บทที่ 15 หนูคุกเข่าโขกศีรษะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 15 หนูคุกเข่าโขกศีรษะ
บทที่ 15 หนูคุกเข่าโขกศีรษะ

เมื่อเห็นท่าทางอันมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของซูเสี่ยวเถียน ผู้เฒ่าทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังลั่น!

“ดูสาวน้อยคนนี้สิ มั่นอกมั่นใจยิ่งนัก!”

“เจ้าเด็กคนนี้แก่แดดเสียจริง ถูกพวกเราตามใจจนเสียคนแล้ว! อาจารย์ฉืออย่าล้อเล่นกันเลย!” คุณปู่ซูกล่าวอย่างสุภาพ

แต่ในน้ำเสียงกลับมีความรู้สึกภาคภูมิใจและดีใจจนตัวลอยที่อธิบายออกมาไม่ได้

ซูเสี่ยวเถียนเป็นที่โปรดปราน นี่คือความจริงที่ทุกคนในหมู่บ้านรู้

แม้แต่ฉืออี้หย่วนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นก็รู้สิ่งสองสิ่ง

เดิมทีเขาคิดว่าเด็กที่ถูกประคบประหงมจะเย่อหยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีนิสัยดีเช่นนี้

“เด็กแบบเสี่ยวเถียนมักเป็นที่เอ็นดูของทุกคน” ฉือเก๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมจากใจจริง

ทั้งสองสนทนากัน แต่ได้ยินซูเสี่ยวเถียนถือหนังสือพิมพ์ขึ้นมา แล้วอ่านอย่างตั้งใจ

ถ้าเธออายุสิบห้าหรือสิบหกปีพวกเขาคงไม่คิดอะไร

แต่เป็นเด็กหกเจ็ดขวบที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือพิมพ์ โดยอ่านไม่ตะกุกตะกักเลยสักนิด น่าเหลือเชื่อมาก

ชายชราทั้งสองตกใจ

โดยเฉพาะฉือเก๋อที่เดิมทีถือถ้วยเตรียมจะดื่มน้ำ ก็มือสั่นเกือบจะทำมันตก

คุณปู่ซูไม่รู้หนังสือ แต่ตอนที่ได้ฟังพวกหลานชาย พวกเขายังอ่านตะกุกตะกัก หลานสาวคนเล็กจะอ่านคล่องได้อย่างไรกัน?

เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะรู้จักคำพวกนี้จริง ๆ?

คงไม่ใช่หรอกกระมัง ครูคนเดียวกันสอน ทำไมถึงมีความแตกต่างขนาดนี้ได้เล่า?

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉือเก๋อก็ถามอย่างไม่เชื่อหู “น้องชายซู ขอถือวิสาสะถามสักประโยค เด็กคนนี้พัฒนากี่ขวบแล้ว?”

บนหนังสือพิมพ์แผ่นนี้มีคำไม่คุ้นเคยมากมายอยู่ แทบไม่ต้องพูดถึงเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเลย ฉืออี้หย่วนก็ยังไม่อ่านคล่องเช่นนี้

“พัฒนาการคืออะไรหรือ?” คุณปู่ซูถามอย่างสับสน

“หมายถึงว่าเด็กเขาเริ่มอ่านตั้งแต่อายุเท่าไร?” ฉือเก๋อพูดอย่างเร่งรีบ

“ปีที่แล้วเอง เธอเห็นพวกพี่ ๆ ไปเรียนหนังสือหมดแล้วก็โวยวายอยากเรียนบ้าง เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องส่งไปโรงเรียน มากสุดไม่ถึงปี” คุณปู่ซูกล่าว

“มันแปลกนะ มันแปลกมาก! เป็นต้นกล้าดีที่เกิดมาเพื่ออ่านหนังสือเลย!” ฉือเก๋อเดินวนไปมาอยู่ในห้องเล็ก ๆ อย่างตื่นเต้น

ระยะเวลาหนึ่งปีก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้คล่องขนาดนี้ นี่มันเด็กวิเศษอะไรกัน?

หากเป็นเด็กทั่วไป แค่เวลาหนึ่งปีไม่ต้องพูดถึงอ่านหนังสือพิมพ์เลย จำได้ร้อยคำก็ดีถมถืดแล้ว

“เด็กดี มานี่มา ปู่ฉือถามหน่อย หนูจำคำพวกนี้ได้อย่างไร”

เป็นไปได้หรือไม่ว่าในหมู่บ้านนี้ยังมีคนมากความสามารถจริง ๆ ซ่อนอยู่? ถึงสามารถสอนเด็กที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้!

