ตอนที่ 21 อาการป่วยที่ทรุดลง หมอผีแสดงอภินิหาร

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 21 อาการป่วยที่ทรุดลง หมอผีแสดงอภินิหาร

ทว่าในเวลานี้ พลังทั้งหมดที่หนิงเซ่าชิงมีนั้นล้วนใช้เพื่อระงับอาการพิษหนาวไปหมดสิ้นแล้ว พิษหนาวที่อยู่ในกายนั้นเมื่อเจอยาชนิดนี้เข้าไปทำให้มีฤทธิ์ส่งเสริมทำให้มันออกฤทธิ์ได้มากกว่าปกติหลายเท่าตัวนัก

เขารู้สึกเวียนหัว แต่ยังคงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อดึงพลังออกมาเพื่อขับฤทธิ์ยาที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยออกไปเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อขับฤทธิ์ยาออกจากร่างกายได้ พิษหนาวที่โดนกดอยู่ภายในกายนั้นจึงได้รับการกระตุ้น จนความเจ็บปวดแตกซ่านไปทั่วกาย

หนิงเซ่าชิงตัวสั่นเทา สมองของเขาคิดย้อนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต

……

ในร้านขายอุปกรณ์ชา มั่วเชียนเสวี่ยเลือกชุดชาทำมือมาชุดหนึ่งและซื้อชาดีๆ อีกเล็กน้อย จากนั้นจึงจ้างรถม้าเพื่อมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านหวังจยา

เมื่อกลับถึงบ้าน มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าบรรยากาศภายในบ้านดูเงียบผิดปกติ จึงคิดว่าหนิงเซ่าชิงคงออกไปสอนหนังสือยังไม่กลับมาแล้วเดินฮัมเพลงนำชุดชาที่ซื้อมาใหม่ไปทางห้องครัว ต้มน้ำร้อนชงชาคุณภาพดีที่ซื้อมาด้วย

ในโลกปัจจุบันมั่วเชียนเสวี่ยถือว่าเป็นนักชงชาฝีมือดี เพราะต้องชงชาดื่มกับเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปตัวนางก็กลายเป็นนักชงชาฝีมือดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ในโลกสมัยโบราณนี้ ชีวิตแสนลำบาก แม้แต่ชาคุณภาพต่ำยังไม่มีติดบ้าน อุปกรณ์ชงชายิ่งไม่ต้องพูดถึง

เมื่อถือป้านน้ำชาเดินมาในห้อง จึงพบว่าหนิงเซ่าชิงนอนอยู่บนเตียง

วันนี้มั่วเชียนเสวี่ยเจรจาเรื่องค้าขายสำเร็จ ซื้อหนังสือดีๆ และชุดน้ำชาเครื่องเคลือบ เป็นธรรมดาที่นางจะอารมณ์ดีเป็นอย่างมากราวกับว่านางได้ของล้ำค่า นำถาดใส่ชาวางไว้ข้างเตียง ยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เซียนเซิง ตื่นขึ้นมาดื่มชาก่อนเถิด! นี้เป็นชาที่วันนี้ข้าตั้งใจ…”

ไม่รอให้นางพูดจบ หนิงเซ่าชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับใช้ฝ่ามือปัดถาดชาคว่ำลง

กาและแก้วน้ำชาร่วงหล่นแตกกระจายอยู่เต็มพื้น

น้ำชา ใบชาสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณใบหน้าและหัวของมั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเชียนเสวี่ยที่จู่ๆ โดนกระทำเช่นนี้จึงทั้งตกใจและโมโห พูดจาซ้ำๆ วกวน “ท่าน ท่าน…”

หนิงเซ่าชิงที่ยังสติเลอะเลือนอยู่นั้น ดวงตาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน มองเห็นเพียงภาพใบหน้าทับซ้อนกัน ใบหน้าของเขานั้นเย็นชาพลางพูดจาเหยียดหยาม “ออกไป นังหญิงชั้นต่ำ!”

