยิ้มนั้นกลับถูกแช่แข็งไว้ตลอดกาลในค่ำคืนอันฝันร้ายเมื่อห้าปีก่อน
คนเหล่านั้นมุ่งไปถึงบ้านของเขาจากนั้นก็ปล้นของทุกอย่าง ก่อนจะมีคนคนหนึ่งผลักน้องสาวอย่างโหดร้าย…
เป็นเพราะแรงผลักมหาศาลนั่นทำให้เขาต้องสูญเสียน้องสาวที่น่ารักไปตลอดกาล
แม้คุณปู่จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะความน่าสลดใจของยุคสมัย ความน่าเศร้าใจของจิตใจมนุษย์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาโทษตัวเองมาตลอดว่าทำไมถึงไม่รีบไปช่วยน้องสาวในตอนนั้น แม้ว่าคนที่โดนโต๊ะกระแทกจะเป็นเขาก็ยังดี…
“พี่อี้หย่วน!”
ความทรงจำของฉืออี้หย่วนถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเด็กอันแสนไพเราะ ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ด้านข้างเขา แล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายตัวสูง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเถียนได้พบกับฉืออี้หย่วน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับฉืออี้หย่วนหลังจากเกิดใหม่
ช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ฉืออี้หย่วนคือตัวตนที่เธอมองเห็นได้จากที่ไกล ๆ เด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านร่วมเจ็ดปี
ในความทรงจำของเธอ สี่ปีหลังจากนั้นฉืออี้หย่วนได้กลับเมืองไปกับคุณปู่ฉือเก๋อในที่สุด
จากนั้นก็ได้ยินมาว่าเขาสอบติดมหาวิทยาลัย และต่อมาก็มีคนในหมู่บ้านพูดถึงหัวข้อความสำเร็จของเขาและอีกมากมาย เหมือนกับตำนานอันห่างไกล
ฉืออี้หย่วนเป็นคนประเภทหวนถึงอดีต ต่อมาก็ได้บริจาคเงินให้กับหมู่บ้านเพื่อสร้างโรงเรียนประถมและช่วยสร้างถนน พูดได้ว่าเป็นการขอบคุณคนในหมู่บ้านที่ช่วยดูแลสองปู่หลาน
ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านจึงสรรเสริญฉืออี้หย่วนเป็นอย่างมาก
แต่ตัวฉืออี้หย่วนเองไม่เคยกลับมาที่หมู่บ้านอีกเลย
หลังจากนั้น ซูเสี่ยวเถียนที่ได้ไปทำงานในเมืองก็เคยได้พบเขาเช่นกัน
ในยามนั้นซูเสี่ยวเถียนเพิ่งหย่าร้างได้ไม่นาน และทำงานทำความสะอาดอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ในตอนนั้นมีแขกรับมือยากคนหนึ่งก่นด่าเธอที่ไม่ทันระวังจนทำน้ำหกบนพื้น
ซูเสี่ยวเถียนคุกเข่า เช็ดน้ำบนพื้นและเอ่ยขอโทษแขกคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่อีกฝ่ายยังคงยืนยันว่าต้องการให้ซูเสี่ยวเถียนใช้แขนเสื้อเช็ดมันจนแห้ง
จังหวะนั้นเองที่ฉืออี้หย่วนก้าวเข้ามายังโถงกลางของโรงแรมผ่านม่านแสงอันอบอุ่น
ด้านหลัของเขายังมีชายใส่ชุดสูทสวมรองเท้ายืนอยู่หลายคน
คนพวกนั้นเป็นคนที่ซูเสี่ยวเถียนเห็นมองได้จากระยะไกลเท่านั้น แต่ว่าพวกเขาล้วนเคารพนับถือฉืออี้หย่วน
รวมถึงคนที่ยังพูดจาไม่น่าฟังใส่ซูเสี่ยวเถียนอยู่อีกด้วย ทันทีที่เห็นฉืออี้หย่วนก็ทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน
ซูเสี่ยวเถียนแค่เหลือบมองก็จำได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เคยอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิตหงซินเมื่อนานมาแล้ว
เธอไม่กล้ามองอีกต่อไป เพียงเหลือบมองแล้วกล้ำกลืนน้ำตาลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเช็ดพื้นอีกครั้ง
บุรุษผู้สุภาพอ่อนโยน สวมชุดสูทดูภูมิฐาน ทั่วทั้งร่างแผ่บรรยากาศสบายแต่ดูแปลกตา
เขาพูดแค่ประโยคเดียว “ต้องทำขนาดนั้นด้วยเหรอ หัวหน้าฉี?”
แล้วคนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าฉีก็จำยอมปล่อยเธอไป
นอกจากซูเสี่ยวเถียนแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าคนที่พูดประโยคนั้นเพื่อช่วยซูเสี่ยวเถียนเป็นคนเดียวกับที่ช่วยชีวิตเธอจากแม่น้ำไหลเชี่ยวเมื่อหลายปีก่อน!
หัวใจของซูเสี่ยวเถียนบอกว่านี่คือผู้มีพระคุณ!
หลังจากนั้นซูเสี่ยวเถียนก็ได้ทราบถึงตัวตนของฉืออี้หย่วนจากปากของพนักงานโรงแรม
ชายหนุ่มอายุไม่ถึงสี่สิบปี มีบริษัททรัพย์สินร้อยล้านเป็นของตัวเอง ผู้คนมากมายล้วนต้องการประจบประแจง และเป็นชายหนุ่มในฝันของหญิงสาวนับไม่ถ้วน!
ในยามนั้นซูเสี่ยวเถียนยังคิดด้วยว่าทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ออกมาจากหมู่บ้านเดียวกัน แต่ทำไมถึงมีความต่างกันขนาดนี้?
แต่ความคิดนั้นก็มลายหายไป
พวกเขาทั้งสองคนเป็นเส้นขนานสองเส้น ถูกลิขิตให้มาเจอกันแค่ช่วงสั้น ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีวันได้มาประจบกันอีก!
ฉืออี้หย่วนมองดูสีหน้าของซูเสี่ยวเถียนที่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าความเศร้าโศกในดวงตาของสาวน้อยนั้นมาจากไหน
เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะสัมผัสผมของเธอ
แต่เอื้อมไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ชักมือกลับ
เขาไม่สมควรได้รับมัน!
เขาเป็นคนห้าประเภท เป็นเด็กเหลือขอ!
เด็กหนุ่มหยุดความคิดนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนทักทายผู้คนตรงหน้าอย่างมีสติ
“คุณปู่ซู พวกท่านมาได้อย่างไรกันครับ!”
เด็กหนุ่มในตอนนี้ทั้งเย็นชาและห่างเหิน ซ้อนทับกับชายหนุ่มวัยสามสิบในความทรงจำของซูเสี่ยวเถียน
“คุณปู่ของเธออยู่หรือเปล่า?” คุณปู่ซูพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณปู่กำลังทำความสะอาดคอกวัวอยู่ครับ พวกท่านรอสักครู่ผมจะไปเรียกเขาเอง” แม้ว่าเสียงของฉืออี้หย่วนจะเย็นชา แต่กลับสุภาพมากและไม่หยาบคายเลย
“ไม่ต้องหรอก ๆ เดี๋ยวฉันเดินไปหาเอง” คุณปู่ซูยังคงมีรอยยิ้มซื่อตรงบนใบหน้าของเขา
“แต่มันไม่สะอาดนะครับ!” เด็กหนุ่มพูดเสียงแข็ง