บทที่ 14 รู้คำเยอะแยะเลย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 14 รู้คำเยอะแยะเลย
บทที่ 14 รู้คำเยอะแยะเลย

ขณะที่เขาพูดก็มองไปยังซูเสี่ยวเถียนไม่ละสายตา

เคยได้ยินว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ได้รับความรักความห่วงใยจากคนในครอบครัวตระกูลซูอย่างท่วมท้น

เด็กที่โตมาด้วยการประคบประหงมเช่นนี้ จะทนต่อกลิ่นฉุนของคอกวัวได้เหรอ?

เขาไม่ยอมให้เธอเห็นด้านที่แย่ที่สุดของเขาแน่นอน

ความอ่อนไหวของเด็กหนุ่มทำให้เขาเกิดหวาดกลัวขึ้นมา

กลัวว่าซูเสี่ยวเถียนจะทนดูไม่ได้ และดูถูกเขา!

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นชาวไร่ชาวนา ใครจะไปกลัวเรื่องนี้กัน” คุณปู่ซูพูด แล้วนำซูเสี่ยวเถียนไปที่คอกวัว

“พี่อี้หย่วน พวกเราไปกันเถอะค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม

รอยยิ้มของเธอเหมือนกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว จังหวะนั้นน้ำแข็งในหัวใจของเด็กหนุ่มก็ได้หลอมละลายทีละนิด!

ฉือเก๋อกำลังทำความสะอาดมูลวัวอยู่ และเมื่อได้ยินว่าด้านนอกมีคนมาเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเป็นสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลซู

“อาจารย์ฉือ!” คุณปู่ซูทักทาย

“พวกคุณมาได้อย่างไรกัน เสี่ยวหย่วนพาไปทักทายในบ้านสิ ที่นี่สกปรกมากนะ” ฉือเก๋อว่าอย่างอับอาย

แขกผู้มาเยือนไม่มีเหตุผลที่ต้องมาทักทายกันในสถานที่แห่งนี้

“ไม่เป็นไรหรอกอาจารย์ฉือ พวกเราก็คนบ้านเดียวกัน คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ผมพูดตรง ๆ เลยนะ ตั้งแต่เด็กก็เคยต้อนวัวต้อนควายในบ้านเจ้าของที่ งานพวกนี้ทำมาไม่น้อยแล้ว” คุณปู่ซูพูดอย่างร่าเริง

ซูเหล่าซานเดินตรงแย่งพลั่วไม้จากฉือเก๋อแล้วเริ่มทำงานทันที

ฉือเก๋อพูดซ้ำอีก “แบบนี้ไม่ได้ นี่มันงานฉันนะ ไม่อยากทำให้พวกคุณลำบากใจ!”

“อาจารย์ฉือ ปล่อยให้เขาทำเถิด ลูกชายของผมคนนี้อึดอัดใจมาก พูดไม่ได้ แต่มีพละกำลังเยอะ”

คุณปู่ซูพูดไปพลางมองซูเหล่าซานอย่างชื่นชมไปด้วย เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจในตัวลูกชายคนนี้มาก

ซูเสี่ยวเถียนก้าวไปข้างหน้า ก่อนจับมือฉือเก๋อแล้วกล่าว “คุณปู่ฉือคะ พักก่อนเถอะค่ะ พ่อหนูทำงานเร็วนะคะ!”

ซูเหล่าซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ๆ ผมยังหนุ่มยังแน่น ใช้แรงไม่เท่าไรก็ทำเสร็จแล้ว อาจารย์ฉือ ท่านไปพักก่อนเถอะ”

พวกเขาช่วยสุดที่รักของครอบครัวเอาไว้ ช่วยงานแค่นี้จะไปมีอะไรมาก?

ยิ่งไปกว่านั้น คนแก่หนึ่งคนกับเด็กหนึ่งคนคงออกแรงได้ไม่มาก เทียบกับเขาที่พละกำลังแข็งแกร่งไม่ได้หรอก

แค่บังเอิญเห็นพอดี ถ้าเขาช่วยได้ก็จะช่วย!