ซูเสี่ยวเถียนเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง “แค่ดูก็รู้แล้วค่ะ”

แค่ดูก็รู้แล้วงั้นเหรอ?

นี่มันคำตอบเทพเซียนอะไรกัน?

คุณปู่ซูตะลึงงัน ฉือเก๋อหัวหมุน ฉืออี้หย่วนงุนงง!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉืออี้หย่วน ยามมองไปยังซูเสี่ยวเถียน เขาบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร

เขาฉลาดตั้งแต่เด็ก มีหลายคนยกย่องในความสามารถและสติปัญญาของเขา ตั้งแต่สามขวบปู่ก็ได้สอนเป็นการส่วนตัว จวบจนตอนนี้แล้ว อย่างมากที่สุดก็อยู่ระดับเดียวกับสาวน้อย

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจำคำได้มากมายเพียงแค่มองพวกมัน!

ในตอนนั้นฉืออี้หย่วนรู้สึกว่ากำลังเสียชื่อเสียงด้านความสามารถและความรู้ไป

เมื่อเทียบกับซูเสี่ยวเถียนแล้ว เขาไม่มีคุณสมบัติเลยสักนิด

“น้องชายซู ครูในหมู่บ้านมีใครอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

แม้ฉือเก๋อจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังถามออกมา

คุณปู่ซูส่ายหัว “เป็นเด็กมีการศึกษาสองคนมาจากเมือง สอนมาหลายปีแล้ว พวกเขายังสอนหลานคนอื่น ๆ ของผมด้วย”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูเสี่ยวเถียนคนนี้เป็นกรณีพิเศษ

เด็กหลายคนถูกสอนโดยครูคนเดียวกัน แต่คนหนึ่งเรียนได้ แต่คนอื่นยังเรียนไม่ค่อยได้

นั่นคือพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ฉลาดเป็นเลิศ!

“น้องชายซู หลานสาวของคุณน่าทึ่งมาก! ฉันไม่เคยเห็นเด็กที่ฉลาดขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต” ฉือเก๋อพูดอย่างตื่นเต้นขณะจับมือคุณปู่ซู

คุณปู่ซูยังคงงุนงง แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหลานสาวตัวน้อยฉลาด แต่ไม่ยักจะรู้ว่าฉลาดขนาดนี้ แม้แต่ครูใหญ่จากเมืองหลวงก็ยังต้องยกย่อง

ซูเสี่ยวเถียนฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจ

เธอฉลาดที่ไหนกัน ก็แค่ได้เรียนรู้มาจากชีวิตครั้งก่อนแล้วก็หยิบยกมาใช้ใหม่เท่านั้นเอง

แต่ในไม่ช้า ซูเสี่ยวเถียนก็รู้ได้ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่ผลงานของชีวิตครั้งก่อนทั้งหมด

ชีวิตครั้งก่อนเธอได้เรียนถึงแค่มัธยมต้นเท่านั้น และการเรียนรู้ก็มีอยู่อย่างจำกัด

ดูเหมือนว่าการอ่านหนังสือในทุกวันนี้ ทำให้เธอได้เรียนรู้คำศัพท์มากมาย และได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจมาก่อน

และนอกจากนี้ ในกระบวนการอ่าน เธอยังค้นพบว่าความจำของเธอยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ

อ่านแค่รอบเดียวก็จะเนื้อหาในหนังสือได้อย่างแจ่มแจ้ง

“เธอเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ในหมู่บ้านมีแต่คนไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนฉือเก๋อเป็นคนแก่เรียนจากเมืองใหญ่ อีกฝ่ายบอกว่าน้องเถียนหลานรักบ้านเขาฉลาดจริง ๆ

คำชมเชยจึงแตกต่างกัน

“ไม่ใช่ดีเฉย ๆ แต่ดีมากต่างหาก ดีมาก ๆ เลย น้องชายซู หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อนฉันคงขอให้คุณขอร้องเธอให้รับฉันเป็นครู แล้วสอนทุกอย่างที่ฉันได้เรียนรู้ในชีวิตให้เธออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้…”

ขณะที่ฉือเก๋อพูด ภายในใจที่ตื่นเต้นก็ค่อย ๆ สงบลง แล้วตระหนักได้ถึงความเป็นจริงที่ว่า

เด็กคนนี้เกิดในเวลาช่วงเวลาไม่เป็นใจ…

น่าเสียดายนัก!

