ตอนที่ 22 ร้อยวันที่แสนวุ่นวาย

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 22 ร้อยวันที่แสนวุ่นวาย

“อาจารย์หญิง ท่านอาจารย์เป็นอะไรไป ซวนจื่อได้ยินเสียงร้องราวกับใจแตกสลายของอาจารย์หญิง เลยรีบวิ่งเข้ามา”

“ซวนจื่อ รีบ..รีบไปตามแม่ของเจ้ามา!”

“ขอรับ!”

ถึงแม้ซวนจื่อจะไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาส่งเสียงตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไป

ไม่นาน อาซ้อฟางก็มาถึง

อีกสักพัก เหล่าผู้อาวุโสก็มาถึง

สุดท้าย หมอผีจากหมู่บ้านฝั่งตะวันตกก็มาถึง

“อาซ้อฟาง หมู่บ้านหวังจยาไม่มีหมอสักคนเลยหรือ”

หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสกลับไป มั่วเชียนเสวี่ยก็มองเข้าไปในห้อง เห็นปากของหมอผีคนนั้นเหมือนพึมพำและทำการแสดงอภินิหารอยู่ ทันใดนั้นนางขมวดคิ้วแน่น

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ สีหน้าที่ดูตึงเครียดของหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสหลายคนกระซิบกระซาบกัน แม้ไม่ได้พูดออกมาก็รู้ได้ว่าอาการป่วยนั้นค่อนข้างหนัก ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปก็ได้พูดปลอบใจว่าหลังหมอผีทำพิธีเรียกขวัญให้อาจารย์หนิงแล้วเขาจะฟื้นขึ้นมา แต่ตัวนางไม่ได้เชื่อตั้งแต่แรกแล้ว

“หมอที่รู้หนังสือและเขียนใบสั่งยาได้ ที่หมู่บ้านหวังจยามีพอมีบ้างไหม” เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาซ้อฟางจึงพูดปลอบใจ “หนิงเหนียงจื่อ เจ้าวางใจได้ หมอผีผู้นี้ศักดิ์สิทธิ์มากนะ! ในหมู่บ้านนี้เมื่อมีคนปวดหัวตัวร้อน เพียงนางมอบน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ แค่ดื่มก็หายจากอาการป่วยแล้ว”

โง่เขลา!

หากปวดหัวตัวร้อน นั่นก็แสดงว่าเป็นไข้ แค่ดื่มน้ำต้มสะอาดมากๆ ก็หายแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อยากเสียงเวลาโต้เถียงกับนาง “หากอยากพบหมอ จะต้องไปที่เมืองเทียนเซียงใช่หรือไม่”

“แน่นอน แต่ว่าช่วงเวลากลางคืนหมอในเมืองเทียนเซียงไม่ได้ออกตรวจ” อาซ้อฟางคิดอยู่สักพักจึงเอ่ยขึ้นมา “แต่ว่า หมู่บ้านหลี่จยาที่อยู่ห่างจากที่นี่สิบกว่าลี้ ที่นั่นมีหมออยู่คนหนึ่ง ได้ยินมาว่าการรักษาของเขานั้นยอดเยี่ยมนัก บางครั้งแม้แต่คนสูงศักดิ์ในเมืองก็มาขอยาที่นั่น แต่…ได้ยินมาว่าค่าใช้จ่ายสูงนัก…”

“อาซ้อ วานให้พี่ต้าถังช่วยพาข้าไปหมู่บ้านหลี่จยาสักรอบเถิด”

เมื่อใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวท้องฟ้าย่อมมืดเร็วขึ้น ท่าเรือน่าจะหยุดทำการ ฟางต้าถังคงกลับมาแล้ว

“หนิงเหนียงจื่อ ทำเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง หรือไม่…”

อาซ้อฟางพูดไปก็พลางมองเข้าไปด้านใน หมอผีท่านนั้นที่แสดงอภินิหารอย่างยิ่งใหญ่อยู่ ความหมายที่จะสื่อนั้นชัดเจน หากไปเชิญท่านหมอมาจะเป็นการล่วงเกินหมอผีหรือเปล่า