ฉือเก๋อปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ซูเหล่าซานก็ยังยืนยันจึงทำได้เพียงขอบคุณเขาเท่านั้น

ซูเหล่าซานกำลังทำงาน ส่วนฉือเก๋อเชิญคุณปู่ซูไปนั่งที่บ้านของเขาสักหน่อย

คุณปู่ซูจับมือของซูเสี่ยวเถียน เดินตามฉือเก๋อไปในบ้านหลังเตี้ยที่อยู่ถัดจากคอกวัว

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเถียนได้มาอยู่ในบ้านสองปู่หลานบ้านฉือ แม้จะอยู่เตี้ยและทรุดโทรมไปสักหน่อย แต่เก็บกวาดได้สะอาดมาก

เห็นได้ว่าทั้งสองปู่หลานเป็นคนขยัน

ภายในห้องเล็ก ๆ บนเตียงเตาไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งวางกล่องใบเก่าไม่มีฝาปิดไว้บนนั้น ผ้านวมพับเก็บเรียบร้อย แต่มองเห็นผ้าฝ้ายที่ปลิ้นออกได้

นอกจากนั้นยังมีเตาดินที่ด้านบนวางหม้อ ถ้วยกับตะเกียบไว้ นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก

ซูเสี่ยวเถียนคาดไม่ถึงว่าชีวิตของบ้านฉือจะลำเค็ญขนาดนี้

คุณปู่ซูแสบจมูก น้ำตาเกือบจะไหลออกมา

บรรพบุรุษของตระกูลซูเป็นชาวนาที่ยากจนมาหลายชั่วอายุคน และชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้ดีนัก แต่เมื่อเห็นสภาพของสองปู่หลานถึงได้รู้ว่าอะไรคือความยากจนที่แท้จริง

อาจารย์ฉือเป็นคนรู้หนังสือ แล้วเหตุใดชีวิตถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้

“อาจารย์ฉือ ลำบากท่านแล้ว!” คุณปู่ซูถอนหายใจ

“ฉันได้รับน้ำใจมามากแล้ว ผู้คนในชุมชนการผลิตก็ดี ทำให้สองคนปู่หลานใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้” ฉือเก๋อพูดถอดถอนหายใจ

ช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมาในชุมชนการผลิต นอกจากจะความเป็นอยู่ย่ำแย่แล้ว เขายังไม่เคยได้รับความยากลำบากใดเลย

ตอนที่อาหารถูกแจกจ่ายในชุมชนการผลิต ก็ยังมีส่วนของสองปู่หลานอยู่ แม้จะน้อยกว่าคนอื่นไปสักหน่อย แต่งานที่พวกเขาต้องทำก็ไม่ได้มีเยอะ

ในบางครั้งผู้คนในชุมชนการผลิตยังส่งฟักทองหนึ่งลูก แตงครึ่งลูก และหัวไชเท้าสองหัวให้พวกเขาด้วย

กล่าวได้ว่า หากคนในชุมชนการผลิตไม่ใจดีและดูแลพวกเขามากขนาดนี้ บางทีคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก

“แต่ท่านเป็นผู้รู้หนังสือ ไม่ควรมีชีวิตเช่นนี้เลย” คุณปู่ซูพูดเสียงต่ำ

แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้ แต่มีความเคารพต่อพวกผู้รู้หนังสือ

“บอกตามตรง ฉันมีเพื่อนเก่าอยู่สองสามคนที่ชีวิตก็ไม่ได้ดีนัก มีสองคนที่คนหนึ่งเสียขาและอีกคนตายไปแล้ว” ฉือเก๋อพูดอย่างหดหู่

โชคของเขายังดีนัก หากไม่ใช่เพราะหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายเช่นนี้ จะมีชีวิตที่สะดวกสบายได้อย่างไร?

มนุษย์ต้องรู้จักพอ!

เราต้องรู้จักพอ!

“พวกคุณเป็นคนดี จะได้รับสิ่งดี ๆ อย่างแน่นอน ฉันเชื่อว่าภัยต่าง ๆ จะผ่านพ้นไปในที่สุด” ฉือเก๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

“คุณปู่ เราจะผ่านไปได้จริง ๆ ใช่ไหม?” ฉืออี้หย่วนถามทันที!

ซูเสี่ยวเถียนเห็นความฉงนสงสัยในดวงตาเด็กหนุ่ม

“พี่อี้หย่วน ถ้าคุณปู่ฉือบอกว่าจะผ่านไปได้ก็ต้องผ่านไปได้สิ!” ซูเสี่ยวเถียนตอบคำพูดของฉืออี้หย่วนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฉือเก๋อไม่ได้คาดหวังว่าเด็กหญิงอายุหกเจ็ดขวบจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด ทั้งยังสามารถตอบได้หนักแน่น!