เมื่อต้องเผชิญกับคำด่าทออย่างไม่ทันตั้งตัว สมองของมั่วเชียนเสวี่ยก็พลันขาวโพลน

นางไม่ได้ลูบน้ำชาที่อยู่บนใบหน้าทิ้ง ไม่ได้หยิบใบชาที่ติดอยู่บนหัวออก ทำได้เพียงคุกเข่าลงบนพื้นช้าๆ อย่างไร้ความรู้สึกพลางเก็บเศษแก้วและทำความสะอาดห้อง

มือของมั่วเชียนเสวี่ยโดนเศษแก้วบาดแต่นางกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น หลังสิ้นเสียงด่าว่านางเป็นหญิงชั้นต่ำนั้น ใจก็รู้สึกแตกสลาย

มั่วเชียนเสวี่ยถามใจตัวเอง แม้แรกเริ่มที่นางดูแลเขาเพราะกลัวว่าตนจะถูกขายไปเป็นทาส ทว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นางดูแลและปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจมาตลอด อย่างไรเสีย ในโลกนี้เขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดนางมากที่สุดและเป็นคนที่นางใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากที่สุด นางเคยคิดว่าอยากอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า เคยคิดว่าจะมีชีวิตคู่ที่งดงามกับเขา อยากปลูกบ้านสร้างเรือนเพื่อเลี้ยงลูกหลานด้วยกันอย่างมีความสุข

แต่ในสายตาของเขามองนางเป็นอะไรกัน เป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง? เป็นแม่ครัวคนหนึ่ง? หรือว่าเป็นเพียงหญิงชั้นต่ำ!

หรือนางจะคิดผิดไปเอง แต่นางก็รับรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งว่าตัวเขายังมีเศษเสี้ยวของความรักความห่วงใยให้กันอยู่บ้าง

มีหลายครั้งที่แม้เขาทำเป็นมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทว่าสายตาที่ดูแปลกนั้นกลับทรยศตัวเขาหรือว่าตัวนางจะเข้าใจผิดไปเอง รู้สึกไปเองอย่างนั้นหรือ

เมื่อวานนี้ เขายังอมยิ้มมองมาทางนางและยังบอกว่าจะช่วยนางดูแลกิจการขายเต้าหู้อยู่เลย

หลังเสียงวุ่นวาย ความเงียบก็ได้เข้ามาแทนที่ บรรยากาศที่หยุดนิ่งและเศร้าโศกนั้นได้เรียกสติของหนิงเซ่าชิงกลับมา เขาเริ่มปรับระดับสายตาได้และตั้งใจเพ่งมองอีกครั้ง หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือมั่วเชียนเสวี่ย…

เมื่อมองเห็นว่าห้องระเกะระกะ เขาก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นรุนแรงเพียงใด หนิงเซ่าชิงที่อ้าปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา มือที่ยื่นออกไปก็ค่อยๆ เก็บเข้ามาอย่างช้าๆ

เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้นางให้อภัยตนเอง! เขาเป็นเพียงคนที่กำลังจะตาย มีสิทธิ์อะไรมารับสิ่งดีๆ เช่นนี้อีก

หลังเก็บกวาดเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ยกถาดที่เต็มไปด้วยเศษแก้วออกไปจากห้องอย่างใจลอย เรี่ยวแรงที่มีอยู่ถูกใช้ในชั่ววินาทีนั้นจนหมดสิ้น มั่วเชียนเสวี่ยปลีกตัวมานั่งอยู่ใต้ต้นหลิวที่อยู่ด้านนอกอย่างหมดแรง พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆลอยมาก้อนหนึ่ง ชั่วเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าก็ดูมืดมัวขึ้นมาทันใด เหมือนกับใจของนางที่มืดมัวเช่นกัน ความมืดมัวนี้ได้กลืนกินไปทั่วท้องฟ้า พื้นดิน และตัวนาง บรรยากาศมืดฟ้ามัวดินทำให้ทุกอย่างสลายราวเถ้าถ่าน รวมไปถึงตัวนางด้วย

หนิงเซ่าชิงฝืนลุกขึ้นมา แอบมองผ่านช่องประตู แอบมองดูหญิงสาวที่พยายามเงยหน้า นางกำลังพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหลออกมา เขากำมือขึ้นช้าๆ…มือที่กำจนแน่น แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย กลับกันที่ใจของเขานั้นเจ็บปวดราวกับแตกสลายไปแล้ว

เขายกกำปั้นขึ้นมาปะทะบริเวณริมฝีปาก ใช้ฟันกัดอย่างแน่น ยามนี้ที่มือของเขามีเลือดไหลออกมา

เมื่อเวลาผ่านไป เขาค่อยๆ คลายมือลงพลางล้มลงไปบนเตียง

ให้นางเกลียดเขาเถิด! เช่นนี้หลังจากที่ตกตายไป นางจะได้ไม่เสียใจและคงจะมีความสุขได้

ให้เป็นเช่นนี้เถิด…

……

ช่วงต้นฤดูหนาว ลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้จากต้นหอมหมื่นลี้ในสวนร่วงโรย หญิงสาวนั่งเหม่อลอยมองไปบนท้องฟ้า

มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น เป็นเสียงของประตูที่ถูกเปิดดออกพร้อมกับเด็กอายุประมาณสิบขวบเดินเข้ามา มองเห็นหญิงสาวนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นไม้ “อาจารย์หญิง…อาจารย์หญิง?”