“อาซ้อแค่บอกให้พี่ต้าถังไปก็พอ น้องไม่อาจทรมานสามีได้อีกต่อไปแล้ว” นางไม่อาจฝากชีวิตของหนิงเซ่าชิงไว้กับหมอผีได้! มั่วเชียนเสวี่ยกลั้นน้ำตาพลางจัดการกับความเสียใจและความหวาดหวั่น สีหน้าจึงดูนิ่งขึ้นเล็กน้อย

“หนิงเหนียงจื่อ เชิญหมอมารักษาค่ายาแพงมากนัก”

สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งดูนิ่งมากขึ้น ไม่แปลกที่เมื่อครู่ตอนที่เหล่าผู้อาวุโสมาถึง นางพูดว่าจะเชิญหมอมา หวังเอ้อร์ถึงขั้นตะคอกใส่นางว่าเป็นสตรีจะไปรู้เรื่องอะไร!

สายตาของหัวหน้าหมู่บ้านก็ดูลังเล ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ที่แท้ก็กลัวจะได้เสียเงิน คงกลัวนางจะไปยุ่งกับทรัพย์สมบัติหมู่บ้านหวังจยาของพวกเขา

“อาซ้อไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน” มั่วเชียนเสวี่ยทำอารมณ์ให้เย็นลง พลางหยิบเงินออกมาหลายตำลึง จากนั้นนำทั้งหมดไปวางไว้ในมืออาซ้อฟาง

อาซ้อฟางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เงินนี้เจ้าเก็บไว้…”

อาซ้อฟางส่งเงินกลับไปในแขนเสื้อของมั่วเชียนเสวี่ย นึกถึงเวลาที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เหล่าผู้อาวุโสและหมอผีเจรจากันอยู่พักหนึ่ง พลางส่ายหน้าเบาๆ และมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยที่มีแววตาโศกเศร้า คิดอยู่พักหนึ่งก็หันหลังจะเดินออกไป

“อาซ้อเร่งพี่ต้าถังหน่อยนะ ไปยืมเกวียนดีๆ มาสักเล่มหนึ่ง…”

“หนิงเหนียงจื่ออยู่ที่นี่ดูแลท่านอาจารย์ให้ดีก็พอแล้ว เรื่องอื่นข้าจะจัดการให้เอง เจ้าสบายใจได้ ข้าจะเชิญหมอมาให้เจ้าก่อนฟ้าจะมืด”

เมื่ออาซ้อฟางไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยใบหน้าสงบนิ่งเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับตวาดใส่หมอผีที่กำลังพูดพึมพำและกระโดดไปมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ออกไป!”

หมอผีสวมหน้ากากผี กำลังกระโดดไปมาอย่างได้ที่ เมื่อได้ยินเสียงตวาดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชานั่น การกระทำทุกอย่างที่อยู่ตรงนั้นได้หยุดลง ท่าทางดูน่าขบขันยิ่งนัก ทว่านี่ไม่ใช่เวลาที่มั่วเชียนเสวี่ยจะมีกะจิตกะใจหัวเราะ

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

มั่วเชียนเสวี่ยก้าวไปด้านหน้าและจ้องเขม็งไปที่หมอผีแล้วค่อยๆ พูดให้ชัดเจนที่ละคำ “ข้า บอก ว่า ออก ไป…”

“เหอะ! คนที่ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้า ต้องถูกลงโทษ….”

ในขณะที่หมอผีพูดอยู่นั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ไปนั่งอยู่ที่หัวเตียงเรียบร้อยแล้ว สายตาจ้องมองไปยังหนิงเซ่าชิงโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ออกไป…”

หมอผีมองไปทางคนที่อยู่บนเตียงที่หายใจโรยริน นางจึงคิดอยู่ในใจ ยังไงก็รับเงินมาแล้ว ทำงานน้อยลงและยังมีคนมารับผิดชอบแทนก็แค่ยอมถอย ในตอนนี้นางก็อายุมากแล้ว กระโดดเพียงครู่เดียวก็เหนื่อยสุดๆ

มองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยที่มีอาการซึม สองมือหมอผีเก็บเครื่องแต่งกายของตนและส่งเสียงไม่พอใจ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะออกมาก็ขบคิดแผนไว้ รอให้สามีของนางขาดใจตายก่อนเถิด นางก็จะกลายเป็นหม้ายไร้สามีและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต! ให้นางลิ้มรสว่าการล่วงเกินหมอผีเช่นนี้จะมีผลร้ายแรงแค่ไหน!