“แกดูสิ น้องสาวยังพูดเลยว่าจะผ่านไปได้ เสี่ยวหย่วน แกยังเด็ก รอแกโตขึ้นเมื่อไร เรื่องทั้งหมดนี่ก็จะผ่านไปเอง!”

ฉือเก๋อรู้ว่ามีหนามที่ดึงไม่ออกในใจหลานชายอยู่ และปล่อยให้เขาตั้งคำถามกับสังคม

แต่เขาเชื่อว่าในที่สุด เมฆมืดครึ้มจะสลายหายไป และดวงอาทิตย์จะทำให้โลกส่องสว่างอย่างแน่นอน!

“เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ฟังเข้าใจด้วยเหรอ?” ฉืออี้หย่วนถามอย่างสงสัย

คุณปู่ซูก็มองหลานสาวตัวน้อยของเขาด้วยความสงสัย ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ

แต่เห็นได้ชัดว่าซูเสี่ยวเถียนหลานรักเข้าใจทุกอย่าง

“เสี่ยวหย่วน จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจแล้วสำคัญด้วยเหรอ? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรามีความฝัน แล้วก็เชื่อว่าความฝันของตนเองจะเป็นจริงในที่สุดนะ?” ฉือเก๋อมองหลานชายก่อนจะพูด

ฉืออี้หย่วนไม่ได้พูดอะไรสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อที่ปู่พูดจริง ๆ

“เถียนเถียนก็มีความฝันเช่นกัน คือให้พวกพี่ชายเรียนมหาวิทยาลัย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอีกครั้ง

“สาวน้อย หนูเพิ่งรู้แค่หนังสือไม่กี่คำก็รู้จักเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว?” ฉือเก๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันกับท่าทางของซูเสี่ยวเถียน

“เรียนมหาวิทยาลัย! ทะเยอทะยาน! หนูเข้าใจค่ะ!”

“แต่ว่าตอนนี้จะมีมหาวิทยาลัยจริง ๆ ได้อย่างไร?” ฉืออี้หย่วนกล่าว

มหาวิทยาลัยกรรมกร ชาวนาและทหารเป็นแค่สิ่งหลอกลวงเท่านั้น!

เขาไม่เคยรู้สึกว่าเป็นมันมหาวิทยาลัยที่แท้จริงเลย!

“พี่อี้หย่วน พี่ก็จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วย เป็นมหาวิทยาลัยจริง ๆ!” ซูเสี่ยวเถียนจับมือของฉืออี้หย่วนและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา

คำพูดพวกนี้ทำให้ฉือเก๋อยินดีที่จะเชื่อ

“สาวน้อย หนูชอบอ่านหนังสือหรือไม่ หนูรู้หนังสือกี่คำแล้ว?”

ฉือเก๋อเริ่มสนใจ และไม่ได้เจอเด็กฉลาดแบบนี้มานานแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ชอบค่ะ รู้คำศัพท์เยอะแยะเลย”

คุณปู่ซูรู้ว่าหลานสาวตัวน้อยไม่ได้ไปโรงเรียนมาสองสามเดือนแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเธอแค่พูดหยอกล้อ

ก็ยังตลกอยู่ดี เด็กคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างไร

ฉือเก๋อกล่าวว่า “ปู่ให้หนังสือพิมพ์หนูหนึ่งแผ่นนะ หนูอ่านได้ไหม”

มันเป็นหนังสือพิมพ์ที่หัวหน้าชุมชนการผลิตส่งมาให้ เหตุผลก็คือต้องการให้ฉือเก๋อเรียนเยอะ ๆ จะได้เปลี่ยนใจ และยอมรับการปรับเปลี่ยน

แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะว่ามีคนจำนวนไม่มากนักในชุมชนการผลิตที่อ่านหนังสือพิมพ์เข้าใจ และมีความล้ำลึกบางอย่างที่ผู้นำชุมชนการผลิตก็ไม่รู้จะทำความเข้าใจอย่างไร จึงต้องการให้ฉือเก๋อช่วยตีความ

ซูเสี่ยวเถียนรับหนังสือพิมพ์มาอย่างนิ่งสงบ มือขาวละเอียดสองข้างถือหนังสือพิมพ์ พร้อมที่จะเริ่มอ่าน