ไม่มีครูดี ๆ ในชุมชนการผลิตเลย ไม่ว่าเด็กจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่ก็ถูกกำหนดไม่ให้ได้เรียนมากนัก

ทั้งชีวิตนี้กลัวแค่ว่าจะเป็นเพียงคนธรรมดา

แต่ถ้าเขาสอน มันจะเป็นการทำร้ายเด็กคนนี้!

“คุณปู่ฉือ ท่านสอนหนูได้ไหมคะ” ซูเสี่ยวเถียนถามทันที

ฉือเก๋อสงสัย

ไม่ใช่ว่าไม่อยากสอน แต่เด็กดีเช่นนี้ที่บังเอิญได้เจอนับว่าโชคนัก เป็นโชคดีเลย

“เด็กเอ๋ย หลานเป็นเด็กดี แต่ปู่กลัวว่าการสอนหลานจะเป็นการทำร้ายหลานเอาได้”

ฉือเก๋อลูบหัวของซูเสี่ยวเถียนแล้วถอดถอนใจ คิดว่าคำพูดเช่นนี้ซูเสี่ยวเถียนคงฟังไม่เข้าใจแน่

“คุณปู่ฉือ พวกเราแอบเรียนก็พอ หนูมาหาปู่ตอนคนอื่นไม่สนใจได้นะ ไม่ต้องสอนนานก็ได้ แค่ชั่วโมงเดียวก็พอค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนตอบดังฟังชัด

ฉือเก๋อเป็นนักประพันธ์คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรเท่านั้น ยังเชี่ยวชาญภาพวาด แม้เขาจะไม่ใช่คนที่เก่งทุกอย่าง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นความสามารถที่หายาก

หากสามารถทำให้ฉือเก๋อเป็นครูได้ ความโชคดีของเธอก็ดีขึ้นไปอีก

เห็นได้ชัดว่าฉือเก๋อไม่ได้คาดหวังว่าซูเสี่ยวเถียนจะตอบเช่นนี้

ในที่สุดความพยายามก็สำเร็จผล ฉือเก๋อตอบตกลงที่จะสอนซูเสี่ยวเถียน

เมื่อได้ยินคำตอบของฉือเก๋อ เธอรีบคุกเข่าโขกศีรษะลงบนพื้น

การกระทำของเด็กหญิงตัวเล็กทำให้หลายคนตื่นตกใจ

“เด็กดี ไม่จำเป็นเลย หากถูกคนอื่นเห็นกลัวว่าจะทำให้เกิดปัญหาได้นะ” ฉือเก๋อพูดแล้วดึงซูเสี่ยวเถียนขึ้นให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

การคุกเข่าโขกศีรษะเป็นชนชั้นศักดินา และควรละทิ้งไปได้แล้ว

หากถูกคนเห็นว่าซูเสี่ยวเถียนคุกเข่าโขกศีรษะให้เขา ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรจริง ๆ

“คุณปู่ฉือ หนูโขกศีรษะให้แล้ว ท่านต้องยอมรับแล้วนะ!” ดวงตากลมโตของซูเสี่ยวเถียนกะพริบปริบ และเอ่ยถ้อยคำน่ารัก

การแสดงออกเช่นนี้ดูเหมือนกับว่ากลัวฉือเก๋อจะกลับคำ

แต่ท่าทางของเธอกลับทำให้ฉือเก๋อหัวใจละลาย

สาวน้อยคนนี้ไม่เพียงฉลาด แต่ยังมีสายตาหลักแหลมอีกด้วย

เด็กคนนี้จะไม่เหลวแหลกในอนาคตอย่างแน่นอน!

เขาพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ปู่ไม่กลับคำหรอก เพียงแต่ว่าหลังจากนี้หนูไม่จำเป็นต้องเรียกปู่ว่าอาจารย์หรอก เรียกแค่ปู่ฉือก็พอ”

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่เธอสามารถกอบโกยความรู้จากผู้อาวุโสได้ก็พอแล้ว ให้เรียกว่าอะไรก็ไม่สำคัญหรอก

“คุณปู่ฉือ หนูเข้าใจแล้ว”