……

ณ บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

หวังเอ้อร์เอ่ย “หัวหน้าหมู่บ้าน อาจารย์หนิงผู้นี้เกรงว่าจะไม่รอดเสียแล้ว”

หัวหน้าหมู่บ้านเงียบไปครู่หนึ่งพลางถอนหายใจ “ทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ต้องให้ฟ้าดินลิขิต! คนดีฟ้าดินย่อมคุ้มครอง หวังว่าอาจารย์หนิงจะก้าวผ่านเคราะห์นี้ไปได้….”

ฟางอู่เอ่ย “ข้าดูแล้วคงไม่จริง เห็นท่าทางร่อแร่ หมอผีคนนั้นก็เชิญมาเสียเปล่า ทั้งยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไปก่อนอีก… ”

หลี่ปาเอ่ย “เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ เชียว แต่ได้ยินมาว่าหนิงเหนียงจื่อผู้นั้นทำอาหารได้รสชาติไม่เลวและดูแปลกใหม่เป็นอย่างมาก หากนำเข้าไปในเมืองไม่แน่อาจจะขายได้ราคาดี หากสตรีในหมู่บ้านเราทำเป็นคงจะดี ก่อนที่จะนำไปขายเป็นทาส ต้องให้นางบอกสูตรทั้งหมดมาก่อน…”

เกาซานเอ่ย “คนในชนบทใช้ชีวิตกันไม่ง่ายเลย พวกเราไม่ควรไร้ซึ่งคุณธรรม รอไปก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากันอีกที”

หลี่ปาและฟางอู่เมื่อได้ยินที่เกาซานพูดก็ลุกขึ้นมาทันใด หลี่ปาเอ่ย “คุณธรรมอะไรกัน เกาซาน เจ้าพูดให้ชัดเจนว่าใครไร้ซึ่งคุณธรรม ชีวิตของเขาทั้งสองก็เป็นพวกเราชาวบ้านหมู่บ้านหวังจยาช่วยเอาไว้…”

ฟางอู่เอ่ย “เกาซาน ข้าว่าเจ้า…”

เมื่อลืมตาขึ้นมา หวังเอ้อร์เอาแต่สูบยาสูบแสร้งทำไม่รู้เรื่อง หัวหน้าหมู่บ้านสีหน้าเคร่งขรึมพลางลุกขึ้นยืน “พอแล้ว! ข้าว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านอาท่านลุงทุกท่านเชิญกลับไปก่อนเถิด เรื่องของท่านอาจารย์หนิง ไว้ค่อยหารือกันในวันพรุ่งนี้อีกที”

……

ฟางต้าถังนั้นรวดเร็วมาก ไม่ถึงชั่วยามก็พาหมอหลี่จากหมู่บ้านหลี่จยามาถึงจนได้

“หมอหลี่ สามีของข้าป่วยเป็นอะไรกันแน่”

หมอหลี่จับชีพจร โดยมีมั่วเชียนเสวี่ยถือกระดาษกับพู่กันยืนคอยอยู่ด้านข้าง หมอหลี่กลับผลักกระดาษพู่กันออก พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ความเย็นได้ลงปอดของคนป่วยแล้ว เกรงว่าต่อให้เป็นเทพเจ้าต้าหลัวจิน[1] ก็ไม่อาจช่วยได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุด ที่เหลือถือเป็นเรื่องของโชคชะตา”

หากเป็นคำพูดของหมอผี มั่วเชียนเสวี่ยคงไม่เชื่อและยังพอเข้าใจได้ แต่คำพูดของหมอหลี่นั้นกลับทำให้นางรู้สึกราวกับจมดิ่งลงก้นบึ้งมหาสมุทร

“วันนี้ก่อนข้าจะออกไป เขายังดีๆ อยู่เลย หมอหลี่…ข้อร้องท่านล่ะ ช่วยชีวิตสามีข้าด้วยเถิด มั่วเชียนเสวี่ยผู้นี้จะจดจำในบุญคุณเป็นอย่าง…” นางยังไม่ทันพูดจบประโยค ใบหน้าก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

[1] เทพเจ้าต้าหลัวจิน หนึ่งในห้าเทพเจ้าของลัทธิเต๋า