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้สติจึงพบว่าซวนจื่อมายื่นอยู่ตรงหน้าแล้ว

ต่อให้เสียใจอย่างไรก็ไม่อาจทำขายหน้าเด็กได้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงยิ้มเอ่ยถาม “ซวนจื่อ เจ้ามาได้อย่างไร”

“อาจารย์หญิง ซวนจื่อเคาะประตูตั้งนานแต่ไม่มีใครตอบรับจึงเดินเข้ามาเอง”

ซวนจื่อพูดอธิบาย เห็นว่าบนหัวของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีใบชาอยู่ ทั่วร่างกายมีคราบชา บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูเหมือนอยากร้องไห้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์หญิง ท่านเป็นอะไรขอรับ”

“ไม่มีอะไร แค่ไม่ทันระวังทำแก้วชาแตกเฉยๆ แม่เจ้าให้เจ้ามางั้นหรือ มีเรื่องอะไรกันล่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยอธิบายอย่างคร่าวๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง

เมื่อซวนจื่อเห็นว่าสีหน้าของอาจารย์หญิงดูสงบดีแล้ว ไม่ได้มีสีหน้าที่ดูโศกเศร้าเฉกเช่นตอนแรก ความสงสัยที่มีจึงมลายหายไปและเอ่ยถามขึ้น “วันนี้ตอนบ่ายท่านอาจารย์ไม่ได้ไปที่โรงเรียน ซวนจื่อจึงมาดูด้วยตนเองว่าท่านอาจารย์ไม่สบายหรือเปล่า”

คำพูดของซวนจื่อทำให้มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจเป็นอย่างมาก จนใจตกลงไปอยู่ตาตุ่ม

ในเวลานี้ หนิงเซ่าชิงควรอยู่ที่โรงเรียนไม่ใช่นอนอยู่ที่บ้าน!

เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบและนอนขี้เกียจอยู่ที่บ้าน

เขาเป็นคนมีกาละเทศะ ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายสิ่งของโดยไร้ซึ่งเหตุผล และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้คำหยาบคายตามอำเภอใจเพื่อทำร้ายกันเช่นนี้

เรื่องผิดปกติเช่นนี้จะต้องมีเบื้องหลังเป็นแน่!

นางลุกขึ้นมาในทันที เดินพุ่งไปที่ประตู

นี่คือจุดที่นางไม่ทันสังเกต! ไม่ได้ดื่มชานานแล้ว เมื่อได้กลิ่นหอมของชา สมองของนางจึงทื่อไป

เมื่อเข้าประตูไป เห็นหนิงเซ่าชิงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ห่มผ้า

ใจของนางรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันใด!

แต่ไหนแต่ไรคำพูดและกริยาท่าทางของหนิงเซ่าชิงนั้นงดงามและสง่าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนกินข้าวหรือว่าตอนนอน ทำให้คนรู้สึกสดชื่นราวอยู่ท่ามกลางสายเสมอ

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจเรื่องของกาละเทศอะไรแล้ว รีบเดินเข้าไปเรียก “เซียนเซิง ท่านเป็นอะไรหรือ”

เสียงที่ดังและดูรีบร้อนเช่นนี้ แต่หนิงเซ่าชิงกลับยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ ในขณะนั้นใจของมั่วเชียนเสวี่ยเหมือนโดนก้อนหินก้อนใหญ่ทับอยู่ ตัวสั่นเทารีบยื่นมือไปจับ

หมดหวัง! หมดหวังแล้ว!

หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป มั่วเชียนเสวี่ยที่โดนสภาพของคนตรงหน้าทำให้ตกใจได้สติกลับมา เดินออกไปที่หน้าประตูและตะโกนเรียกไม่หยุด “ซวนจื่อ…ซวนจื่อ…เร็วเข้า”